ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1769 เศษสวะ
ตอนที่ 1769 เศษสวะ
………………..
ทว่าในตอนนั้นเอง คล้อยหลังฉู่หลิวเยว่พลันมีแรงกดดันรุนแรงแข็งกร้าวแผ่ขยายตามมา!
นางลอบตื่นตระหนกในใจ พลันสัมผัสได้ถึงอันใดบางอย่าง
แขนแข็งแรงดุจโลหะรวบเอวนางเข้าอ้อมแขน กลิ่นหอมเย็นผสมปนเปกับกลิ่นขมฝาดของยาเข้าปกคลุมตัวนางอย่างเงียบเชียบ
สภาพจิตใจของฉู่หลิวเยว่ที่แต่เดิมตึงเครียดผ่อนคลายลงในฉับพลัน
นางหันศีรษะกลับไปมอง พบว่าหรงซิวมายืนอยู่เบื้องหลังนางตั้งแต่เมื่อใดก็มิทราบได้
นางเหลือบสายตาจดจ้องไปยังหรงซิว
จากนั้น นางก็รู้สึกตกตะลึง
บนดวงหน้างามหมดจดกลับไม่มีแววอ่อนล้าซีดเซียวแม้แต่ครึ่งเสี้ยว
นัยน์ตาหงส์ฉายแววลึกล้ำ สีหน้าผ่อนคลายสบายใจยิ่ง
“เจ้า…“
ฉู่หลิวเยว่ถึงกับพูดไม่ออกไปชั่วขณะ มิรู้ว่าควรเอ่ยปากพูดอันใดออกไปดี
ช่วยไท่ซวีเฟิ่งหลงหลอมกายเนื้อขึ้นใหม่เป็นเรื่องยากเย็นเพียงใดสุดจะรู้
ทว่าพอดูหรงซิวแล้ว เขากลับมิได้รับผลกระทบที่ว่าเลยแม้สักเสี้ยว
ชั่วพริบตาหนึ่ง ในหัวฉู่หลิวเยว่ถึงขั้นเผลอคิดไปชั่วขณะว่า เรื่องนี้เหมือนเป็นเพียงเรื่องเล็กๆ สำหรับหรงซิวเท่านั้น
เห็นนางตะลึงงัน มุมปากหรงซิวพลันกระตุกเบาบาง เขาผงกศีรษะน้อยๆ จูบลงหว่างคิ้วนาง แววตาแฝงด้วยประกายรักใคร่เหลือคณา
“ลำบากเยว่เออร์แล้ว”
แม้เขาจะยุ่งวุ่นวายกับฝั่งนั้นอยู่ตลอด แต่เรื่องราวที่เกิดขึ้นฟากนี้ เขาล้วนรับรู้ได้ทั้งสิ้น
ฉู่หลิวเยว่ส่ายศีรษะโดยไม่รู้ตัว
“สามีข้า ข้าต้องปกป้องอยู่แล้ว”
สุ้มเสียงกัมปนาทจากการปะทะดังก้องแว่วขึ้นทางด้านหลัง
เป็นไท่ซวีเฟิ่งหลงที่สะบัดหางด้วนของมันอย่างแรงชนเข้ากับค่ายกลสีทองอร่ามอย่างจัง!
ประกายแสงที่เคลื่อนผ่านวูบไหวอยู่เหนือค่ายกล พร้อมด้วยแรงกดดันมหาศาลท่วมท้น!
เข้าสกัดกั้นหางด้วนๆ นั่นไว้ด้านนอกได้อย่างง่ายดาย กระทั่งกระแสคลื่นก็มิอาจผ่านเข้ามา!
ในใจฉู่หลิวเยว่กระตุกวูบ นางชะโงกมองข้ามไหล่หรงซิวเพื่อดูเบื้องหลังเขา
เงาร่างสูงใหญ่กำยำร่างหนึ่งปรากฏตัวข้างทะเลสาบตั้งแต่เมื่อใดมิอาจทราบได้
เงาร่างที่ว่าเป็นบุรุษอายุอานามประมาณสี่สิบ สวมชุดคลุมยาวสีดำเจือแดง มีใบหน้าเหลี่ยม สองตาทอแววลึกล้ำดั่งประดับด้วยทะเลดาว มิอาจมองนัยแฝงได้ชัดเจน
ทั่วทั้งร่างของเขาเผยให้เห็นท่าทางน่าเกรงขามเปี่ยมด้วยพลังอันเหนือคำบรรยาย!
ข้อบกพร่องเพียงอย่างเดียวคือตำแหน่งแขนทั้งสองข้างกลับว่างเปล่า
นั่นเป็นเพราะกระดูกส่วนปีกทั้งสองข้างนี้หลอมรวมเข้ากับภายในร่างของจื่อเฉินเป็นที่เรียบร้อยตั้งนานแล้ว
ถึงกระนั้น แม้เป็นเช่นนี้ การที่เขายืนอยู่ที่นี่ก็มิได้ลดแรงกดดันมหาศาลที่แผ่ออกมาแต่อย่างใด!
