ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1789 เสด็จพ่อและท่านพ่อ
ตอนที่ 1789 เสด็จพ่อและท่านพ่อ
………………..
นัยน์ตาของฉู่หลิวเยว่เจ็บปวดขึ้น นางรีบก้าวเข้าไปหาเขาในทันที
“เสด็จพ่อ!”
เมื่อเห็นนางกำลังขยับตัวเข้ามา ซั่งกวนโหยวจึงรีบก้าวเข้าไปหาอย่างร้อนใจ
เมื่อพ่อลูกทั้งสองได้มาพบกัน ต่างคนต่างพูดอะไรกันไม่ออกอยู่ครู่หนึ่ง
ซั่งกวนโหยวมองนางไปมา สายตากลับลดต่ำลงราวกับมีบางสิ่งจะเอ่อล้นออกมา ชั่วครู่จึงเอ่ยขึ้น
“เยว์เออร์ ลูกผอมไปแล้ว”
คำพูดนับหมื่นนับพันคำถูกอัดแน่นในอก ลำคอกลับแห้งเหือดหาเทียบได้ สุดท้ายเหลือเพียงคำพูดเพียงสั้นๆ เท่านั้นที่เอ่ยออกมา
เมื่อได้ยินเสียงของเขาจึงทำให้ตัวนางสั่นเทิ้มเล็กน้อย
ฉู่หลิวเยว่กะพริบตาถี่ๆ เพื่อให้น้ำตาไหลกลับคืนไปในดวงตาและเผยรอยยิ้มที่สดใสกระจ่างชัดขึ้นที่ริมฝีปากของนาง
“ไม่ได้พบกันนาน เสด็จพ่อสบายดีหรือไม่?”
ซั่งกวนโหยวตอบกลับในทันที
“สบายดี! สบายดี! พ่อสบายดีทุกอย่าง ทางเทียนจินก็สบายดีเช่นกัน ข้าก็แค่…คิดถึงเจ้า…”
จะไม่ให้คิดถึงได้อย่างไรกัน
ตัวเขาคิดว่านางแค่ไปอาณาจักรเสิ่นซวี่เพียงเวลาสั้นๆ เท่านั้น ไม่นานนางก็คงได้กลับบ้าน
ใครจะรู้ว่าชั่วพริบตาเดียว เวลาได้ล่วงเลยมานานเช่นนี้
เมื่อนางไม่ได้กลับไปบ้าน เขาถึงได้มาที่นี่แทน
“เยว่เออร์มาอยู่ที่นี่ลำบากหรือไม่”
ซ่างกวนโหยมองดูใบหน้าของนางที่ซูบผอมลงบางส่วนจนเห็นชัด ก็ทำให้เขาเจ็บปวดใจขึ้น
ฉู่หลิวเยว่ยิ้มแย้มราวกับดอกไม้บานสะพรั่งและเอ่ยขึ้น
ซ่างกวนโหยวถามกลับอยากรีบร้อน
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้ารับ หลังจากนั้นนางดึงมือเขาเข้ามา
“เรื่องเหล่านี้พูดแล้วก็ยิ่งยาวนัก รอข้ามีเวลาว่างแล้วจะค่อยๆ อธิบายให้ท่านฟังอย่างละเอียดอีกครั้งนะเพคะ!”
เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นในอาณาจักรเสิ่นซวี่เสด็จพ่อแทบจะไม่ทราบเรื่องอันใดเลย
รวมทั้งหลายปีก่อนที่นางมาอาณาจักรเสิ่นซวี่จนได้เลื่อนขั้นเป็นเทพแล้วก็ตาม และเรื่องที่เกิดขึ้นมากมายทั้งก่อนและหลังจากที่นางได้ฟื้นคืนความทรงจำกลับมา
เมื่อก่อนมีอะไรก็จะไม่บอกเสด็จพ่อ เพราะกลัวว่าเขาจะเป็นห่วงและไม่สบายใจ
แต่ทว่าในตอนนี้ก็ควรจะบอกเขาเกี่ยวกับเรื่องทั้งหมดได้เสียที
ซั่งกวนโหยวค่อยๆ ใช้แรงที่มีพยักหน้าตอบรับ
“ข้าเชื่อเจ้าทั้งหมด! เพียงแค่เยว่เออร์ยอมที่จะพูด พ่อยินดีรับฟังได้เสมอ!”
