ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1772 หลักฐาน
ตอนที่ 1772 หลักฐาน
………………..
ยามโหมวเจินเอ่ยปากก็แฝงด้วยแรงกดดันมหาศาลเปี่ยมพลังรุนแรง ทำให้บรรดาฝูงชนที่อยู่โดยรอบพากันชะงักฝีเท้าโดยไม่รู้ตัว
“ตอนนั้นเจ้าสังหารคนในเผ่าเราไปเจ็ดคนอย่างเลือดเย็น นี่คือความผิดข้อแรก!”
“จากนั้น เจ้าก็ฉวยโอกาสตอนที่ข้ากำลังอยู่ในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานของการบุกทะลวงลงมือโจมตีข้า ทั้งยังผลักเอาการตายของคนในเผ่าทั้งเจ็ดคนมาไว้ที่ข้า นี่คือความผิดข้อสอง!”
“สุดท้าย เจ้าฉวยโอกาสตอนที่ข้าถูกขังอยู่บนยอดเขาสัตตบงกช บีบบังคับชิงเอาพลังแห่งสายเลือดของข้าไปเพิ่มพูนทักษะของตัวเอง! นี่คือความผิดข้อสาม!”
“โหมวหยางเอ๋ย แต่ละเรื่องที่ข้าเอ่ยมานี้ มีเรื่องไหนบ้างที่เจ้าไม่ได้ทำ!? ก่อบาปมหันต์หลายต่อหลายคราเอย แบกรับชีวิตคนในเผ่ามากมายเอย เจ้ายังมีหน้ามาสอบสวนข้าอีกหรือ!?“
สีหน้าของโหมวเจินเย็นยะเยือก สายตาดุจใบมีดแหลมคมจับจ้องโหมวหยางอย่างเอาเป็นเอาตาย ก่อนเอ่ยถากถางโดยมิคิดปิดบัง
“ข้าเองก็อยากถามเจ้า ที่เจ้าเหยียบย่ำกระดูกและเลือดเนื้อของคนในเผ่าเพื่อไต่สู่ตำแหน่งประมุข หลายปีมานี้ เจ้านั่งอย่างสงบจิตสงบใจไปได้อย่างใด!”
เสียงของโหมวเจินกระจายไปทั่วจัตุรัสอันกว้างใหญ่ ตกกระทบเข้าหูของคนทุกผู้อย่างชัดเจนจนหาสิ่งใดเทียบไม่ได้!
ทุกอย่างเงียบกริบลงในฉับพลัน!
ทุกคนต่างพากันหันมองโหมวหยางโดยไม่รู้ตัว
นี่…
มิใช่ว่าตอนนั้นบอกว่าเป็นโหมวเจินกระทำเรื่องพวกนี้หรอกหรือ? แล้วมันเกี่ยวอันใดกับโหมวหยางด้วยเล่า?
เมื่อรับรู้ได้ถึงสายตาเหล่านั้น โหมวหยางก็กัดฟันกรอด!
ท้ายที่สุดก็มิอาจขัดขวางไม่ให้โหมวเจินเล่าเรื่องพวกนั้นออกมาได้!
แต่โชคยังดีที่ก่อนหน้านี้เขาเตรียมสภาพจิตใจมาดีพร้อม ดังนั้นตอนนี้จึงสามารถควบคุมสีหน้าและปฏิกิริยาของตัวเองเอาไว้ได้อยู่หมัด
เขาทำราวกับได้ยินเรื่องตลกชวนขบขันก็มิปาน จากนั้นหัวเราะออกมาเสียงเย็น
“โหมวเจิน เจ้าพูดจาเหลวไหลบ้าบออันใดกัน? คนในเผ่าเจ็ดคนนั้นตายในเงื้อมือเจ้า อีกทั้งหลักฐานในครานั้นก็สรุปแล้วว่าเป็นเจ้าที่ทำจริงแท้แน่นอน ปฏิเสธอย่างใดก็ดิ้นไม่หลุด! เรื่องนี้น่ะตัดสินจบไปนานแล้ว บัดนี้เจ้ากลับมาพูดว่าเป็นข้าที่สังหารคน? นี่ออกจะน่าขันไปหน่อยแล้วกระมัง!”
“ยิ่งไปกว่านั้น ข้าจะมีเหตุผลอันใดถึงต้องเปลืองแรงมาหาเรื่องใส่ร้ายเจ้าด้วยเล่า?”
คิ้วกระบี่ของโหมวเจินเลิกขึ้นน้อยๆ
“เหตุผลหรือ… มิใช่ว่าตัวเจ้าเองรู้ดีที่สุดหรอกหรือ? ครานั้นเจ้ามีทักษะแค่คนธรรมดาทั่วไป ต่อให้ไม่มีข้า คนในเผ่าที่โดดเด่นกว่าเจ้าก็ไม่มีน้อย เหตุใดตอนนี้ตำแหน่งประมุขมาตกถึงมือของเจ้าได้เล่า!?”