มีบางคนที่ถูกชี้ชะตาแต่กำเนิดว่าเป็นตัวตนที่แข็งแกร่งและสูงส่งที่สุด
โหมวเจิน…ก็คือคนประเภทที่ว่านี้!
ลำพังแค่ท่าทางการวางตัวก็ก้าวข้ามโหมวหยางไปแล้วหลายเท่าตัว!
ชั่วขณะนั้น ฉู่หลิวเยว่ก็เข้าใจขึ้นมาโดยพลันว่าเหตุใดครานั้นโหมวหยางถึงกักเก็บความเกลียดชังต่อโหมวเจินได้ลึกล้ำปานนั้น ถึงขนาดใช้อุบายหลายเล่ห์กลสุดตัว ยอมทุ่มหมดหน้าตักก็เพื่อกำจัดเขาออกไป
…มีคนเช่นนี้อยู่ ก็ไม่มีวันที่เขาจะเผยอขึ้นมาเทียบเคียงโหมวเจินได้!
ทว่าน่าเสียดายนัก สุดท้ายแล้วแผนที่คิดคำนวณมาอย่างดีของโหมวหยางก็เดินหมากพลาดไปก้าวหนึ่ง
จะอย่างใดเขาก็คิดไม่ถึงว่าโหมวเจินที่เขาคิดว่าจัดการไปนานแล้วจะยังมีชีวิตอยู่!
ในตอนนั้นเอง หลังถูกค่ายกลขวางกั้นเอาไว้ ไท่ซวีเฟิ่งหลงตัวนั้นเองก็มองมาทางนี้ด้วยท่าทีแข็งขืนเช่นกัน!
“โหมวหยาง! ไม่เจอกันเสียนาน สบายดีหรือไม่เล่า!”
…
ในใจโหมวหยางพลันตะลึงงัน เขาถอยหลังไปหลายก้าวด้วยคุมตัวเองไม่อยู่ สองตาเบิกกว้างจดจ้องไปยังเสามังกรเคลื่อนเบื้องหน้าด้วยไม่เชื่อในสายตา!
ผู้อาวุโสท่านอื่นเองก็ได้รับผลกระทบจากความวุ่นวายที่เขาก่อทางฟากนี้อย่างเลี่ยงไม่ได้ การล่าปีศาจจึงตกอยู่ในความระส่ำระสายไม่มั่นคง
บรรดาผู้อาวุโสล้วนได้ยินสุ้มเสียงนั้นเช่นเดียวกัน ครั้นมองเห็นปฏิกิริยาอันผิดธรรมดาถึงที่สุดของโหมวหยางแล้ว ในใจพลันบังเกิดความสงสัยขึ้นมาเต็มอก
“นั่นมัน… ใครกำลังพูดอยู่กัน? ฟังแล้วดูไม่ใช่หรงซิวกับซั่งกวนเยว่เลยหนา”
ที่สำคัญยิ่งกว่าคือคนผู้นั้นตะโกนชื่อประมุขโหมวหยางออกมาตรงๆ ทั้งยังพูดว่า…สบายดีหรือไม่ด้วย!
เช่นนั้นก็คือคนรู้จักเก่าแก่ของท่านประมุขอย่างนั้นหรือ
ยิ่งไปกว่านั้น ชั่วพริบตาที่โหมวหยางได้ยินสุ้มเสียงนั้นก็รู้ถึงตัวตนอีกฝ่ายทันที
ในตอนที่ทุกคนต่างจับต้นชนปลายไม่ถูก โหมวฝูซานกลับหน้าเปลี่ยนสีทันควัน
“เสียงนี้ หรือว่าจะเป็น…โหมวเจิน!?”
เสียงของเขาแผ่วลงยามเอ่ยสองคำสุดท้ายออกมาจนแทบไม่ได้ยิน
ทว่าภายในโถงใหญ่ที่เงียบสนิทกลับเป็นดั่งสายฟ้าฟาดที่ผ่าเปรี้ยงลงกลางใจทุกคน!
โหมวเจิน!
มิมีใครเอ่ยถึงชื่อนี้มานานหลายปีมากแล้ว
นั่นคือผู้ที่เป็นความอัปยศของเผ่าไท่ซวีเฟิ่งหลง ทั้งยังเป็นบุคคลต้องห้ามของพวกเขาด้วย
พวกเขาแทบลืมการมีอยู่ของคนผู้นี้ไปเสียสนิท
บัดนี้พอโหมวฝูซานโพล่งขึ้นมา พวกเขาถึงได้นึกภาพบุคคลที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นอัจฉริยะเปี่ยมพรสวรรค์ถึงขีดสุด ทั้งยังเป็นจอมโหดเหี้ยมผู้บ้าคลั่งในท้ายที่สุดออกในทันที
ตอนนั้นเอง ทันทีที่นามนี้ปรากฏขึ้น ก็ทำให้ทุกผู้คนตกอยู่ภายใต้ความเงียบสงัดอันเย็นยะเยือกโดยพลัน
ความจริงแล้ว ทั้งเผ่าไท่ซวีเฟิ่งหลงมิเคยลืมเลือนนามนี้มาแต่ไหนแต่ไร! คนผู้นี้น่ะ!