ฉู่หลิวเยว่รู้สึกอบอุ่นใจ
ขณะนั้นหรงซิวเดินขึ้นหน้ามาและคาราวะซั่งกวนโหยว
“ตลอดเวลาก่อนหน้านี้ข้ามิได้แนะนำตัวกับท่านอย่างเป็นทางการเลย ข้าน้อยหรงซิว องค์ชายแห่งพระราชวังเมฆาสวรรค์ ยินดีที่ได้พบใต้เท้าซ่างกวน”
ท่าทางของหรงซิวดูนอบน้อมและเกรงใจยิ่งนัก
ซ่างกวนโหยวมองเขาด้วยสีหน้าซาบซึ้งใจ
อันที่จริงเขารู้อยู่ก่อนแล้วว่าสถานะของหรงซิวนั้นไม่ธรรมดา เพียงแต่คาดไม่ถึงว่า…สิ่งที่เขาคาดหวังไว้จะน่าประหลาดใจยิ่งกว่า เพราะเขาเป็นถึงหนึ่งในตระกูลผู้มีอำนาจ และคือเทพสงครามที่มีชื่อโด่งดังของอาณาจักรเสิ่นซวี่
เมื่อก่อนเพียงคิดว่าหรงซิวเป็นคนอบอุ่นและมีมารยาท อีกทั้งยังมีน้ำใจและความสามารถโดดเด่น ไม่ว่าจะพบเจอเรื่องอันใดมักจะเป็นคนที่หนักแน่นมาโดยตลอด
บัดนี้เมื่อได้มาพบกันอีกครั้งซั่งกวนโหยวตระหนักขึ้นได้ว่าเส้นลมปราณศักดิ์สิทธิ์บนตัวของหรงซิวนั้นสงบนิ่ง แสดงว่าเขามีพลังที่แข็งแกร่งอย่างมาก! คนธรรมาดาทั่วไปจะมีพลังเช่นนี้ได้อย่างไร
หรงซิวยิ้มอย่างแผ่วเบา
“เป็นเรื่องที่หรงซิวสมควรทำ”
ผู้หญิงของเขา เขาปกป้องนางได้อย่างแน่นอน
เมื่อซั่งกวนโหยวรู้สึกสบายใจขึ้น
เดิมที่เขายังกังวลอยู่เล็กน้อยถึงสถานะของทั้งสองที่แตกต่างกันอย่างมาก แต่ดูจากท่าทางของหรงซิวในวันนี้แล้วคงมิมีอันใดให้ต้องกังวลอีก
สุดท้ายแล้วเยว่เออร์คงไม่มีทางมองคนผิดเป็นแน่
ขณะเดียวกันนั้นก็มีเสียงแจ้งรายงานดังขึ้น
ทุกคนในท้องพระโรงหันไปมองเห็นร่างทั้งสามกำลังเดินเข้ามาด้านใน
คนที่อยู่ทางด้านหน้าสุดหลายคนล้วนรู้จักเขา
เป็นซั่งกวนจิ้งผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง!
และผู้อาวุโสท่านนั้นที่อยู่ข้างๆ ผู้ที่เส้นผมเปลี่ยนเป็นสีขาว มีพลังลมปราณศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งลมปราณในร่างของเขานั้นมิอาจประมาทได้เลย
ผู้นั้นก็คือเจ้าสำหนักหลิวเซียว…หนานซู่ไหว!
