ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1775 คนโปรด .
ตอนที่ 1775 คนโปรด
………………..
โหมวหยางถึงกับพูดไม่ออก
โหมวฝูซานจ้องตาเขาเขม็งด้วยสายตาคมปลาบดุจมีด ราวกับชำแหละเขาออกมาดูจนหมดจด!
จังหวะนั้นเอง โหมวหยางก็รับรู้ได้ว่าโหมวฝูซานไม่เชื่อเขาอีกต่อไปแล้ว
เขาหลบสายตาของโหมวฝูซานโดยไม่รู้ตัว
ทว่าบัดนี้สายตาที่จับจ้องมาจากทั่วทุกสารทิศคล้ายมีคล้ายไม่มีมาอยู่รวมกัน ทำให้เขารู้สึกอยู่ไม่สุข
ความรู้สึกกระวนกระวายยิ่งทวีคูณขึ้นเรื่อยๆ
ลมหายใจของโหมวหยางถี่กระชั้นขึ้น ใจเต้นกระตุกรัวแรง ส่วนอาการบาดเจ็บบนร่างเองก็รุนแรงจนทานทนแทบไม่ไหว
…
โหมวฝูซานเบนสายตากลับมามองโหมวเจิน
ทว่าในใจของเขามีข้อตัดสินเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
เขาคุ้นเคยกับทั้งโหมวเจินและโหมวหยางมาแต่ไหนแต่ไร
โหมวเจินในตอนนี้ดูเผินๆ อวดดีมุทะลุดั่งวันวาน หากแต่สายตากลับมั่นคงแลสงวนท่าทีมาตั้งแต่ต้น ไหนเลยจะมีสิ้นสติไปได้?
กลับกัน เป็นโหมวหยางต่างหาก
ตั้งแต่รู้ว่าหรงซิวและซั่งกวนเยว่ลอบออกจากยอดเขาสัตตบงกช แล้วเข้าไปในเสามังกรเคลื่อนของวิหารไท่ซวี ท่าทีของเขาก็ดูผิดแผกไปจากเดิมอย่างมาก
เทียบกับเมื่อก่อนแล้ว ไม่เพียงแต่โมโหร้ายฉุนเฉียวง่าย ทั้งยังใจร้อนและระแวดระวังมากกว่าเก่า
หลังจากเห็นโหมวเจินปรากฏตัว ปฏิกิริยาเหล่านี้ก็ดำเนินไปสู่จุดสูงสุด
หากตอนนั้นโหมวหยางบริสุทธิ์จริง เหตุใดต้องขัดมิให้โหมวเจินพูดจบด้วย? เหตุใดถึงไม่ยอมให้พวกเขาตรวจสอบหาความจริงให้ชัดเจน?
คำตอบปรากฏฉายชัดออกมาแล้ว!
…
“ไม่ได้เจอกันตั้งนาน… แล้วจริงๆ …”
เขากำมือเข้าหากันเบาๆ รับรู้ถึงพลังที่พลุ่งพล่านอยู่ข้างใน ก่อนถอนใจออกมาแผ่วเบา
ครานั้น โหมวหยางจงใจลงมือในตอนที่ร่างกายของเขาอยู่ในช่วงอ่อนแอที่สุด จึงกระทำการสำเร็จได้
เขาเองก็เคยแก้ต่างให้ตนเอง น่าเสียดายที่ตอนนั้นไม่มีผู้ใดเชื่อเขาเลย
ต่อให้เขาอยากจะแก้แค้น ตัวเองก็ตกอยู่ในสภาพเหมือนเชือกที่ขาดวิ่น ไร้พลังและหมดหวัง
สุดท้าย เขาก็ทำได้แค่เลือกกบดานอยู่ในเสามังกรเคลื่อน
การกบดานที่ว่ากินเวลายาวนานหลายพันปี!
เขาเคยคิดว่าตัวเองคงไม่มีหวังจะได้ออกมาแล้ว
ทว่าโชคยังดี…สวรรค์คงเมตตา จึงประทานโอกาสมาให้เขาอีกครั้งหนึ่ง!
แทบจะในเวลาเดียวกันนั้น กลุ่มแสงสีทองประกายม่วงข้างกายถวนจื่อพลันเกิดความเคลื่อนไหว!