ผ่านไปชั่วขณะหนึ่ง ถึงได้มีผู้อาวุโสท่านหนึ่งเอ่ยถามขึ้นมาด้วยสุ้มเสียงอันสั่นเทา
“…จะเป็น… ไปได้อย่างใด!?”
มิใช่ว่าโหมวเจินตายไปแล้วหรอกหรือ?
ทั้งยังตายไปตั้งแต่หลายหมื่นปีก่อนด้วย!
เหตุใดตอนนี้เขาถึงปรากฏตัวออกมาปุบปับ ทั้งยังโผล่ออกมาจากใจกลางเสามังกรเคลื่อนที่อีก!
มิมีผู้ใดเอ่ยอันใดออกมา
ในใจของพวกเขาล้วนรู้ดี แม้เรื่องนี้ฟังดูเป็นไปไม่ได้ แต่ท่าทีของโหมวฝูซานและโหมวหยางล้วนแสดงออกแทนคำพูดหมดแล้ว!
คนที่พูดอยู่ข้างในผู้นั้นย่อมเป็นโหมวเจินอย่างไม่ต้องสงสัย!
สมองของโหมวหยางพลันว่างเปล่า ในหูมีเสียงก้องอื้ออึง ทั่วทั้งร่างเย็นเฉียบ
โหมวเจิน…
พริบตาที่ได้ยินเสียงนั่น เขาก็รู้ทันทีว่าอีกฝ่ายเป็นใคร!
เหตุใดมันถึงยังมีชีวิตอยู่…
มันยังมีชีวิตอยู่ได้อย่างใดกัน!
โหมวหยางพลันได้สติกลับคืน เขาเงยศีรษะขวับ จดจ้องไปยังเสามังกรเคลื่อนที่ด้วยสีหน้าดึงดันและแววตาที่แฝงความบ้าคลั่งน้อยๆ
ชั่วขณะนั้น ความคิดมากมายไหลเข้าหัวเขามาไม่หยุด
หรือว่าหลายพันปีมานี้ เจ้าโหมวเจินนั่นจะหลบอยู่ที่นี่มา…
ตูม!
เสามังกรเคลื่อนพลันทอแสงเลือนรางขึ้นมา!
ภาพนูนรูปมังกรบนเสาบัดนี้ราวกับมีชีวิตขึ้นมามิปาน เกล็ดทุกชิ้นล้วนแต่ส่องประกายเจิดจ้า!
เขาอ้าปากค้าง ครั้นคิดสั่งผู้คนให้รวมตัวลงมือพร้อมกันอีกครั้ง ก็มีแรงกดดันมหาศาลรุนแรงสายหนึ่งระเบิดพวยพุ่งออกมาจากร่างของมังกร!
จากนั้น กระแสพลังอันน่าหวาดหวั่นก็พุ่งเข้าโจมตีทันที!
โหมวหยางในใจดูท่าไม่ดี กำลังคิดจะถอยกลับ ทว่ากลับไม่ทันเสียแล้ว!
ปัง!
ประตูใหญ่ของวิหารไท่ซวีพลันพังออก!
แรงลมแข็งกร้าวที่โจมตีเข้ามาทำเอาโหมวหยางหงายท้องทั้งแบบนั้น!
ร่างของเขาปลิวไปในพริบตาอย่างควบคุมไม่อยู่ ก่อนจะร่วงลงสู่พื้นนอกประตูใหญ่!
“อุ่ก!”
ราวกับมีบางอย่างบดขยี้เข้ากับร่างของเขาอย่างแรงก็มิปาน หน้าอกของเขาสั่นสะเทือน ก่อนจะกระอักเลือดออกมากองหนึ่งอย่างอดไม่อยู่
แทบจะในขณะเดียวกันนั้น ลำแสงสีทองประกายม่วงสายหนึ่งพลันพุ่งพรวดออกมาจากเสามังกรเคลื่อน!
เงาร่างสูงใหญ่กำยำยืนห่างจากเบื้องหน้าของโหมวหยางออกไปไม่ไกลนัก ก่อนกล่าวแกมหัวเราะร่าว่า
“โหมวหยาง! ไม่เจอกันตั้งพันปี ข้าอุตส่าห์คิดว่าเจ้าจะมีพัฒนาการอันใดขึ้นมาบ้างเสียอีก ที่แท้…ก็ยังเป็นเศษสวะแบบนี้เหมือนเมื่อก่อนอยู่วันยังค่ำ!”
ยามบรรดาฝูงชนที่กำลังรอดูอยู่บนจัตุรัสเห็นฉากนี้เข้า ต่างก็ยืนนิ่งอยู่กับที่ไม่ขยับเขยื้อน
นี่มัน…
เกิดอันใดขึ้นกัน!?