ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1784 ตัดสินใจ
ตอนที่ 1784 ตัดสินใจ
………………..
ทหารทั้งสองคนสบตากันครู่หนึ่ง
“ตั้งแต่กลับมาอยู่ที่จวน ก็ไม่มีอันใดเปลี่ยนเลยขอรับ”
หนานอีฝานถามขึ้นอีก
“สองวันมานี้มีผู้ใดมาหรือไม่”
ทหารทั้งสองพยักหน้าพร้อมกัน
“นอกจากผู้อาวุโสหนานเยีย ก็ไม่มีผู้ใดมาขอรับ”
ผู้อาวุโสหนานเยียคือหมอเทวดาท่านนั้นที่หนานอีฝานเชื่อใจเป็นที่สุด นอกจากนี้คนที่อยู่ในสุสานเทพสังหาร ก็มีแค่เขาคนเดียวที่รู้เรื่องสภาพร่างกายของหนานอวี่สิง
หลังจากพวกเขากลับมา หนานอีฝานได้ฝากฝังหนานอวี่สิงไว้กับเขา
เพียงแต่ระยะเวลาหนึ่งเดือนที่ผ่านมานี้ แม้ว่าบาดแผลภายนอกบนตัวของหนานอวี่สิงจะดีขึ้นมากแล้ว แต่ทว่าบาดแผลภายในยังคงไม่ดีขึ้นเลย
หากเส้นพลังปราณเดิมถูกทำลาย คงยากที่จะฟื้นคืนกลับมาได้
หนายอีฝานก้าวเท้าเข้าไปด้านใน
…
ในเวลานี้เป็นยามเที่ยงที่แสงอาทิตย์สาดส่องลงมาพอดี
หนานอีฝานไม่ทันเคาะประตูก็ผลักประตูตรงเข้าไป
ขณะที่เขาก้าวเข้าไปกลิ่นยาฉุนแรงอย่างมากแตะเข้าจมูกในทันทีจนเกือบจะทำให้เขาหายใจ ไม่ออก
หนานอีฝานขมวดคิ้วขึ้นและมองไปรอบๆ ห้อง
หน้าต่างถูกลงกรนทุกบาน เมื่อมองดูทั่วทุกมุมห้องแล้วนั้นช่างมืดมนอับแสง
ลมหายใจมีแต่กลิ่นคาวเลือดจางๆ ปะปนกับกลิ่นฉุนแรงของยาเข้าไว้ด้วยกัน ทำให้รู้สึกอึดอัดจนหายใจไม่ออก
เมื่อผ่านฉากกั้นห้องไปจึงมองเห็นหนานอวี่สิงนอนอยู่บนเตียง
สภาพของหนานอวี่สิงนั้นดูย่ำแย่ว่าหนานอีอีเสียอีก
ขณะที่เขานอนอยู่บนเตียง ดวงตาทั้งคู่ปิดสนิท ใบหน้าทั้งขาวซีดซูบเซียวและหนวดเครารุงรัง ริมฝีปากแห้งกรังจนหนังลอกและมีเลือดออกมาจางๆ
อย่างไรก็นับว่ามีใบหน้าที่หล่อเหลาอยู่เช่นเดิม ทว่าบัดนี้ใบหน้าของเขามีสีสันขึ้นมาบ้างแต่แก้มทั้งสองข้างยังดูซูบตอบลงอย่างเห็นได้ชัด
ลมหายใจเขาดูอ่อนแรง ราวกับคนแก่ที่ไม้ใกล้ฝั่งก็ไม่ปาน
คุณชายใหญ่แห่งตระกูลหนานที่เคยวางมาดอวดดีเมื่อครั้งก่อนหายไปอยู่ที่ใดกัน?
