ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1791 ความยุ่งยาก
ตอนที่ 1791 ความยุ่งยาก
………………..
ทุกคนในพระราชวังเมฆาสวรรค์ต่างยุ่งกับการเตรียมงานกันหมด
เพราะองค์ชายต้องการจัดงานอภิเษกสมรสที่ยิ่งใหญ่และถือว่าเป็นงานใหญ่ของทั้งตระกูล แน่นอนว่าทุกคนจะต้องถูกรวมตัวขึ้นมาเพื่องานนี้และไม่มีผู้ใดกล้าอู้งานเลยแม้แต่น้อย
แต่ในช่วงเวลาเช่นนี้กลับมีแต่ฉู่หลิวเยว่ที่กลายเป็นคนว่างงานเพียงคนเดียว
เพราะยิ่งใกล้ถึงวันงานอภิเษกสมรส นางจึงไม่ได้อยู่กับหรงซิวที่ตำหนักสักการะเทพ อีกทั้งต้องไปอยู่ที่เขาฉางอี้ข้างๆ ยอดเขาซู่หมิงแทน
บนเขาฉางอี้มีลานกว้างหลายแห่ง อีกทั้งยังแยกเป็นส่วนๆ ออกจากกันไว้มากมาย ดังนั้นซั่งกวนโหยวและคนอื่นๆ ล้วนพัก ณ ที่แห่งนี้ด้วยเช่นเดียวกัน
ในตอนแรกฉู่หลิวเยว่ได้เลือกเวลาที่เหมาะสมโดยเฉพาะ เพื่อเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นมากมายเมื่อครั้งก่อนนั้นกับซั่งกวนโหยวอีกครั้ง
แน่นอนว่าเรื่องที่เล่าส่วนใหญ่ล้วนเป็นเรื่องดีๆ ทั้งสิ้น หากบางเรื่องที่มีอุปสรรคยากลำบาก ส่วนใหญ่นางจะเล่าข้ามไปทั้งหมด
อย่างไรก็ตามเรื่องเหล่านั้นล้วนผ่านไปแล้ว พูดไปก็ไม่มีความหมายอันใด มีเพียงแต่จะทำให้เสด็จพ่อกังวลและเสียพระทัยก็เท่านั้น
อย่างไรก็ตามแม้ว่าหลังจากที่ซังกวนโหยวได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดแล้ว หากจะไม่ปวดใจก็คงเป็นไปไม่ได้
สิ่งนี้ยิ่งทำให้ฉู่หลิวเยว่รู้สึกดีใจยิ่งขึ้นในการตัดสินใจก่อนหน้านี้
อีกทั้งทางฝั่งของฉู่หนิง ตั้งแต่เขากลับมาจากเขาฉางอี้ก็เอาแต่เก็บตัวอยู่แต่ในห้องของตนเองมาตลอด
ทางด้านอีกฝั่งหนึ่ง เขาต้องการให้ฉู่หลิวเยว่และซั่งกวนโหยวได้มีเวลาคืนวันเก่าๆ ที่ดีด้วยกัน ส่วนอีกฝั่งหนึ่งก็อยากให้นางตั้งใจกับการฝึกฝน
หลังจากที่มาถึงพระราชวังเมฆาสวรรค์ เขายิ่งเข้าใจมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าที่แห่งนี้ให้ความเคารพผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด!
ถ้าหากเขาหยุดอยู่ที่ตำแหน่งจอมยุทธ์ขั้นที่หนึ่งตลอดไป ไม่เพียงแต่ตนเองจะถูกผู้คนดูถูกเอาได้ แต่ยังเกี่ยวข้องกับเยว่เออร์อีกด้วย
ดังนั้นเขาจึงเอาความคิดและพลังที่มีมาทุ่มให้กับเรื่องพวกนี้แทบจะทั้งหมด
โชคดีที่บัดนี้เขามีร่างศักดิ์สิทธิ์อมตะแล้ว และการฝึกฝนร่างกายก็ก้าวหน้าไปมาก
บนพระราชวังเมฆาสวรรค์เต็มไปด้วยพลังแห่งสวรรค์ ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากต่อการฝึกฝน
วันที่ห้า ก็เลื่อนขั้นไปเป็นจอมยุทธ์ขั้นที่สาม
เมื่อถึงวันที่แปด เขาได้กลายเป็นจอมยุทธ์ขั้นที่สี่ได้สำเร็จ!