ทันทีที่ประโยคนี้ถูกถามออกไป ก็ทำให้คนจำนวนไม่น้อยสีหน้าเปลี่ยนทันควัน
แท้จริงแล้วมีคนจำนวนไม่น้อยที่สงสัยในเรื่องนี้มาโดยตลอด
ตอนนั้นโหมวหยางมิอาจนับได้ว่าเป็นตัวตนที่อยู่ระดับแนวหน้าของเผ่าได้จริงๆ
งานหมื่นคีรีที่ถูกจัดขึ้นบนยอดเขาสัตตบงกช อย่างมากที่สุดก็อยู่แค่ระดับกลางค่อนสูง
ทว่าหลังจากงานหมื่นคีรี ทักษะและความสามารถของเขาก็พุ่งทะลุฟ้า
ทุกคนต่างพร้อมใจกันคิดว่านี่ล้วนเป็นเพราะโหมวหยางได้สืบทอดพลังอันแข็งแกร่งหลังจากเข้าไปในวิหารไท่ซวีตอนร่วมงานหมื่นคีรี
ก่อนหน้านี้ใช่ว่าในเผ่าจะไม่มีเรื่องแบบนี้มาก่อน เพียงแต่ว่าเขาเป็นคนเดียวที่บังเกิดความเปลี่ยนแปลงจนเห็นได้ชัดที่สุด
เขาเริ่มก้าวข้ามคนในเผ่าที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน อีกทั้งโหมวเจินในตอนนั้นก็หายสาบสูญ เขาจึงไร้คู่แข่งและกลายเป็นผู้ที่โดดเด่นน่าจับตามองที่สุด!
ภายหลังตำแหน่งประมุขย่อมตกอยู่ในเงื้อมือของเขาไปโดยปริยาย
มาบัดนี้โหมวเจินกลับพูดว่าตอนนั้นโหมวหยางชิงเอาพลังแห่งสายเลือดของเขาไป…
พอมาคิดดูดีๆ ก็ใช่ว่า… จะเป็นไปไม่ได้เสียทีเดียว!?
โหมวหยางรับรู้ถึงบรรยากาศโดยรอบที่เปลี่ยนแปลงไปในทันที
ส่วนลึกในจิตใจเขาพลันบังเกิดความกระวนกระวาย ทว่าบนดวงหน้ากลับยังคงฉาบความเรียบนิ่งเอาไว้ได้ เขาแค่นหัวเราะเสียงเย็นพลางเอ่ย
“เจ้าจะบอกว่าข้าแย่งชิงพลังแห่งสายเลือดของเจ้าไป? เช่นนั้นเหตุใดเจ้าถึงยังมีชีวิตอยู่จนถึงตอนนี้ได้เล่า!?”
ไม่มีพลังแห่งสายเลือดช่วยประคับประคอง เขาก็ตายไปนานแล้ว!
โหมวเจินหัวเราะร่าเสียงดังลั่น
สีหน้าของโหมวหยางพลันแข็งทื่อ ในอกราวกับมีไฟแผดเผาลุกโชนขึ้นมาทันควัน!
ความจริงแล้วเขารู้สึกมาแต่แรกแล้วว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง
เพราะหลังจากได้รับพลังแห่งสายเลือดของโหมวเจินมา ทักษะเดิมของเขาก็มิได้พัฒนาจนแข็งแกร่งขึ้นเหมือนอย่างเขาคาดคิดไว้ขนาดนั้น
ทว่าเขาก็ค่อยๆ รู้สึกว่าแบบนี้เองก็ไม่เลวนัก
ในมุมหนึ่ง ทักษะและพลังของเขาแข็งแกร่งขึ้นมาไม่น้อยแล้วจริงๆ อย่างน้อยที่สุดก็เพียงพอที่จะให้เขาบดขยี้คนอื่นในเผ่าได้
ส่วนอีกมุมหนึ่ง การที่เขาเป็นแบบนี้กลับมิได้ดึงดูดความสนใจของผู้คนมากจนเกินไป หากมีคนถาม เขาก็บอกได้ว่าเป็นเพราะตัวเองได้รับสืบทอดพลังชั้นเยี่ยมมา
อย่างใดเสียเขาก็สามารถพึ่งพาพลังนี้เพื่อให้ได้มาซึ่งทุกสิ่งที่เขาต้องการได้ จะไปสนใจเรื่องหยุมหยิมเล็กน้อยเหตุใดอีก?
ดังนั้น หลายปีมานี้ เขาจึงไม่ได้คิดมากเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกเลย
จนกระทั่งมาได้ยินคำพูดเช่นนี้ของโหมวเจิน!
เหตุผลที่เขาโกรธเกรี้ยวและสติแตกเพียงนี้นั้น มิใช่เพราะสิ่งที่โหมวเจินพูดแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะน้ำเสียงที่ถือดีไม่เคยเปลี่ยนเช่นนั้นของโหมวเจินต่างหาก!
