ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1776 อำนาจแห่งบรรพชน
ตอนที่ 1776 อำนาจแห่งบรรพชน
………………..
แผ่นหลังของฉู่หลิวเยว่แข็งทื่อ ก่อนจะหันมองไปทางหรงซิวโดยไม่รู้ตัว
หรงซิวเลิกคิ้วกระบี่ขึ้นน้อยๆ
แม้เขาไม่พูดอันใด แต่ฉู่หลิวเยว่ก็เข้าใจถึงความหมายที่เขาจะสื่อ
คงไม่พ้นเพราะคำว่า “ชอบที่สุด” เมื่อครู่เป็นแน่
ฉู่หลิวเยว่พลันปวดหัวขึ้นมาไม่น้อย
ถวนจื่อคือหงส์ทองคำ คือสัตว์อสูรในพันธสัญญาของนาง!
จะไปมีอันใดให้ชิงดีชิงเด่นกัน?
สถานการณ์ตรงหน้าซับซ้อนปานนี้ พวกเขากลับมาเกี่ยงงอนกันเพราะเรื่องนี้…
ฉู่หลิวเยว่รู้สึกละเหี่ยใจยิ่งนัก
นางนั้นรู้ดีอยู่แก่ใจ
กล่อมเด็กน้อยว่ายากแล้ว
กล่อมบุรุษเองก็ยากพอกัน!
นางกระแอมไอคราหนึ่ง
“ชอบทุกคนนั่นล่ะ แค่ก! ชอบทุกคน!”
นางพูดพลางยื่นมือออกไปคว้ามือหรงซิวไว้พลางใช้ปลายนิ้วเขี่ยฝ่ามือเขาเบาๆ
จั้กจี้ชะมัด
หรงซิวคิด
ทว่ากลับชวนให้รู้สึกชมชอบยิ่ง
มุมปากเขาหยักวาดเป็นเส้นโค้ง พลิกฝ่ามือกลับมากุมมือนางแน่น เรื่องนี้นับว่าช่างมันแล้วกัน
นางเชิดอย่างถือดี เลิกคิ้วให้จื่อเฉินเป็นเชิงยุแหย่
รอนางเติบใหญ่แล้ว จะต้องรับเขามาเป็นน้องเล็กให้ได้!
ประกายตาจื่อเฉินวูบไหว จากนั้นก็เบี่ยงสายตาหลบไป
…
เพราะการปรากฏตัวของจื่อเฉิน บรรดาฝูงชนในจัตุรัสจึงตกอยู่ในความเงียบสงัดชั่วขณะ
ทว่าในไม่ช้า พวกเขาก็กลับมาคึกคักกันอีกครั้ง
“นั่นมัน… อินทรีสามตา!? เหตุใดเขาถึงแปลงกายเป็นมนุษย์ได้!?”
“แปลกประหลาดเสียจริง… พวกเจ้ารู้สึกถึงลมปราณของพวกเราเผ่าไท่ซวีเฟิ่งหลงบนตัวเขาบ้างหรือไม่”
“เหอะ นี่มิใช่เรื่องปกติหรอกหรือ? อย่าลืมสิว่าตอนแรกซั่งกวนเยว่ผู้นั้นรับเอากระดูกปีกของผู้อาวุโสมาช่วยเขาหลอมกายเนื้อขึ้นมาใหม่!”
“ซี้ด… พูดไปก็ถูก! พอพูดแบบนี้แล้ว… อินทรีสามตานั่นกับโหมวเจินก็ใช้กระดูกชิ้นเดียวกันอยู่น่ะซี?”
“ต้องใช่แน่ เมื่อครู่หลังจากพละกำลังของโหมวเจินกล้าแกร่งขึ้น ลมปราณของเจ้าอินทรีสามตานั่นก็พุ่งพรวดตามขึ้นมาไม่น้อยเช่นกัน!”
“แต่ถ้าเป็นอย่างที่พูดจริงๆ ล่ะก็ เช่นนั้น… ก็แปลว่าโหมวเจินกับเจ้าอินทรีสามตามีสายใยเชื่อมต่อกันอยู่มิใช่หรือไร”
…
บรรดาเสียงวิพากษ์วิจารณ์แว่วลอยเข้าหูมาจากทั่วทุกสารทิศ
คนจำนวนมากรับรู้ถึงสายสัมพันธ์พิเศษระหว่างจื่อเฉินกับโหมวเจิน ก็ล้วนแต่หน้าเปลี่ยนสีกันถ้วนทั่ว
อินทรีสามตานับว่ามีระดับที่ค่อนข้างสูงในหมู่ของอสูรศักดิ์สิทธิ์ด้วยกัน แต่ก็ยังเทียบกับพวกเขาไม่ได้อยู่ดี
บัดนี้ผลออกมาเป็นเช่นนี้… ช่างแปลกพิกลมากเสียจริง
ไม่ว่าจะคิดอย่างใด ก็ชวนรู้สึกให้ไม่สบายใจนัก
โหมวหยางแสยะยิ้มอย่างกราดเกรี้ยว
“ผู้อาวุโสฝูซาน นี่น่ะหรือคนที่ท่านเลือกไว้ใจ? การทำเช่นนี้มันต่างอันใดกับทรยศเผ่าของเรากัน!”