หนานซู่ไหวเป็นผู้มีชื่อเสียงโด่งดังอย่างมาก แต่คนที่เคยพบเขานั้นกลับมีไม่มากนัก
แต่อันที่จริงคนทั้งหมดในพระราชวังเมฆาสวรรค์ที่เคยไปสำนักหลิวเซียวนั้นกลับมีน้อยนัก
อีกทั้งหลายปีมานี้หนานซู่ไหวกลับหายไปอย่าไร้ร่อยรอยและตลอดเวลาที่ผ่านมาไม่เคยปรากฏตัวออกมา จึงทำให้คนที่รู้จักเขายิ่งน้องลงไปอีก
สีหน้าของคนจำนวนไม่น้อยต่างประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัด
หนานซู่ไหวมีสถานะเป็นเจ้าสำนักหลิงเซียว ทั้งยังรักษาภาพลักษณ์ที่เป็นกลางมาโดยตลอด และน้อยนักที่จะไปอยู่กับตระกูลขุนนางอื่นๆ ที่อาณาจักรเสิ่นซวี่ได้
บัดนี้เขากลับตรงมาที่พระราชวังเมฆาสวรรค์…
คงเป็น…เพราะมาเพื่อซั่งกวนเยว่กระมัง
ก่อนหน้านี้เคยได้ยินข่าวมาว่าจริงๆ แล้วซั่งกวนเยว่เป็นศิษย์เอกของหนานซู่ไหว อีกทั้งหนานซู่ไหวยังให้ความสำคัญกับนางเป็นพิเศษ ถือได้ว่าเป็นศิษย์คนโปรดที่สุด
เช่นนี้ดูท่าทางแล้วคงไม่ได้เก่งสมคำร่ำลือ!
หนานซุ่ไหวมาที่พระราชวังเมฆาสวรรค์โดยไม่บอกกล่าวอะไรสักคำคงเป็นเพราะนาง!
ทั้งเขาและซั่งกวนจิ้งได้ปรากฏตัวพร้อมกัน เท่านี้ก็เพียงพอที่จะอธิบายถึงตำแหน่งของเขาได้
…เขามาที่นี่ก็เพื่อมาสนับสนุนซั่งกวนเยว่!
ทุกคนในท้องพระโรงกล่าวคำทักทายซั่งกวนจิ้งและหนานซู่ไหวตามลำดับ แต่เมื่อมองเห็นคนที่สองกลับรู้สึกตื่นตระหนกและตะลึงงันกัน
คน…คนผู้นี้ เป็นใครกันอีกเล่า
สายตาคนพวกนั้นที่เพ่งเล็งมาอย่างไม่รู้ตัว คิ้วของฉู่หนิงมีรอยย่นขึ้นอย่างไร้ความหมาย แต่ไม่นานก็กลับมาเป็นปกติ
แท้จริงแล้วเขาเป็นคนที่มีชาติกำเนิดต้อยต่ำที่สุด
หากว่าไม่ใช่เพราะเยว่เออร์ แม้แต่ราชวงศ์เทียนลิ่งของเขาคงไม่มีโอกาสได้ไป ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการมาอาณาจักรเสิ่นซวี่และต้องอยู่ร่วมห้องกับตระกูลขุนนางขั้นหนึ่งที่พระราชวังเมฆาสวรรค์เช่นนี้อีก
ถ้าหากว่าเป็นเขาคนก่อนนั้น หากต้องเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้แน่นอนว่าจะต้องมีตื่นเต้นและกระวนกระวายใจอยู่บ้าง
แต่บัดนี้กลับไม่เป็นเช่นนั้นแล้ว
ชั่วพริบตาเดียวเขาได้รับประสบการณ์มามากมายเหลือเกิน
แม้ว่าความเจ็บปวดและความทรมานที่แสนสาหัสจะไม่เคยทำให้เขาตกต่ำลงก็ตาม ทว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องเล็กน้อยไปเสียแล้ว