เนื้อกายของเขาได้เปลี่ยนเป็นร่างศักดิ์สิทธิ์ ช่วงที่ฝึกฝนได้ถูกพลังรอบๆ ทั้งกัดกินและดูดกลืนพลังไปพอสมควร จนทำให้ร่างของเขาไม่ต่างจากผู้แข็งแกร่งระดับเทพขั้นสูงอย่างแท้จริง!
เช่นนี้แล้วเขากำลังเลื่อนขั้นตนเองเป็นระดับจอมยุทธ์ แน่นอนว่าช่างเป็นเรื่องที่ง่ายดาย
อีกทั้งพลังของตนได้เพิ่มความแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็ว และสภาพจิตใจของฉู่หนิงนับวันยิ่งดีขึ้นเรื่อยๆ
หากว่ากันตามสถานการณ์แล้วนั้นมิควรรอนานเกินไป เขาก็จะสามารถเลื่อนขั้นได้สำเร็จจนกลายเป็นผู้แข็งแกร่งระดับเทพขั้นสูง!
แม้ว่าจะอยู่ในอาณาจักรเสิ่นซวี่ ผู้แข็งแกร่งระดับเทพขั้นสูงไม่นับว่าเป็นผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งระดับสูง แต่สำหรับฉู่หนิงเท่านั้นที่กลับก้าวหน้าไปไกลมาก
ในตอนแรกที่เขาอยู่เย่าเฉิน จากที่ไม่คาดคิดเลยว่าอยู่มาวันหนึ่งตนเองจะสามารถทะลวงขั้นพลังในตำนานได้
อีกทั้งเรื่องทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเพราะได้พบกับเยว่เออร์!
ขอเพียงแค่เขาแข็งแกร่งขึ้น หลังจากนี้ก็สามารถปกป้องเยว่เออร์ได้!
…
อีกทั้งฉู่หลิวเยว่ยังจดจ่ออยู่กับการฝึนฝนด้วยตนเอง
เรื่องพิธีอภิเษกสมรส หรงซิวได้เตรียมการไว้นานแล้ว ดังนั้นแทบจะไม่มีเรื่องเล็กน้อยอะไรที่จะต้องให้นางยื่นมือเข้าไปจัดการ
เมื่อได้ลองถามสักสองสามครา หลังจากนั้นนางก็พบว่าล้วนเป็นความกังวลใจที่เปล่าประโยชน์ ฉู่หลิวเยว่จึงปล่อยวางด้วยความเข้าใจที่จะสนใจกับเรื่องพวกนี้ และกลับเอาความคิดและกำลังทั้งหมดมาใส่ใจกับการฝึกฝนของตนเอง
แม้ว่าหนทางนี้พบเจอกับสิ่งที่ไม่คาดคิดมีไม่น้อย และยังพบเจอกับอันตรายมากมาย แต่การเลื่อนขั้นด้วยความสามารถในทุกๆ ด้านของฉู่หลิวเยว่นั้นก็เป็นที่ประจักษ์ตา
โดยเฉพาะตอนอยู่ที่สุสานสังหารเทพสามารถพูดได้อย่างเต็มปากว่านางได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์ เอาไว้มากทีเดียว
ฉู่หลิวเยว่นั่งอยู่บนม้าหินเงียบๆ ภายในลานกว้าง
นางถือหินก้อนหนึ่งเล่นอยู่ในมือ
ดูเหมือนว่าพวกมันจะถูกวางเอาไว้บนพื้นที่ดูผสมปนเปกันไปหมด แต่ในความเป็นจริงฉู่หลิวเยว่รู้สึกได้อย่างกระจ่างชัดถึงพลังที่หลอมรวมบนหินทุกๆ ก้อนนี้
อีกทั้ง…
การเคลื่อนไหวจู่โจมนั่นต้องการแสดงตัวออกมาที่อาณาเขตเซียนเทพ!