…นอกจากวิธีนี้ เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นอีก
หากไท่ซวีเฟิ่งหลงคิดอยากหลอมกายเนื้อขึ้นใหม่ จะต้องใช้กระดูกของเผ่าเดียวกัน มิเช่นนั้นก็มิอาจทำสำเร็จ
นอกจากร้องขอให้ซั่งกวนเยว่ยื่นมือเข้าช่วยแล้ว เขาจะมีโอกาสอื่นใดอีก?
เรื่องนี้ยังพิสูจน์ให้เห็นอีกว่ามันได้ผลจริงๆ
เพียงแต่น่าเสียดาย ดันสร้างปัญหาให้อินทรีสามตามากกว่าเก่าเสียได้
จะให้คนในเผ่ายอมรับเรื่องนี้ เห็นทีคงเป็นไปไม่ได้แน่
“โหมวเจิน เจ้ามีสิ่งใดอยากพูดอีกหรือไม่”
โหมวฝูซานเอ่ยถาม
โหมวเจินหัวเราะร่า ก่อนเหลือบตามองไปทางโหมวหยาง
“เมื่อครู่ข้าพูดไปแล้วว่าที่กลับมาครานี้ ก็เพื่อทวงทุกอย่างที่เป็นของข้ากลับคืน! ทั้งพลังแห่งสายเลือดของข้า แล้วก็…ตำแหน่งประมุขด้วย!”
สิ้นเสียงคำพูด บรรดาฝูงชนพลันตื่นตกใจ!
โหมวเจินผู้นี้ออกจะอวดดีเกินไปหน่อยแล้ว!
จู่ๆ ก็มาพูดว่าจะชิงตำแหน่งประมุขกันทื่อๆ แบบนี้น่ะหรือ
โหมวหยางก็ยังหัวโด่อยู่ที่นี่หนา!
โหมวหยางเดาออกแต่แรกแล้วว่าเขาต้องพูดเช่นนี้ จึงแค่นหัวเราะเสียงเย็นเยียบออกมาอย่างอดไม่ได้พลางกล่าวว่า
“โหมวเจิน นี่คงเป็นเป้าหมายที่แท้จริงของเจ้าสินะ? ตำแหน่งประมุข… ไม่ได้ดูเลยหรือว่าตัวเจ้าคู่ควรหรือไม่!?”
ต่อให้โหมวเจินพิสูจน์ได้จริงว่าครานั้นเป็นเขาที่ชิงพลังแห่งสายเลือดส่วนหนึ่งของอีกฝ่ายไป แต่นั่นแล้วอย่างใดเล่า
อย่างใดเสียโหมวเจินก็ไม่มีทางอธิบายเรื่องการตายของคนในเผ่าทั้งเจ็ดคนนั้นได้!
มันไม่มีปัญญาหาหลักฐานที่มีน้ำหนักมาแย้ง อย่างมากเรื่องนี้ก็แค่กลายเป็นคดีอยุติธรรมที่จับต้นชนปลายไม่ถูก!
ปีนั้นโหมวเจินเป็นที่ยอมรับโดยทั่วกันไว้แล้วว่าเขาคือผู้สืบทอดตำแหน่งประมุขคนถัดไป
แต่ภายหลังเกิดเรื่องขึ้นมากมาย สุดท้ายคนที่ได้ครองตำแหน่งประมุขกลายเป็นโหมวหยางแทน
บัดนี้ ตำแหน่งประมุขของโหมวหยางนั้นรักษาเอาไว้ไม่ได้แล้ว
หากโหมวเจินชี้แจงความเข้าใจผิดทั้งหมด ยืนยันว่าตัวเองบริสุทธิ์ได้ ไม่แน่ว่าอาจมาแทนที่ตำแหน่งประมุขได้
ทว่าจุดสำคัญอยู่ที่… ตอนนี้เขาอธิบายเรื่องราวทั้งหมดออกมากำกวมนัก ยิ่งไปกว่านั้น ระหว่างเขากับอินทรีสามตาตัวนั้นสายใยพิเศษต่อกันด้วย
ลำพังแค่เรื่องนี้ พวกผู้อาวุโสย่อมไม่มีทางตกลงยอมให้เขาขึ้นเป็นประมุข
เผ่าไท่ซวีเฟิ่งหลงมีผู้อาวุโสอยู่ด้วยกันทั้งสิ้นเก้าคนที่มีอำนาจในการตัดสินใจเรื่องภายในเผ่า
หากคิดขึ้นเป็นประมุขเผ่า จะต้องได้รับความเห็นชอบเป็นเอกฉันท์จากผู้อาวุโสทั้งเก้า
เพียงแค่ด่านนี้ โหมวเจินก็ผ่านไปไม่ได้แล้ว
ทว่าโหมวเจินกลับหัวเราะออกมา
“ผู้อาวุโสฝูซาน จนถึงตอนนี้ ท่านยังไม่ได้ถามเลยว่าตอนนั้นโหมวหยางลงมือจัดการข้าไปเหตุใดกันแน่?”
