ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1771 ชำระหนี้
ตอนที่ 1771 ชำระหนี้
………………..
“หงส์ทองคำนี่!”
เขาไม่มีทางจำลมปราณบนร่างของเด็กหญิงผู้นั้นผิดแน่ เป็นหงส์ทองคำอย่างมิต้องสงสัย!
ในไม่ช้า คนทั้งจัตุรัสก็รับรู้ถึงการมีอยู่ของถวนจื่อ ต่างพากันส่งเสียงออกมาอย่างตื่นตกใจ
“นั่นหงส์ทองคำจริงด้วย!”
“เหตุใดหงส์ทองคำถึงมาปรากฏตัวที่เกาะมังกรศักดิ์สิทธิ์ได้!?”
“ไม่มีทาง! ดูแล้วนางยังอายุน้อยมากเลยหนา… เหตุใดถึงแปลงกายเป็นมนุษย์ได้เล่า!?”
…
เสียงโหวกเหวกโวยวายดังลั่นทั่วทั้งจัตุรัส
โหมวหยางพลันนึกอันใดบางอย่างได้ นัยน์ตาหดลงทันควัน
นี่มันอสูรศักดิ์สิทธิ์ในพันธสัญญาของฉู่หลิวเยว่!
แต่ก่อนหน้านี้หงส์ทองคำตัวนี้ถูกกั้นเอาไว้นอกเกาะมังกรศักดิ์สิทธิ์มิใช่หรือ?
เหตุใดมาปรากฏตัวที่นี่ได้!?
ความคิดมากมายที่แล่นผ่านสมองเขาตีรวนกันวุ่นวายหาสิ่งใดเปรียบ
โหมวหยางค่อยๆ ตระหนักได้ว่ามีเรื่องราวที่หลุดรอดจากการควบคุมของเขาไปมากมายเพียงใด!
ทุกสิ่งทุกอย่าง… กำลังดำเนินไปสู่ภยันตรายที่มิอาจคาดเดาได้!
เขาจึงก้าวไปข้างหน้า ยกมือชี้โหมวเจิน แล้วแผดเสียงตะโกนลั่น
“โหมวเจิน! เจ้าออกจะทำเกินไปหน่อยแล้วกระมัง! สมคบคิดกับพวกมนุษย์ พาพวกมันเข้าออกเสามังกรเคลื่อนตามใจไม่พอ ยังปล่อยให้หงส์ทองคำตามเข้ามาได้! เจ้าคิดจะทำอันใดกันแน่! เจ้าถามตัวเองเถอะว่าเจ้ายังเห็นหัวบรรพบุรุษอยู่หรือเปล่า? ยังไว้หน้าเผ่าไท่ซวีเฟิ่งหลงอยู่บ้างหรือไม่!”
ตอนนั้นเองที่หรงซิวกับฉู่หลิวเยว่เดินมาหยุดอยู่ข้างกายโหมวเจินพอดี
กลุ่มแสงก้อนนี้ใหญ่กว่าร่างเล็กจ้อยของนางนัก ทว่าโชคดีที่นางหาใช่เด็กมนุษย์ธรรมดาไม่ แต่เป็นหงส์ทองคำ
ดังนั้นการโอบอุ้มกลุ่มแสงก้อนนี้ไว้จึงมินับว่าเหนื่อยยากอันใด
เมื่อเดินมาถึงที่หมาย ถวนจื่อจึงได้วางกลุ่มแสงลงอีกรอบหนึ่ง ก่อนจะพ่นลมหายใจออกมายาวเหยียด
จื่อเฉินเองก็ไม่รู้ว่าเป็นอันใดไป จนถึงป่านนี้แล้วก็ยังไม่ออกมาจากข้างในนั้น
ประกายแสงสีทองแกมม่วงปกคลุมร่างของมันเอาไว้จนมิด ต่อให้เป็นถวนจื่อที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ก็มิอาจมองเห็นสถานการณ์ข้างในกลุ่มแสงนั่นได้
ฉู่หลิวเยว่คลี่ยิ้มพลางลูบศีรษะนาง
“ลำบากถวนจื่อแล้วหนา”
เดิมนางเตรียมจะเดินพาจื่อเฉินออกมาด้วยตัวเอง แต่ยังไม่ทันทำอันใด ถวนจื่อก็ชิงนำหน้าไปก่อนก้าวหนึ่งแล้ว
“ไม่ลำบาก! ดูแลน้องเล็กเป็นเรื่องที่ควรทำอยู่แล้ว!”