เมื่อได้ยินเสียงของหนานอีฝานเข้ามาข้างใน ดวงตาของหนานอวี่สิงขยับไปมา แต่กลับมิอาจลืมตาขึ้นมาได้
หนานอีฝานเดินเข้าไปยืนอยู่ข้างเตียงและจ้องมองเขาอยู่ครู่หนึ่งจึงกล่าวขึ้น
“เจ้าคิดจะเป็นเช่นนี้ไปตลอดอย่างนั้นหรือ”
ขนตาของหนานอวี่สิงสั่นไหวจนท้ายที่สุดเขาค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาอย่างเชื่องช้าด้วยความยากลำบาก
ทว่าเขาไม่ยอมมองหนานอีฝาน เพียงแต่มองจ้องเพดานอย่างเหมอล่อยอยู่เช่นนั้น
นัยต์ตาว่างเปล่าเต็มไปด้วยความสิ้นหวังและเย้ยหยัน
ผ่านไปชั่วครู่ เขาจึงเอ่ยขึ้นด้วยเสียงแหบแห้งอยู่ในลำคอ
“…มิเป็นเช่นนี้ แล้วจะเป็นเช่นไรกัน”
เขาเป็นคนไร้ประโยชน์ไปเสียแล้ว
เดิมทีเมื่อก่อนเขามีชีวิตที่สุขสบายหนทางมีแต่ความสำเร็จรออยู่ข้างหน้า บัดนี้ชีวิตกลับตาลปัตรดำดิ่งลงสู่เหวลึก
เช่นนี้แล้วจะมีชีวิตอยู่ไปเพื่ออันใดกัน
ในใต้หล้านี้คงไม่มีสิ่งใดแย่ไปกว่าการปล่อยให้คนๆ หนึ่งร่วงหล่นจากก้อนเมฆมาสู่โคลนตม และยิ่งทำให้ความตั้งใจของคนหนึ่งที่อยากจะทำลายทุกสิ่งทุกอย่างยิ่งเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม
หนานอวี่สิงก็เป็นเช่นนี้
หนานอีฝานหยุดไปชั่วขณะ
“ผู้อาวุโสหนานเยียพยายามหาวิธีช่วยให้เจ้าฟื้นคืนเส้นพลังปราณเดิมมาโดยตลอด”
จู่ๆ หนานอวี่สิงก็หัวเราะออกมา
เสียงแผ่วเบาพูดขึ้นด้วยความประชดประชัน
“ท่านพ่อ หากผู้อาวุโสหนานเยียมีวิธีจริงๆ เหตุใดต้องรอจนถึงบัดนี้กันเล่า”
ไม่มีผู้ใดรู้สภาพร่างกายของตนเองได้ดีกว่าเขา
เส้นพลังปราณเดิมของเขาเสียหายอย่างมาก อย่างไรก็ไม่มีทางฟื้นคืนพลังได้
เมื่อพูดมาเช่นนี้ ต่อให้มีคำปลอบใจมากมายเพียงได้ก็ล้วนไม่มีความหมาย
แท้จริงแล้วเขาทำตัวไม่รู้ร้อนรู้หนาวมานานแล้ว
หนานอีฝานพูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ
เขาดูออกว่าเรื่องนี้มีผลกระทบกับหนานอวี่สิงอย่างมาก
หากไม่มีวิธีรักษาได้จริงๆ เกรงว่าครั้งนี้หนานอวี่สิงก็คงไร้ความสามารถอย่างแท้จริง
บรรยากาศภายในห้องเงียบสงัด
หนานอวี่สิงรีบถามกลับในทันที
“ท่านพ่อ อีกไม่นานทุกคนในตระกูลหนานก็จะรู้เรื่องที่ข้ากลายเป็นคนพิการไปแล้วใช่หรือไม่”
หนานอีฝานเลิกคิ้ว
ทั้งสายตาและประโยคที่เขาพูดล้วนทำให้เขามิอาจทำใจได้
“ทั้งหมดเป็นเพราะลูกไร้ประโยชน์…ความทุ่มเททุกอย่างของท่านตลอดหลายปีมานี้สูญเปล่าสิ้นไปหมดแล้ว”
หนานอวี่สิงยิ้มเยาะ
เขาเงียบไปชั่วครู่ ในที่สุดจึงหันหน้ามาและมองไปที่หนานอีฝาน
ท่าทางของหนานอวี่สิง เปลี่ยนไปด้วยความประหลาดใจ
“แทนที่จะใช้ชีวิตอยู่ไปวันๆ สูญเสียจนกลายเป็นคนพิการ ต้องถูกผู้คนหัวเราะเยาะ เช่นนี้มิสู้ตายไปเสียสะดีกว่า!”
หนานอีฝานตาเบิกโพลง!
หนานอวี่สิงกลับทำราวกับไม่รับรู้ถึงสีหน้าที่เปลี่ยนไปของเขาและเอ่ยขึ้นต่อว่า
“คนพวกนั้นล้วนไว้ใจไม่ได้ มิสู้…ให้ท่านเป็นคนจัดการเองดีหรือไม่ เช่นนี้ก็เพื่อวันนี้และวันข้างหน้า ท่านแค่บอกว่าข้าได้รับบาดเจ็บสาหัสเท่านั้น หรือเป็นเหตุผลอื่นๆ ก็ได้ทั้งสิ้น อย่างไรเสีย ขออย่าบอกว่าข้ากลายเป็นคนพิการ…ก็พอใจแล้ว”
หนานอวี่สิงยิ่งพูดแววตาก็ยิ่งเป็นประกายราวกับว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุด
ท่าทางแสดงออกถึงความคาดหวังปรากฏบนใบหน้านั้นด้วยความตื้นเต้นดีใจ จนทำให้หนานอีฝานหนาวสะท้าน
“หนานสิง! เจ้าพูดพล่ามอันใดออกมา!”
