ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1778 นี่แค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น
ตอนที่ 1778 นี่แค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น
………………..
โหมวหยางตะเกียกตะกายถอยห่างโดยไม่รู้ตัว ด้วยหวังจะหยัดตัวลุกขึ้น
แต่แรงกดดันอันหนักหน่วงชวนหวาดหวั่นกดทับเขาไว้อย่างรุนแรงจนมิอาจขยับเขยื้อนไปไหนได้
ก้นบึ้งในจิตใจของเขาพลันบังเกิดความสิ้นหวังและหวาดกลัวอันลึกล้ำ
อารมณ์ตึงเครียดไหลเวียนอยู่ในอก ทำให้หน้าอกของเขาสั่นสะท้านอย่างรุนแรง ก่อนจะกระอักเลือดออกมากองโต!
โหมวเจินสะบัดชายเสื้อคลุม ประกายแสงสีทองแกมม่วงก่อตัวเป็นค่ายกลกางกั้นไว้ตรงหน้าเขา
เลือดของโหมวหยางสาดกระเซ็นลงบนค่ายกล ก่อนจะระเหยไปอย่างว่องไว
“อย่ามาทำเสื้อคลุมข้าเลอะ”
สีหน้าโหมวเจินเรียบนิ่งนัก ทว่าสุ้มเสียงกลับเย็นเยียบ
โหมวหยางยิ่งรู้สึกโกรธเกลียดและอับอายยิ่งกว่าเก่า ริมฝีปากสั่นระริก ทว่ายังไม่ทันเอ่ยออกมาสักคำก็กระอักเลือดออกมาอีกกองหนึ่ง
ยามพบเจอการทรมานเช่นนี้ สีหน้าของเขาซีดเผือดดุจร่างไร้วิญญาณ ลมหายใจรวยรินราวกับใกล้สิ้นลมก็มิปาน
โหมวเจินปรายตามองไปทางโหมวฝูซานและบรรดาผู้อาวุโสที่ยืนอยู่ข้างกายเขา
“ในเมื่อข้าสืบทอดพลังบรรพชนแล้ว ก็ควรขึ้นเป็นประมุขแทนโหมวหยาง มิทราบว่าท่านผู้อาวุโสทั้งหลายมีผู้ใดคัดค้านหรือไม่?”
หลังจากความเงียบงันชั่วขณะ โหมวฝูซานก็เป็นฝ่ายเอ่ยนำขึ้นมา
“ในเมื่อบรรพชนทำการตัดสินใจแล้ว พวกข้าย่อมต้องคล้อยตาม”
เมื่อเขาแสดงจุดยืนเช่นนี้ ผู้อาวุโสท่านอื่นเองก็ทยอยผงกศีรษะเป็นเชิงเห็นด้วย
“พวกเราทั้งหมดไม่คัดค้าน!”
นี่มิใช่การเชื่อฟังภายใต้แรงกดดันของโหมวเจินแต่อย่างใด หากแต่เป็นความตั้งใจจริงแท้ของพวกเขา
เมื่อก่อนพวกเขาเข้าใจโหมวเจินผิดไป ทว่าบัดนี้ทุกอย่างที่ปรากฏต่อหน้าล้วนเพียงพอที่จะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของโหมวเจินแล้ว
ต่อให้เขาไม่ได้รับสืบทอดพลังบรรพชน เขาก็ย่อมมีคุณสมบัติครบถ้วนอยู่ดี
หลังจากความเงียบสงัดครู่ใหญ่ บรรดาฝูงชนที่คุกเข่าอยู่ในจัตุรัสพร้อมใจกันกู่ตะโกนสรรเสริญ
“ขอแสดงความยินดีแก่ท่านประมุข!”
เสียงตะโกนสะเทือนลั่นฟ้า แฝงอากัปกิริยาเกรียงไกร!
สีหน้าของคนจำนวนมากค่อนข้างตื่นเต้นเลยทีเดียว
ความตระหนกตกใจและงุนงงสงสัยในคราแรกบัดนี้ล้วนสลายหายไปทันควัน
ที่หลงเหลืออยู่ มีเพียงความปิติและยินดีปรีดาเท่านั้น
จะไม่ให้ปิติได้อย่างใดเล่า?
โหมวหยางก่อเรื่องเลวทรามไว้มาก ถึงกับใช้วิธีการสกปรกฉกฉวยเอาตำแหน่งประมุข ช่างอับอายขายขี้หน้าเผ่าโดยแท้!