ถวนจื่อฉีกยิ้มกว้าง
ฉู่หลิวเยว่เลิกคิ้วน้อยๆ สายตากวาดมองไปยังกลุ่มแสงนั่นอีกครา
ตอนนี้มองเงาร่างของจื่อเฉินไม่เห็นแล้ว อีกทั้งลมปราณที่หลั่งไหลอยู่บนกลุ่มแสงก้อนนั้นเองก็สงบลงในบัดดล
นางคลี่ยิ้มออกมา หากแต่มิได้เอ่ยคำอันใด
โหมวเจินเอ่ยปากถามออกไป
“พวกเจ้าเป็นอย่างใดบ้าง?”
หรงซิวเอ่ยแกมหัวเราะ
“มีท่านผู้อาวุโสโหมวเจินอยู่ พวกข้าก็รู้สึกปลอดภัยไร้กังวล”
โหมวเจินจึงได้วางใจลง
บัดนี้มุมมองที่เขามีต่อหรงซิวและซั่งกวนเยว่แตกต่างจากก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง
แม้เขาในตอนนั้นกำลังยุ่งวุ่นวายอยู่กับการหลอมกายเนื้อ หากแต่เรื่องราวที่เกิดขึ้นโดยรอบ เขาล้วนรับรู้ได้ทั้งสิ้น
“วางใจเถอะ ขอแค่มีข้าอยู่ บนเกาะมังกรศักดิ์สิทธิ์ย่อมไม่มีใครกล้าทำอันใดพวกเจ้า!”
สุ้มเสียงของโหมวเจินทั้งทุ้มต่ำและเต็มเปี่ยมด้วยความอหังการ์
เมื่อบรรดาฝูงชนได้ยินเช่นนั้นต่างลอบสบสายตากันไปมาอย่างยากจะปิดสีหน้าตื่นตะลึงไว้ได้
นี่โหมวเจินกำลังทำสิ่งใดอยู่กันแน่?
ท่าทีที่เผ่าไท่ซวีเฟิ่งหลงมีต่อเผ่ามนุษย์นั้นเย็นชามาแต่ไหนแต่ไร ถึงขั้นแฝงด้วยความรังเกียจอยู่บ้างเสียด้วยซ้ำ
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสองคนนี้เลย!
แต่โหมวเจินกลับป่าวประกาศจะกางปีกปกป้องพวกมันต่อหน้าธารกำนัลเสียใหญ่โตปานนี้!?
โหมวหยางแทบหลุดเสียงหัวเราะออกมาอยู่รอมร่อ
การที่โหมวเจินทำเช่นนี้ตัดขาดทางหนีทีไล่ของตัวเองอย่างไม่ต้องสงสัย
ในเผ่าไม่มีทางยอมรับคนเช่นนี้ได้อย่างแน่นอน!
สิ่งที่รอมันอยู่ก็คือความตายสถานเดียว!
เขาแค่นหัวเราะเย็นเยียบพลางกล่าวว่า
“โหมวเจิน เหมือนว่าเจ้ายืนกรานจะทรยศต่อเผ่าพันธุ์เราสินะ?”
โหมวเจินจึงหันกายกลับมาพลางหัวเราะร่า
“โหมวหยาง คำถามพวกนี้ควรเป็นข้าต่างหากที่ต้องถามเจ้า! เจ้าที่พูดเช่นนี้ออกมาต่อหน้าบรรพบุรุษและคนทั้งเผ่าไม่รู้สึกสำนึกผิดบ้างเลยหรือ!?”
โหมวหยางใจดิ่งวูบ ในตอนที่กำลังจะเอ่ยปากกลับถูกโหมวเจินพูดขัดขึ้นมา
“อ้อ ข้าเกือบลืมไปเลย เดิมนี่ก็เป็นเรื่องที่เจ้าถนัดที่สุดอยู่แล้วมิใช่หรือไร? ปีนั้นเจ้าก็เป็นคนทำเรื่องพวกนี้ มาบัดนี้ ก็คงเป็นคนทำด้วยเหมือนกัน!”