พูดได้เลยว่าวันเวลาที่ฝันร้ายเหล่านั้น แม้ว่าจะสร้างความเจ็บปวดที่บาดลึกแก่เขาเอาไว้ แต่ก็ทำให้ผู้คนทั้งภายในและภายนอกล้วนเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นอย่างมาก
นั่นเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยคิดมาก่อน ทว่าบัดนี้ดูแล้วกลับคิดได้ว่า…ก็คงไม่มีอะไรยิ่งไปกว่านี้อีกแล้ว
เช่นนี้เป็นเพราะว่าทัศนะคติของฉู่หนิงเป็นคนใจกว้างและอิสระเสรีเป็นพิเศษ
คนที่ยืนอยู่ด้านข้างซั่งกวนโหยวและหนานซู่ไหว แม้ว่าลมปราณศักดิ์สิทธิ์จะไม่มีทางเทียบชั้นกับพวกเขาได้ แต่ท่วงทางที่สงบนั่นกลับไม่หายไปแม้แต่น้อย
มีคนอดไม่ได้จึงเอยขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า
ดูท่าทางของเขาแล้วที่เป็นคนอิสระใจกว้างราวกับว่าไม่ได้รู้สึกลำบากอันใดแม้แต่น้อย
ผู้คนจำนวนไม่น้อยล้วนได้ยินคำนี้กันทั้งหมด
ฉู่หลิวเยว่เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
เจ้าสำนัก
อาจะเป็นเพราะคนที่รอคอยล้วนเกรงกลัวหรงซิวกันทั้งนั้น ดังนั้นน้ำเสียงของคนพูดยังดูเกรงใจอยู่
แต่ทว่าในใจเขาคิดอะไรอยู่นั้นก็มิอาจบอกได้
เมื่อฉู่หลิวเยว่รู้สึกสงบและสบายใจขึ้น จึงไม่ได้แสดงความโกรธออกมาแต่อย่างใด
นางรู้ว่าแท้จริงแล้วคนพวกนี้กำลังคิดอะไรอยู่ อีกทั้งนางยังเข้าใจด้วยว่าเหตุใดพวกเขาถึงมีท่าทีกลับมาเช่นนี้
แต่…ไม่จำเป็นต้องไปใส่ใจอะไรอีก
ฉู่หนิงมีร่างศักดิ์สิทธิ์อมตะ เพียงตั้งใจฝึกฝนปราณให้ดี จะต้องก้าวหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว
เมื่อถึงเวลาคาดว่าผู้คนไม่น้อยในที่แห่งนี้ต้องกลายเป็นผู้พ่ายแพ้ให้แก่เขา
“เสด็จพ่อ ลูกขอแนะนำใครสักคนหน่อยนะเพคะ”
ฉู่หลิวเยว่จับมือซั่งกวนโหยวเดินเข้าไป
“องค์ไท่จู่ท่านรู้จักแล้ว เช่นนั้นข้าไม่ต้องพูดอันใดมาก ท่านนี้คือเจ้าสำนักหลิงเซียวและเป็นท่านอาจารย์ของข้า ยังมีท่านนี้…คืออดีตท่านพ่อของข้าสมัยตอนที่อยู่แคว้นเย่าเฉิน”
เมื่อเขาได้ยินคำนี้แล้วก็รู้สึกแปลกๆ เล็กน้อย
ซั่งกวนโหยวจึงมีสีหน้าเปลี่ยนไปในทันที
“เจ้า…ก็คือฉู่หนิงอย่านั้นหรือ”
นานมาแล้วที่ฉู่หนิได้ยินชื่อเรียกจากฉู่หลิวเยว่ ก็เข้าใจสายตาก่อนหน้าของสถานะคนผู้นี้
ภายในใจของเขากลับรู้สึกแน่นขึ้นมา
“ใช่ เพคะ”
………………..