บัดนี้ถูกโค่นอำนาจลงไปก็นับว่าสมเหตุสมผลแล้ว
ส่วนทางโหมวเจิน เขาไม่เพียงแต่ไขความจริงในครานั้นให้กระจ่าง แต่ยัง… เป็นผู้ที่สืบทอดพลังแห่งบรรพชนอีกด้วย!
ได้คนเช่นนี้มาดำรงตำแหน่งประมุขย่อมแตกต่างอยู่แล้ว!
ต่อให้สายใยระหว่างเขากับอินทรีสามตาค่อนข้างพิเศษอยู่บ้าง แต่เมื่อเทียบกับการยอมรับจากบรรพชนแล้ว ย่อมไม่จำเป็นต้องนำมาพูดอีก
หากลองคิดดูก็พอรู้ว่าเหตุใดโหมวเจินถึงได้แอบซ่อนอยู่ในเสามังกรเคลื่อนมานานหลายปีขนาดนี้?
คงมิพ้นพึ่งความเอ็นดูจากบรรพชนอยู่แล้วกระมัง?
เรื่องนี้ย่อมไม่มีอันใดให้โต้แย้งอีก!
…
ยามได้ยินเสียงโห่ร้องตะโกนก้องอันอึกทึก ดวงตาของโหมวหยางกลิ้งกลอก ก่อนจะหมดสติไป
โหมวเจินยกฝ่ามือขึ้น สุ้มเสียงภายในจัตุรัสพลันเงียบสงัดลงในไม่ช้า
ฉู่หลิวเยว่มองภาพตรงหน้าพลางลอบถอนใจ
ครั้งนี้พวกเขายื่นมือช่วยได้ถูกคนจริงๆ
มุมปากของหรงซิวหยักยกน้อยๆ แล้วกุมมือนางแน่นกว่าเก่า
การมาเกาะมังกรศักดิ์สิทธิ์ครั้งนี้นับว่าอยู่นอกเหนือความคาดหมายโดยแท้
โชคยังดีที่แค่เจอเรื่องชวนตระหนกแต่ไม่มีอันตรายใดๆ สุดท้ายแล้วยังได้กำไรไปมหาศาลด้วย
สามารถผูกมิตรกับโหมวเจินได้ สำหรับพวกเขาแล้วย่อมนับว่าได้ประโยชน์ไปเต็มๆ
ครั้งนี้พวกเขาไม่เพียงแต่ออกไปได้โดยสวัสดิภาพ ทั้งภายหลังยังมีความสัมพันธ์อันดีกับเผ่าไท่ซวีเฟิ่งหลงด้วย
ด้วยความสัมพันธ์อันดีงามนี้ เรื่องราวมากมายในภายภาคหน้าย่อมจัดการได้สะดวกสบายขึ้นกว่าเก่าอย่างไม่ต้องสงสัย
…
โหมวเจินเอ่ยกับผู้อาวุโสท่านหนึ่งที่อยู่ข้างกายว่า
“ปลุกมันขึ้นมา”
ผู้อาวุโสท่านนั้นตอบรับ รุดไปด้านหน้าอย่างไวว่องแล้วกระชากคอเสื้อโหมวหยางขึ้นมา เขาไม่พูดพร่ำทำเพลง จัดการตบหน้าเขาไปสองฉาดด้วยเสียงดังฟังชัด
ใบหน้าของโหมวหยางบวมแดงขึ้นมาทันควัน ขณะเดียวกันก็ฟื้นขึ้นจากความปวดร้าวรุนแรง
เขาลืมตาอย่างโมโห มองเห็นโหมวเจินและผู้อาวุโสตรงหน้าที่เตรียมจะตบหน้าตัวเองรอบที่สามก็พลันเข้าใจถึงอันใดบางอย่าง
เขายังอยู่ที่นี่!
ชั่วพริบตา ความโกรธเกลียดพลันแปรเปลี่ยนเป็นความตื่นตระหนกและหวาดกลัว
เขาหดตัวถอยกรูไปด้านหลังโดยไม่รู้ตัว ทว่าโชคร้ายที่คอเสื้อถูกยึดไว้แน่นจึงมิอาจขยับเขยื้อนได้แม้แต่น้อย
เขาในตอนนี้ไร้แขนทั้งสองข้าง จึงมิอาจโต้กลับได้เลย
โหมวเจินคลี่ยิ้มออกมา เพียงแต่สำหรับโหมวหยางแล้ว รอยยิ้มนี้กลับเปรียบดั่งปีศาจมิปาน!