หนานอีฝานตะหวาดเสียงเข้มขึ้น
แต่หนานอวี่สิงกลับทำเป็นไม่สนใจ จนกระทั่งหัวเราะเสียงต่ำๆ ออกมาก
“ท่านเองก็รู้มิใช่หรือ ชีวิตเช่นนี้ทำให้ข้ากลายเป็นคนไร้ค่าที่น่าสงสารและน่าขัน! จะไปมีความหมายอันใดกัน”
ไม่สู้ตายเสียตอนนี้!
ผู้คนจะได้พูดถึงเขาด้วยประโยคที่ว่า “น่าเสียดาย ต้องมาตายตั้งแต่อายุยังน้อยเช่นนี้!”
หนานอวี่สิงเสียใจอย่างมาก
ตอนที่อยู่สุสานสังหารเทพ เขาน่าจะฆ่าตัวตายไปสะ!
เหตุใดต้องกลับมาทนทุกข์ทรมานเช่นนี้อีก?
เมื่อมองดูความกระตือรือร้นและความบ้าคลั่งแผ่บนใบหน้าของเขา คำที่จะตำหนิเขากลับติดอยู่บนริมฝีปากของหนานอีฝานและยิ่งทำให้เขาพูดอะไรไม่ออก
ราวกับมีอะไรมาจุกอยู่ที่อก ทำให้เขารู้สึกหายใจไม่ออกอย่างรุนแรง
หลังจากที่นิ่งเงียบอยู่นาน จู่ๆ เขาก็พูดขึ้น
เมื่อหนานอวี่สิงมองเงาด้านหลังของเขาตรงประตูด้านนอกที่หายวับไป รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาค่อยๆ จางลง ทว่าแววตาเผยให้เห็นความพ่ายแพ้และสูญเสียความเป็นตัวเอง
เมื่อได้เจอกับสถานการณ์เช่นนี้แล้ว ยังมีวิธีใดอีกหรือ?
…
เมื่อทหารสองคนที่เฝ้าคุ้มกันอยู่หน้าประตูลานบ้านได้ยินเสียงฝีเท้าจึงรีบหันหน้าไปดู
เมื่อจ้องมองดูก็เห็นหนานอวี่สิงออกมาอย่างรวดเร็ว ทหารทั้งสองต่างประหลาดใจเล็กน้อย
ท่านประมุขเข้ามานานเท่าไรแล้ว
คงแค่ชั่วครู่หรอกกระมั่ง
แต่ตอนนี้กลับออกไปแล้วหรือ
เมื่อรอหนานอีฝานเดินเข้ามา พวกเขาจึงพบว่าสีหน้าของเขาช่างดูย่ำแย่นัก
สองคนสบตากันครู่หนึ่งจากนั้นก็รีบหลบสายตาลงทันทีและรอคอยด้วยความนอบน้อม
ขณะที่หนานอีฝานเดินเข้ามาและผ่านสองคนที่อยู่ด้านข้างไป เขาจึงชะงักฝีเท้าลง
“ช่วงนี้พวกเจ้าจะต้องคุ้มกันคุณชายใหญ่อย่างใกล้ชิด หากเกิดเรื่องอันใดขึ้นกับคุณชายใหญ่ ข้าจะฝังพวกเจ้าไปพร้อมกันสะ!”
ทั้งสองคนตื่นตกใจอยู่ครู่หนึ่งจึงตอบกลับอย่างร้อนรน
“ขอรับ!”
หนานอีฝานจึงเดินก้าวออกไปอีกครั้ง
…
หนานอีฝานเอาแต่คิดเรื่องหนักใจมาตลอดทางจนกลับถึงหอหนังสือ เขาก็ยังคงนั่งอยู่เงียบๆ คนเดียวเป็นเวลานาน
ในวังเมฆาสวรรค์จริงๆ แล้วอาจมีบุคคลหนึ่งที่มีพลังปราณขั้นสูง บางทีอาจจะช่วยหนานอวี่สิงฟื้นฟูพลังปราณเดิมกลับมาได้
เพียงแต่…หากจะร่วมมือกับคนผู้นั้นคงไม่ค่อยดีเท่าไร ทั้งนิสัยและอารมณ์ก็ดูแปลกๆ ยิ่งนัก
ต่อให้เขาไปจัดการด้วยตนเอง ก็อาจจะไม่ยอมรับคำเชิญ
ถ้าหากเป็นเพราะไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว ไม่ว่าอย่างไรเขาไม่มีวันยอมร่วมมือกับฝ่ายตรงข้ามอย่างแน่นอน
แต่ทว่า…
เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่หนานอวี่สิงของร้องให้ช่วยเขาจบชีวิต หนานอีฝานก็ไม่สนใจอะไรอื่นอีกเลย
หลังจากที่เขารู้สึกสับสนอยู่นานจนถึงเวลาพลบค่ำ พระอาทิตย์ตกดินและมีแสงลอดเข้ามายังหน้าต่าง
ในแววตาของเขาปรากฏแสงประกายแห่งความมุ่งมั่นจากนั้นจึงลุกยืนขึ้นในที่สุด