โหมวฝูซานถึงกับตกตะลึง
เรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่ชวนให้ตื่นตกใจมากเสียจนเขาไม่มีเวลาถามเรื่องนี้ออกไปจริงๆ
เขาปรายตามองโหมวหยางอย่างเคลือบแคลง
เมื่อก่อนโหมวหยางกับโหมวเจินไม่เคยแสดงท่าทีเป็นปรปักษ์กันอย่างเปิดเผย เขาจึงคิดมาโดยตลอดว่าเป็นเพราะโหมวเจินโดดเด่นเกินไป ในใจโหมวหยางบังเกิดความอิจฉา ถึงได้ลงมือเหี้ยมโหดเช่นนี้
หรือว่า… เรื่องนี้ยังมีเงื่อนงำอื่นแฝงอยู่!?
ทั่วทั้งร่างของโหมวหยางแข็งเกร็ง ในใจค่อยๆ จมดิ่งลงไป!
โหมวเจินกล้าพูดถึงขนาดนี้ คงไม่ใช่ว่า… ของสิ่งนั้นยังอยู่ที่มันหรอกกระมัง!?
แต่นี่จะเป็นไปได้อย่างใดกัน!
ความคิดของโหมวหยางก็ตีรวนกันบ้าคลั่ง
…หรือว่าโหมวเจินกำลังยั่วยุเขาอยู่!?
โหมวฝูซานเอ่ยถาม
“โหมวหยาง ท่านมีอันใดจะพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้บ้างหรือไม่?”
การเอ่ยปากครานี้ เขากลับไม่เรียกว่าท่านประมุขอีกต่อไป แต่เรียกชื่อของโหมวหยางตรงๆ แทน!
คนจำนวนมากพากันลอบส่งสายตาอย่างว่องไว
ดูท่าทีแล้ว ผู้อาวุโสฝูซานได้ตัดสินใจไม่ให้โหมวหยางได้สืบทอดตำแหน่งประมุขแล้ว!
โหมวหยางได้ยินดังนั้น หางตาพลันกระตุกยิบ
เขาระงับอารมณ์ที่ถาโถมอยู่ในใจ ก่อนจะแค่นหัวเราะเย็นเยียบเป็นเชิงถากถาง
“หากคิดจะเล่นงานผู้ใด คนย่อมกุเรื่องขึ้นมาได้เสมอ ผู้อาวุโสฝูซาน ในเมื่อท่านไม่เชื่อข้าแล้ว เหตุใดยังต้องถามอีก? ข้าว่าไม่สู้ท่านไปถามโหมวเจินตรงๆ เลยดีกว่า! ดูสิว่าเขาจะให้คำตอบแบบใดมา!”
โหมวเจินหัวเราะร่า
“โหมวหยาง! ในเมื่อเจ้าไม่อยากพูด เช่นนั้นให้ข้าพูดเองเถอะ!”
เขาสาวเท้าก้าวมาข้างหน้า ลมปราณทั่วทั้งร่างพลันผันผวนอย่างรุนแรง!
จากนั้น บริเวณหว่างคิ้วของเขาพลันปรากฏลวดลายขึ้นมาอันหนึ่ง!
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ประกายแสงสีทองแกมม่วงพลันพวยพุ่งออกมาจากลวดลายอันนั้น ก่อนจะแปรสภาพกลายเป็นร่างไท่ซวีเฟิ่งหลงขนาดมหึมาคล้อยหลังเขาไป!
โฮก!
แรงกดดันมหาศาลเหนือจินตนาการราวกับมาจากอดีตกาลถาโถมเข้ามาโดยไม่ให้สุ้มให้เสียง!
ผู้อาวุโสฝูซานตกใจจนหน้าถอดสี