ตุ้ง!
หินก้อนหนึ่งกลิ้งไปที่ข้างๆ เท้าของนาง
ฉู่หลิวเยว่หรี่ตามองพลางขมวดคิ้วขึ้น
“ไม่ได้”
ถึงแม้ว่าจะมีค่ายกลอยู่ด้านนอกเขาฉางอี้ แต่คนนอกก็มิอาจเข้าออกได้ตามอำเภอใจโดยมิได้รับอนุญาต
แต่ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตามก็ควรที่จะระมัดระวังไว้อยู่ตลอดเป็นการดีที่สุด
ในหินแต่ละก้อนเหล่านี้ล้วนถูกห่อหุ้มไว้ด้วยอาณาเขตเซียนเทพ
หากว่าเปิดเผยออกมาจะต้องเกิดความสั่นเทือนขึ้นมาไม่น้อย
เมื่อถึงเวลานั้นก็จะทำให้ผู้คนต่างจับตามอง และนางจะอธิบายเช่นไร
…อันที่จริงหินเหล่านี้ล้วนไม่มีอะไรผิดแปลกแม้แต่น้อย แต่เป็นแค่ชิ้นส่วนของหลุมฝังศพที่แตกหักที่นำกลับมาจากอาณาจักรสุสานสังหารเทพก็เท่านั้น!
เมื่อคิดถึงสถานการณ์ทางนั้น ฉู่หลิวเยว่ก็ตัวสั่นเทิ้มอย่างหวาดกลัวโดยไม่รู้ตัวและขยับเท้าห่างออกไป
“พลังแห่งสวรรค์ที่นี่แข็งแกร่งนัก เพียงพอที่จะให้พวกเจ้าเสริมพละกำลังได้ และไม่อนุญาตให้ก่อปัญหาใดๆ เด็ดขาด”
นางพบว่าหินเหล่านี้ยังดูดกลืนพลังแห่งสวรรค์และโลกในบริเวณรอบๆ นี้ได้ และเปลี่ยนเป็นพลังของตนเองจึงทำให้อาณาเขตเซียนแข็งแกร่งขึ้น
เพียงแต่ระดับความเร็วยังดูเชื่องช้าไปเล็กน้อย
แท้จริงแล้วนั้นหินเหล่านี้มีอนุภาพดูดซับพลังที่ร้ายแรงอย่างมาก ซึ่งมีชีพจรตี้จิงที่เกือบจะอยู่ในระดับสูงเท่ากับผู้ฝึกตน
ทว่าฉู่หลิวเยว่กลับรู้สึกว่าทั้งหมดนี้เชื่องช้านัก คงเป็นเพราะตัวนางเองเป็นคนว่องไวเกินไป!
บางส่วนกลิ้งตรงไปที่พื้นหญ้าที่ห่างไกลออกไปและตรงใต้บันใดสวรรค์
หากไม่มองอย่างละเอียดก็คงไม่มีใครรับรู้ได้ว่าหินเหล่านี้มีอะไรที่ผิดแปลกไป
ชั่วครู่ความเคลื่อนไหวอันบางเบาได้แพร่กระจายมาจากที่ไกลๆ
ฉู่หลิวเยว่วางก้อนหินลงในมือและเงยหน้าขึ้นมอง
คนที่เข้ามาแน่นอนว่าเป็นอวี๋มั่ว
เขาเดินก้าวเข้ามาอย่างฉับไว และมายืนตรงหน้าฉู่หลิวเยว่พลางเอ่ยขึ้น
“ข้าน้อย ถวายบังคมพระชายา พะยะค่ะ”
ฉู่หลิวเยว่มองตาเขาครู่หนึ่ง
“อวี๋มั่ว มีเรื่องอันใดรึถึงได้ดูดีใจเช่นนี้”
รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขาจนมิอาจปิดบังเอาไว้ได้
อวี๋มู๋หัวเราะด้วยความเจ้าเล่ห์
“พระชายา แม่นางมู่หงอวี่มาถึงแล้ว พ่ะย่ะค่ะ!”