“โหมวหยาง ข้ารู้ว่าเจ้าอยากตายเสียตรงนี้ แต่บนโลกนี้ไหนเลยจะมีเรื่องที่น่าพึงใจมากมายเช่นนั้น?”
ในใจโหมวหยางพลันรู้สึกลางไม่ดี
โหมวเจินเงื้อมือขึ้น
เกราะเกล็ดสีทองเหลือบม่วงชิ้นหนึ่งพลันปรากฏขึ้นมาบนฝ่ามือของเขา
จากนั้น ประกายแสงระยิบระยับสายหนึ่งก็พุ่งออกมาจากหว่างคิ้วของเขา ก่อนเข้าปกคลุมร่างโหมว
หยาง!
ผู้อาวุโสท่านนั้นปล่อยมือทันที ก่อนจะถอยหลังไปหลายก้าว
ร่างของโหมวหยางเริ่มเกลือกกลิ้งไปมาบนพื้นดินราวกับได้รับความเจ็บปวดทรมานสาหัสก็มิปาน
ในไม่ช้า ร่างของเขาพลันบังเกิดความเปลี่ยนแปลง!
ไม่นาน เขาก็หวนกลับคืนสู่ร่างเดิมของตน!
โฮก!
ภายในเสียงคำรามของโหมวหยางเจือไปด้วยความหวาดกลัวและตื่นตระหนกสุดใจ
โหมวเจินเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง
“วางใจเถอะ ข้าไม่เอาชีวิตเจ้าทันทีหรอก ก็แค่… ขอทวงความยุติธรรมให้คนเผ่าเราทั้งเจ็ดก่อนแล้วกัน!”
พูดจบ เกราะเกล็ดในฝ่ามือของเขาก็บินทะยานออกไปในพริบตา!
ฉัวะ ฉัวะ ฉัวะ!
สุ้มเสียงบาดหูสายหนึ่งพลันดังแว่วขึ้นมา!
ร่างของโหมวหยางเริ่มเกลือกกลิ้งไปมาอย่างบ้าคลั่งยิ่งกว่าเก่า!
ไม่ช้า บนพื้นดินก็เต็มไปด้วยหยดเลือดที่ไหลรินลงมาจากเกราะเกล็ด
หยดเลือดบางกองมีกระทั่งเศษเนื้อหนังติดมาด้วย ดูแล้วชวนให้เหม็นคาวเลือดและน่าหวาดกลัวอย่างมาก
…โหมวเจินทำเช่นนี้ก็เพื่อถลกหนังเขา!
…
วิธีการเช่นนี้เรียกได้ว่าโหดเหี้ยมทารุณ
แต่เมื่อถึงเรื่องที่โหมวหยางเคยกระทำมา ก็ทำให้ผู้คนคิดได้ว่านี่เป็นสิ่งที่พวกเขาสมควรได้รับแล้ว!
คนเช่นนี้สมควรถูกแทงเป็นพันครั้งโดยแท้!
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลยว่าเขาจัดฉากสร้างเรื่องจนโหมวเจินตกอยู่ในสภาพแบบใดบ้าง
สำหรับเขาแล้ว ประสบเหตุเช่นนี้ยังนับว่ายังน้อยไปด้วยซ้ำ
เสียงกรีดร้องของโหมวหยางแผ่วเบาลงเรื่อยๆ ราวกับไร้กำลังจะดิ้นรน ลมหายใจค่อยๆ ขาดห้วง
จนกระทั่งเกล็ดมังกรชิ้นสุดท้ายบนตัวเขาถูกกรีดออกมา โหมวเจินถึงได้เอ่ยขึ้นมาว่า
“พามันไปส่งที่ยอดเขาสัตตบงกช เอายาแรงให้มัน ต้องแน่ใจว่ารักษาหายได้เร็วที่สุด”
“ขอรับ!”
โหมวหยางหวาดกลัวเสียจนตื่นตระหนก
หรือว่าโหมวเจินคิดจะทรมานเขาเช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างนั้นหรือ?
ราวกับตอกย้ำข้อคาดเดาของตน โหมวเจินหันมามองเขาก่อนจะหยักยกริมฝีปากโดยไร้รอยยิ้ม
“โหมวหยาง จะรีบไปไย นี่มันเพิ่งเริ่มเองหนา”