ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1770 เผยไพ่ในมือ
ตอนที่ 1770 เผยไพ่ในมือ
………………..
โหมวหยางเป็นถึงประมุขเชียวหนา!
เหตุใดเขาถึงถูกคนในวิหารไท่ซวีไล่กวดจนสภาพดูไม่จืดเช่นนั้นได้เล่า?
ไหนจะบุรุษผู้นั้นอีก เขาเป็นใครกัน?
สายตาหลากหลายคู่พร้อมใจกันจับจ้องเป็นจุดเดียว
บุรุษผู้นั้นอายุอานามประมาณสี่สิบ มีใบหน้าเหลี่ยม ร่างกายสูงใหญ่กำยำเปี่ยมด้วยกล้ามเนื้อ ท่วงท่าการวางตัวชวนให้ประหลาดใจนัก
เขาเองก็เป็นเผ่าไท่ซวีเฟิ่งหลงเช่นเดียวไม่มีผิดเพี้ยน!
มีเพียงชายเสื้อคลุมสองข้างเท่านั้นที่ว่างเปล่า เหมือนว่าเขาเสียแขนทั้งสองข้างไปอย่างใดอย่างนั้น…
ทว่านี่มิได้กระทบต่อความน่าเกรงขามและสูงส่งบนร่างของเขาแต่อย่างใด
เขาเพียงแค่พุ่งเข้าไปในสนามรบ ก็ทำให้ผู้คนเกิดความยำเกรงและเคารพนับถือขึ้นมาในใจโดยไม่รู้ตัว!
บนจัตุรัสล้วนเงียบสงัดไร้สุ้มเสียง
ทุกคนต่างมองดูฉากนี้ด้วยความตะลึงงัน
ทันใดนั้นเอง ก็มีผู้อาวุโสท่านหนึ่งมีท่าทีโต้ตอบขึ้นมาในท้ายที่สุด
“นั่น นั่นมัน…”
ริมฝีปากของเขาสั่นระริก ทั้งสั่นอยู่นานทีเดียว มิได้เอ่ยนามนั้นออกมาแต่อย่างใด
ตอนนั้นเอง ในที่สุดโหมวหยางก็หยัดตัวลุกขึ้นมาได้ สองตาแดงก่ำจ้องเขม็งยังเบื้องหน้า มือกำหมัดแน่นจนกระดูกลั่น!
“โหมวเจิน! เป็นเจ้าอย่างที่คิดไว้จริงด้วย!”
เขาเอ่ยออกมาทีละคำ แต่ละคำล้วนเหมือนเล็ดลอดออกจากไรฟันก็มิปาน
“เจ้ายังไม่ตาย…จริงๆ ด้วย!”
แววตาของเขาทอประกายเกลียดชังลึกล้ำจนปิดไม่มิด!
โหมวเจินหัวเราะร่าออกมาดังลั่น
“เจ้ายังไม่ตายเลยนี่ โหมวหยาง ข้าจะตายได้อย่างใดเล่า? ข้าใช้ชีวิตอยู่อย่างดี คิดคำนวณหนี้ค้างชำระของเจ้าครานั้นไว้ละเอียดยิบเลยเทียว!”
ในใจของโหมวหยางราวกับถูกบางอย่างบีบรัดแน่น แววตาพลันทอประกายเรืองรอง
ทว่าอย่างใดเสียเขาหาใช่คนธรรมดาไม่
สามารถฝ่าวงล้อมในเหตุการณ์ครานั้นออกมาได้ ก็เพียงพอที่จะอธิบายได้แล้วว่าประมุขคนก่อนอย่างเขาเก่งกาจเพียงใด
ดังนั้นความรู้สึกผิดในใจจึงมีอยู่แค่ชั่วครู่ ไม่นานเขาก็ควบคุมสีหน้าของตนเองไว้ได้
เขาหัวเราะออกมาคำรบหนึ่ง ค่อยๆ ปาดเอาคราบเลือดตรงมุมปากออก
“หนี้แค้นครั้งนั้น? โหมวเจิน แม้ข้าจะคิดถึงมิตรภาพระหว่างเราในตอนนั้นมากแค่ไหน แต่ท้ายที่สุดแล้วก็เป็นเจ้าทำเรื่องที่ไม่อาจให้อภัยได้ต่อทั้งตระกูล บัดนี้ข้าเป็นประมุข ช่วยแก้ต่างให้เจ้าไม่ได้จริงๆ ยิ่งไปกว่านั้นคงมิอาจยืนอยู่ฝั่งเจ้าได้อีก”
“หลายปีมานี้ ทุกคนล้วนคิดว่าเจ้าหายสาบสูญ คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าเจ้าจะยังมุดหัวหลบๆ ซ่อนๆ อยู่ ถึงขั้นที่ว่า… ซ่อนอยู่ในเสามังกรเคลื่อนของวิหารไท่ซวี! เจ้าแอบอยู่ในนั้นทั้งวันทั้งคืน หรือว่าในใจเจ้ามิเคยสำนึกผิดต่อบรรพบุรุษ ต่อคนในตระกูลบ้างเลยอย่างนั้นหรือ!?”