บรรยากาศสั่นสะเทือน กระแสพลังสาดซัด
ฉู่หลิวเยว่หันศีรษะกลับไปมองด้วยสายตาวูบไหว
จากนั้น มือเรียวยาวข้างหนึ่งก็ยื่นออกมาจากภายในกลุ่มแสงนั้น
ถวนจื่อพลันเบิกตากว้าง!
มือ!?
มือมนุษย์อย่างนั้นหรือ!?
นี่ นี่…
ท่ามกลางสายตาตื่นตกใจของนาง เงาร่างสูงโปร่งร่างหนึ่งก็ก้าวเดินออกมาจากกลุ่มแสงสีทองประกายม่วง
นั่นคือชายหนุ่มอายุอานามประมาณยี่สิบแปดยี่สิบเก้าเห็นจะได้ ดวงหน้าตอบ เครื่องหน้ากระจ่างลึกล้ำ
หว่างคิ้วของเขาประดับด้วยเส้นขีดแนวนอนสีทองม่วงอันเพิ่มให้เขาชวนหลงใหลอย่างน่าประหลาดขึ้นไปอีก
เขามีรูปร่างที่สูงมาก สวมชุดคลุมยาวสีดำ ขับเน้นให้ไหล่เขาดูกว้างเอวดูคอด สูงโปร่งยิ่งกว่าเก่า
ดวงตาทรงผลองุ่นของถวนจื่อจ้องมองกลมแป๋ว นิ้วมือเล็กป้อมชี้ไปหาอีกฝ่าย ก่อนจะพูดอึกอักอย่างหาได้ยาก
“จะ จะ… เจ้าคือจื่อเฉินหรือ?”
จื่อเฉินได้ยินดังนั้นจึงตวัดสายตามองตามไปด้วยสีหน้าเฉยชา
“ก่อนหน้านี้ต้องขอบคุณเจ้ามาก”
เขาเอ่ยขอบคุณถึงทุกสิ่งที่ถวนจื่อทำเพื่อช่วยเขา
จื่อเฉินมีนิสัยเฉยชาและพูดน้อยมาแต่ไหนแต่ไร กว่าจะพูดออกมาสักประโยคใช่ว่าจะหาดูได้โดยง่าย
ทว่าถวนจื่อในตอนนี้กลับมึนงงไปแล้วเรียบร้อย
นางจ้องเขาด้วยอาการตื่นตะลึง ในหัวเหลือเพียงความคิดเดียวเท่านั้น
จบสิ้นแล้ว!
เกรงว่าความปรารถนาที่จะได้เป็นพี่ใหญ่คงปลิวหายไปเสียแล้ว!
คิดมาถึงตรงนี้ ถวนจื่อก็บึนปากอย่างอดไม่ได้ ในใจรู้สึกเสียใจและผิดหวังอย่างยิ่ง
เช่นนั้นก่อนหน้านี้ ที่ทุ่มเทไปทั้งหมดคือเสียเปล่าน่ะสิ!
นางตัวเล็กขนาดนี้ ยังสูงไม่เท่าต้นขาคนเขาเลยด้วยซ้ำ!
แค่ลักษณะมาดนางก็แพ้แล้ว!
ที่สำคัญคือ… ลมปราณบนร่างของจื่อเฉินห่างชั้นกับนางไม่มากแล้วจริงๆ!
ใช่สิ
พลังของโหมวเจินเพิ่มพูนขึ้น พลังของเขาเองก็ย่อมมากขึ้นตามไปด้วย!
“ฮึ!”
ถวนจื่อหันกายขวับด้วยท่าทีปั้นปึ่ง สองแขนเล็กๆ กอดอกเข้าด้วยกัน กระดิ่งบนศีรษะส่งเสียงกรุ๋งกริ๋งกังวาน
โมโหชะมัด!