ฉู่หลิวเยว่ดวงตาเป็นประกายขึ้น
ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงสดใสที่ดูคุ้นเคยดังขึ้น
“หลิวเยว่!”
ดวงตาของฉู่หลิวเยว่กระจ่างชัดขึ้นจนมองเห็นเงาร่างหนึ่งกำลังตรงมาด้วยความรวดเร็ว
ดวงตากลมโตสว่างสดใส คิ้วดั่งใบหลิวที่กำลังโผล่บิน หากไม่ใช่หงอวี๋แล้วจะเป็นใครไปได้อีกเล่า!
ฉู่หลิวเยว่ขยับตัวไปข้างหน้าเพื่อต้อนรับนาง
“หงอวี่ เหตุใดเจ้าถึงมาเอาป่านนี้”
เสด็จพ่อล้วนอยู่เทียนหลิงมาได้หลายวันแล้ว
มู่หงอวี่ก็อยู่ที่สำหนักหลิงเซียว หากว่ากันตามที่พูดแล้วควรจะมาได้เร็วกว่านี้อีกสักหน่อย
มู่หงอวี๋ทำท่าคำนับอย่างน่าสงสารพลางเอ่ยขึ้นว่า
“ก็เป็นเพราะถูกรั้งไว้ด้วยเรื่องเล็กน้อยแค่เพียงชั่วคราวไม่ใช่หรอกหรือ หลิวเยว่ๆ เจ้าคงไม่ตำหนิข้าหรอกนะ?”
ฉู่หลิวเยว่เชยคางของนางขึ้น
“บอกข้ามาก่อนว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นเจ้าถึงได้มาช้าเช่นนี้”
เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้สีหน้าของมู่หงอวี่ก็ถอดสีลง
“จริงๆ แล้วก็ไม่มีอันใดหรอก ก็แค่ช่วงนี้มัวแต่ยุ่งวุ่นวาย….”
ฉู่หลิวเยว่เอ่ยขึ้น “…นี่คือเหตุผลของเจ้างั้นรึ”
มู่หงอวี่ทำเสียงไอกระแอมพลางเอ่ยขึ้น
“จริงๆ แล้วก็ไม่ใช่เหตุผลนี้ทั้งหมดหรอกนะ คือว่าช่วงนี้ในสำนักเกิดเรื่องขึ้นนิดหน่อย…”
ฉู่หลิวเยว่หรี่ตาลง มีลางสังหรณ์ว่ามีบางอย่างผิดแปลกไป
การฝึกฝนสำหรับมู่หงอวี่แล้วนั้นเต็มไปด้วยความหลงใหลและกระตือรือร้นมาโดยตลอด
ลมปราณบนร่างของนางแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ คงตายตาหลับได้สำเร็จแล้ว
หากว่าเป็นเช่นนี้เหตุใดนางถึงแสดงสีหน้าออกมาเช่นนี้
“ในสำนักมีเรื่องอันใดหรือ”
ช่วงนี้นางยุ่งมาโดยตลอด สถานการณ์ทางด้านสำนักจึงไม่ค่อยรู้เรื่องอันใดมากนัก
มู่หงอวี่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง และลุกขึ้นยืนด้วยท่าทางกระสับกระส่ายเล็กน้อย
“อ๋อ จริงๆ แล้วก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก! ก็แค่ ก็แค่…เฟิงฉือเข้าสำนักได้แล้ว!”