ทันทีที่คำพูดนี้สิ้นสุด ฝูงชนต่างพากันส่งเสียงกระหึ่มดัง!
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้… ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง! ครานั้นโหมวเจินไม่เพียงแต่รอดชีวิต แต่ยังคอยหลบซ่อนอยู่ในวิหารไท่ซวีอีกต่างหาก!”
“คิดไม่ถึงเลยว่าเขาคือโหมวเจิน… ยโสโอหังปานนี้เหมือนข่าวลือไม่มีผิด… จริงสิ มิใช่ว่าครานั้นร่างของเขาสลายวิญญาณมอดไปแล้วหรอกหรือ เหตุใดภายหลังถึงได้… ไหนจะเสามังกรเคลื่อนนั่นอีก ปกติแล้วตลอดชีวิตนี้คนในตระกูลจะเข้าไปในนั้นได้แค่ครั้งเดียว มิใช่ว่าก่อนหน้านี้เขาเคยเข้าไปแล้วหรือ เหตุใดภายหลังถึงได้เข้าไปซ่อนในนั้นนานเป็นพันปีเทียวเล่า?”
“พูดไปก็ถูกหนา! อีกอย่าง พันปีมานี้ พวกเราจัดงานหมื่นคีรีมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง เหตุใดถึงมิเคยสัมผัสได้ถึงการมีอยู่ของเขากัน?”
“เขาเป็นคนบาปของตระกูล แค่เอาตัวรอดไปวันๆ ก็ยากเย็นแล้ว อุตส่าห์มีชีวิตอยู่ได้มาถึงตอนนี้ เหตุใดถึงได้คิดเปิดเผยตัวตนขึ้นมาหนอ?”
…
ผู้คนจำนวนมากต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์เสียงเบาอยู่ในลานจัตุรัส
ทั้งยังมองเห็นสายตาของคนพวกนั้นได้อย่างแจ่มแจ้งด้วย
ทว่าดวงหน้าของเขากลับมิปรากฏแววโกรธเกรี้ยวเลยสักเสี้ยว กลับกันเขากลับยิ้มขึ้นมา
ภาพฉากนี้ออกจะให้ความรู้สึกคุ้นเคยโดยแท้
พันปีก่อน คนพวกนั้นก็กล่าวหา ลงดาบ และส่งเขาลงสู่ขุมนรก ณ ที่ตรงนี้
แท้จริงแล้วเขาจำรายละเอียดมากมายในตอนนั้นได้ไม่ชัดเจนแล้ว
ทว่าเขายังคงจดจำความโกรธแค้นและไม่ยินยอมครานั้น รวมถึงความรู้สึกที่ตนถูกหักหลังและได้รับความอยุติธรรมอย่างใหญ่หลวงได้ชัดเจนและลึกล้ำไม่ผิดเพี้ยน
เวลาเนิ่นนานคล้อยผ่านไร้จุดจบ พอมาบัดนี้ต้องเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้อีก เขาก็รู้สึกโล่งใจยิ่งนัก
โหมวหยางมองดูรอยยิ้มบนดวงหน้าเขา พลันรู้สึกว่าขัดลูกตานัก
มันยิ้มอันใด?
หรือว่ามันดูไม่ออกหรือว่าท่าทีที่คนพวกนี้มีต่อมันเป็นอย่างใด?
ต่อให้มันยังมีชีวิตอยู่ ไหนจะหวนคืนกลับมาแล้วด้วย เผ่าไท่ซวีเฟิ่งหลงทั้งเผ่าก็ไม่มีทางยอมรับมันเข้าเผ่าอีก!
แล้วมันยังยิ้มออกอยู่อีกหรือ?
โหมวหยางโพล่งขึ้นมาอย่างอดรนทนไม่ไหว
“โหมวเจิน เจ้ามิอยากเอ่ยแจ้งแถลงไขข้อสงสัยที่ทุกคนมีต่อเจ้าหน่อยหรือ?”
เมื่อมีคนคอยสนับสนุนดันหลัง โหมวหยางพลันรู้สึกมั่นใจขึ้นมาหลายส่วน
เขารู้ว่าโหมวเจินอยากชำระหนี้แค้นกับเขาใจจะขาด แต่หลังจากเขาผ่านความตื่นตระหนกและอาการตกตะลึงช่วงแรกมาลองใคร่ครวญอย่างรอบคอบ ก็มิได้กระวนกระวายอีก
เขากลัวอันใดกัน?
เรื่องทุกอย่างในปีนั้นล้วนเกิดขึ้นอย่างไร้ที่ติ ฝั่งของโหมวเจินย่อมไร้หลักฐาน หรือต่อให้เขามี เหตุใดถึงได้รอมาเปิดเผยหลักฐานเอาตอนนี้เล่า?
คิดมาถึงตรงนี้ โหมวหยางก็ยืดหลังตรง กระทั่งสายตาที่ใช้มองโหมวเจินเองก็แข็งกร้าวขึ้นมา!