เมื่อก่อนสู้เขาไม่ได้เลย หลังบุกทะลวงกลายสภาพเป็นหงส์ทองคำแล้วถึงพอนับว่าชนะขึ้นมาบ้าง
จื่อเฉินมองดูแผ่นหลังเล็กๆ สีหน้าพลันฉายแววประหลาดใจ
ทว่าไม่ช้า เขาก็เข้าใจถึงอันใดบางอย่าง ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากัน ในแววตาทอประกายจนปัญญาเบาบาง
ช่างนิสัยเด็กน้อยเสียนี่กระไร…
ฉู่หลิวเยว่ที่กำลังมองดูจื่อเฉินเองก็ค่อนข้างประหลาดใจอยู่ไม่น้อย
แท้จริงแล้วก่อนหน้านี้นางก็เดาได้ว่าที่จื่อเฉินไม่ยอมออกมาสักที คงเป็นเพราะกำลังทำบางอย่างอยู่
แต่นางแค่คิดว่าเขาคงกำลังบุกทะลวงอยู่เท่านั้น คาดไม่ถึงเลยว่าเขาจะแปลงสู่ร่างมนุษย์!
ต้องเข้าใจก่อนว่า เผ่าที่ทำเช่นนี้ได้ในใต้หล้านี้มีเพียงสองอสูรศักดิ์สิทธิ์ระดับบรรพกาล!
นอกจากหงส์ทองคำและไท่ซวีเฟิ่งหลงแล้ว สัตว์อสูรเผ่าอื่นแม้นจะโดดเด่นเก่งกล้าเพียงใด ก็มิอาจทำเช่นนี้ได้
แปดในสิบส่วนเป็นเพราะภายในร่างกายของจื่อเฉินมีกระดูกปีกทั้งสองข้างของไท่ซวีเฟิ่งหลง ทั้งยังรับเอาพลังแห่งสายเลือดส่วนหนึ่งมาผสมกันด้วยถึงได้บังเกิดปาฏิหาริย์เช่นนี้
แน่นอนว่าผู้ที่เป็นตัวแปรสำคัญที่สุดในงานนี้คือโหมวเจิน!
หากไม่ใช่เขาที่ใช้กระดูกพวกนั้นในการหลอมร่างเนื้อขึ้นมาใหม่แล้วกระตุ้นจื่อเฉิน เกรงว่าเรื่องเช่นนี้คงมิอาจเกิดขึ้น
แต่ไม่ว่าอย่างใดก็ตาม นี่ล้วนเป็นเรื่องดีทั้งสิ้น!
เมื่อรับรู้ได้ถึงครรลองสายตาของนางที่มองมา จื่อเฉินเองก็หันไปมองเช่นกัน
เขาสาวเท้าไปข้างหน้า หยุดห่างจากเบื้องหน้าของฉู่หลิวเยว่สามก้าว ก่อนจะค้อมศีรษะคำนับ
“คารวะนายท่าน”
ริมฝีปากของฉู่หลิวเยว่โค้งเป็นรอยยิ้ม
“ยินดีด้วยนะจื่อเฉิน!”
ทันใดนั้นเอง กลุ่มก้อนนุ่มๆ ก็โถมเข้ามา
ถวนจื่อถลามากอดต้นขาของฉู่หลิวเยว่ไว้แน่น ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองหน้า
“อาเยว่! อาเยว่โปรดปรานข้าที่สุดเลยใช่หรือไม่!?”
นางต้องเป็นคนโปรดของอาเยว่อยู่แล้วสิ!
จื่อเฉินยืนฟังด้วยสีหน้าเฉยชา
เขาไม่สนใจเรื่องพวกนี้เลยแม้แต่น้อย
ตั้งแต่ฉู่หลิวเยว่ช่วยเขาหลอมกายเนื้อขึ้นมาใหม่ให้เขาได้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง เขาก็ตกลงปลงใจแล้วว่าฉู่หลิวเยว่คือนายท่านเพียงคนเดียวของเขา
ไม่จำเป็นต้องพูดอันใดให้มากความ เขาก็จะซื่อสัตย์ภักดีต่อนางตลอดไป
ส่วนถวนจื่อ… ติดตามฉู่หลิวเยว่มาตั้งแต่เล็ก อายุยังน้อยนัก นิสัยใสซื่อบริสุทธิ์ ย่อมใส่ใจเรื่องพวกนี้เป็นธรรมดา
ฉู่หลิวเยว่หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก มือหยิกแก้มนางเบาๆ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงหว่านล้อมว่า
“แน่นอนซี! ถวนจื่อน่ารักขนาดนี้ ข้าต้องชอบถวนจื่อที่สุดอยู่แล้ว!”
ทันทีที่พูดจบ อุณหภูมิรอบกายพลันต่ำลงในบัดดล
หรงซิวเลิกคิ้วขึ้นด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม
“โอ้?”
………………..