น้ำเสียงที่ทำเหมือนว่าคนอื่นทำได้แค่อยู่ใต้เท้าตัวเอง ไม่มีวันจะโงหัวขึ้นมาได้แบบนั้น!
เขาเกลียดความรู้สึกแบบนี้ที่สุด!
เมื่อก่อน โหมวเจินเป็นลูกรักสวรรค์ เป็นตัวตนที่ส่องประกายที่สุดในเผ่า
ทว่าตอนนี้ เขาเป็นแค่คนบาปที่ทอดทิ้งเผ่าของตัวเอง! พึ่งแค่เศษซากครึ่งหนึ่งที่ซั่งกวนเยว่เหลือไว้ให้มาหลอมกายเนื้อใหม่อย่างยากลำบาก แขนสองข้างยังไม่มีด้วยซ้ำ! แล้วยังกล้ามาวางท่าอวดดีเช่นนี้อีก…
ช่างน่าขันจริงๆ!
ใต้หล้านี้มันเปลี่ยนไปตั้งนานแล้ว!
“พูดจาเหลวไหล! โหมวเจิน ข้าว่าเจ้าสิ้นสติไปแล้วจริงๆ นั่นแหละ!”
โหมวหยางพูดพลางปรายตามองไปทางบรรดาฝูงชน ก่อนเอ่ยตวาดเสียงดุ
คนจำนวนหนึ่งต่างลอบส่งสายตากันพลางขมวดคิ้ว
ในตอนนั้นเอง ไม่เพียงแต่โหมวฝูซาน กระทั่งพวกเขาเองยังจับสังเกตได้ว่าตัวโหมวหยางดูจะร้อนรนอยู่หลายส่วน
เขาดูรีบร้อนจะกำจัดโหมวเจินออกไป ประหนึ่งว่ารอไม่ไหวแล้วกระทั่งเสี้ยววินาทีหนึ่ง
ในตอนที่ผู้คนที่อยู่โดยรอบกำลังคิดจะลงมือนั่นเอง โหมวฝูซานพลันเอ่ยขึ้นมาว่า
“ช้าก่อน!”
เขาได้รับความนับถืออย่างมากในเผ่า ดังนั้นเมื่อออกปาก คนเหล่านั้นจึงหยุดชะงักในทันที
โหมวหยางเอ่ยถามด้วยสีหน้าเย็นเยียบ
“เหตุใด หรือผู้อาวุโสฝูซานคิดจะช่วยพูดแทนเขาจริงหรือ?”
โหมวฝูซานลูบเคราไปมาพลางเอ่ยอย่างเชื่องช้า
“ท่านประมุขเข้าใจผิดแล้ว ข้าทำเช่นนี้เพราะหวังดีต่อท่านต่างหากเล่า! เขาดูหมิ่นท่านปานนี้ ทำลายชื่อเสียงของท่านจนป่นปี้ เป็นเรื่องร้ายแรงอย่างยิ่ง หากฆ่าเขาเสียตอนนี้ จะยิ่งดูเหมือนว่าท่านรู้สึกผิด แล้วตอกย้ำเข้าไปอีกว่าสิ่งที่เขาโจมตีท่านเป็นความจริง ข้าคิดว่ามิสู้ตรวจสอบเรื่องนี้ให้รอบคอบชัดเจน เช่นนี้จะเป็นการดีที่สุดต่อตัวท่านและทุกคนในเผ่า ท่านคิดเห็นอย่างใด?”
แม้น้ำเสียงของโหมวฝูซานจะเป็นเชิงไต่ถาม หากแต่สีหน้าแน่วแน่นัก บ่งบอกอย่างชัดเจนว่าเขาตัดสินใจแล้วว่าจะทำเช่นนี้
ในใจโหมวหยางโกรธเกลียดเสียจนคันยุบยิบ
โหมวฝูซานผู้นี้ก็เป็นตัวปัญหาใหญ่เหมือนกัน!
หากเขาคอยอยู่ข้างๆ แล้วนิ่งเสีย เรื่องนี้ก็คงจัดการจบไปนานแล้ว!
แต่เขาก็ยังดื้อด้านจะเสนอหน้าออกมา เอาแต่พูดว่าเรื่องนี้ต้องได้รับการตรวจสอบให้ชัดเจน!
เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พยายามยับยั้งไฟโทสะที่อยู่ในใจลงอย่างยากลำบาก
“ได้! ในเมื่อผู้อาวุโสฝูซานอยากตรวจสอบ เช่นนั้น… ท่านก็ตรวจสอบเอาเถิด!”
เขาไม่เชื่อหรอกว่าโหมวเจินที่ครานั้นมิอาจแก้ต่างอย่างชัดเจนให้ตัวเอง มาบัดนี้จะพลิกโอกาสกลับมาได้!?”