ทุกคนต่างพากันเงียบเสียงลงในบัดดล รอฟังคำตอบจากปากของโหมวเจิน
ทว่าแม้นกำลังเผชิญกับคำถามของโหมวหยาง โหมวเจินคล้ายกับว่ามิสนใจเรื่องพวกนี้เลยแม้แต่น้อย
เขาแค่นหัวเราะคราหนึ่งราวกับได้ยินเรื่องตลกก็มิปาน
จากนั้น เขาก็หันกายขวับ ปรายตามองไปทางวิหารไท่ซวี
“พวกเจ้ามาตรงนี้เลยก็ได้หนา!”
คำพูดนี้เอ่ยด้วยน้ำเสียงเต็มเปี่ยม วาจาหนักแน่นดุจค้อนที่ทุบลงกลางใจฝูงชนอย่างแรง
ครรลองสายตาของคนทุกผู้ต่างพากันจดจ้องตามเขาไป
เขากำลังตะโกนใส่ผู้ใดกัน?
ประตูวิหารไท่ซวียังคงเปิดอ้า ผู้อาวุโสหลายท่านที่ก่อนหน้านี้อยู่ข้างในพากันทยอยออกมาตอนที่โหมวเจินฟาดโหมวหยางกระเด็นตั้งนานแล้ว
พูดตามหลักแล้ว ตอนนี้ข้างในวิหารไท่ซวีควรจะไร้ผู้คนแล้ว
ทันใดนั้น โหมวหยางพลันนึกอันใดบางอย่างออก สีหน้าเขาเปลี่ยนในฉับพลัน
เดี๋ยวก่อน!
ข้างในนั้นยังมีคนที่ไม่ได้ออกมาอยู่จริงๆ!
ทันทีที่ความคิดนี้แล่นผ่านสมอง โหมวเจินก็มองเห็นสองเงาร่างเดินเคียงข้างกันออกมาจากข้างในวิหารไท่ซวี!
ยามมองเห็นรูปลักษณ์ของสองคนนั้นชัดเจน โหมวหยางพลันกำหมัดแน่น!
หรงซิวกับซั่งกวนเยว่!
เป็นพวกมันอย่างที่คิดไว้จริงด้วย!
ชั่วพริบตานั้นเอง โหมวหยางปะติดปะต่อเรื่องราวก่อนหน้าขึ้นมาได้โดยพลัน
มิน่าหรงซิวกับซั่งกวนเยว่ถึงเข้าไปในเสามังกรเคลื่อนได้อย่างเงียบเชียบ!
มิน่าโหมวเจินที่กระดูกสลายกายมอดไปตั้งแต่ครานั้นถึงมีร่างเนื้อขึ้นมาใหม่!
เห็นได้ชัดเลยว่าพวกมันร่วมมือกัน!
พอคิดจุดนี้ออก โหมวหยางก็แทบอยากหัวเราะเยาะ
โหมวเจินมันบ้าไปแล้วจริงๆ!
เพื่อหลอมกายเนื้อของตัวเองขึ้นมาใหม่ หวนคืนกลับมาแก้แค้น ถึงกับยอมสุมหัวกับพวกมนุษย์!
เรื่องแบบนี้น่ะ อย่าว่าแต่เขาเลย ทั้งเผ่าไท่ซวีเฟิ่งหลงเองก็เปิดเผยเรื่องเช่นนี้ออกมาได้ยากยิ่ง!
นี่ตอกย้ำอีกครั้งถึงคำกล่าวหาว่ามันเป็นความอับอายของตระกูลได้ชะงัด!
เขาไม่เชื่อหรอกว่าไท่ซวีเฟิ่งหลงที่ทะนงตนมาหลายหมื่นปีจะรับเรื่องเช่นนี้ได้!
ทว่า ในตอนที่เขาแสยะยิ้มเย็นเยียบหมายจะเอ่ยถากถาง กลับพบว่าเบื้องหลังของพวกหรงซิวทั้งสองคนนั้น ยังมีเงาร่างเล็กจ้อยร่างหนึ่งอยู่ด้วย
ร่างนั้นดูแล้วเหมือนเด็กหญิงตัวน้อยอายุประมาณสามสี่ขวบปี น่ารักน่าเอ็นดูดั่งหยกหิมะ สวมกระโปรงระบายสีทองบริสุทธิ์
นางมัดผมเป็นจุกกลมทั้งสองข้าง ยามก้าวเดิน กระดิ่งอันน้อยที่ผูกเชือกแดงเอาไว้จะส่งเสียงกรุ๋งกริ๋งไพเราะเสนาะหูนัก
ตอนนั้นเอง นางถูกห้อมล้อมไปด้วยกลุ่มแสงสีทองประกายม่วงที่ตามเลียนแบบท่าทางของนางอยู่ด้านหลัง
โหมวหยางตื่นตะลึงไปชั่วขณะ จากนั้นก็พลันอ้าปากค้าง!