คำพูดของโหมวเจินทำให้ผู้คนต่างก็งุนงง
โหมวหยางเอ่ยด้วยสีหน้าเย็นเยียบ
ในลานจัตุรัสพลันเงียบสงัดลงในพริบตา
โหมวฝูซานนิ่วหน้าพลางเอ่ยว่า
“ท่านประมุข ฐานะของพวกเขาล้วนมิใช่ธรรมดาสามัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแล้วเมื่อด้านในยังมีหงส์ทองคำรวมอยู่ด้วย หากฆ่าทิ้งจริงแล้วไซร้ เกรงว่าภายหลังจะมีแต่ปัญหาตามมาไม่หยุด… ยิ่งไปกว่านั้น มีเรื่องราวอีกมากที่ยังไม่ได้รับการตรวจสอบแน่ชัด…”
โหมวหยางปรายตามองเขาแวบหนึ่ง
“ผู้อาวุโสฝูซาน ข้ารู้ว่าเมื่อก่อนท่านรักใคร่เอ็นดูโหมวเจินยิ่งกว่าใคร แต่ท่านดูให้เต็มตาเถิดว่าเขากระทำเรื่องทั้งหมดนี่ขึ้นมา! ฆ่าเขาทิ้งเสีย พวกเราก็นับว่าผดุงคุณธรรมอย่างถึงที่สุดแล้ว! หรือท่านคิดจะปล่อยให้เขาอยู่ทำร้ายคนในตระกูลต่ออย่างนั้นหรือ!? ส่วนเจ้าสองคนนั้นกับหงส์ทองคำนั่น… พวกมันบุกรุกเข้าเกาะมังกรศักดิ์สิทธิ์ของข้าตามอำเภอใจ ถึงขั้นใช้กลอุบายผลีผลามเข้าวิหารไท่ซวี เดิมก็สมควรตายอยู่แล้ว!”
ไม่ว่าใครก็ไม่มีค่าพอจะร้องขอให้ละเว้นทั้งนั้น!
คิ้วของโหมวฝูซานที่ขมวดเข้าหากันยิ่งผูกปมแน่นมากกว่าเก่า
ครานั้นเขาชื่นชมโหมวเจินอย่างมากจากใจจริง แต่เหนือเรื่องผิดถูก เขาก็รู้ว่าสิ่งใดควรทำ สิ่งใดมิควร
ตอนนี้เขาคิดแค่ว่าอยากลองสืบเรื่องราวส่วนหนึ่งให้แน่ชัด อย่างเช่นว่าโหมวเจินเข้าไปในวิหารไท่ซวีอีกครั้งได้อย่างใด ทั้งยังพำนักอยู่ในเสามังกรเคลื่อนได้เป็นเวลาหลายพันปี?
หรือไม่ก็เรื่องที่ว่าเกิดอันใดขึ้นกับกายเนื้อร่างนี้ของเขาอีก?
ไหนจะเรื่องพวกหรงซิวสองคนนั้นกับโหมวเจินและความสัมพันธ์ของเรื่องราวทั้งหมดนี้…
มีคำถามอีกมากมายก่ายกองที่ยังไม่ได้รับการไขข้อข้องใจ
โหมวหยางกลับดูจะไม่อยากไปตรวจสอบแม้แต่นิดเดียว
ไม่รู้ว่าเป็นความเข้าใจผิดของเขาหรือเปล่า
แต่โหมวหยางดูจะอยากฆ่าพวกโหมวเจินทิ้งให้ได้เสียตอนนี้ จะพูดว่ารีบร้อนเกินไปก็ไม่ผิดนัก
เขาแค่พูดโน้มน้าวไม่กี่ประโยค อารมณ์ตอบสนองของโหมวหยางกลับรุนแรงอย่างมาก ช่างแปลกประหลาดโดยแท้
โหมวเจินมีความผิดจริง แต่ในฐานะประมุขแล้ว การที่โหมวหยางมีท่าทีแบบนี้ก็ไม่เหมาะสมเช่นกัน…
เมื่อเห็นว่าโหมวฝูซานถูกโหมวหยางสาดอารมณ์โมโหใส่ แม้ผู้อื่นจะรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง แต่ก็ล้วนพากันเงียบเสียงลงในบัดดล
โหมวหยางกวาดสายตาเย็นเยียบไปทั่วสี่ทิศ
“มัวยืนอึ้งอันใดกัน!?”
ฟึ่บ ฟึ่บ!
บรรดาผู้อาวุโสที่อยู่โดยรอบต่างทยอยพุ่งไปข้างหน้า เตรียมรวมพลังลงมือใส่คนเหล่านั้น!
โหมวเจินแค่นหัวเราะ
“โหมวหยาง ยังไม่ทันได้ชำระหนี้เลย จะรีบร้อนขนาดนี้ไปไย? วันนี้ทุกคนรวมตัวอยู่ที่นี่กันพอดี พวกเรามาตัดสินให้รู้แล้วรู้รอดเลยเถอะ!”
………………..