ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1797 ความวุ่นวาย
ตอนที่ 1797 ความวุ่นวาย
………………..
หากต้องจัดการคนผู้นี้สำหรับเสวี่ยเสวี่ยแล้วนั้นคงไม่ยากลำบากอะไร
หลังจากที่เงาสีขาวพุ่งออกมา บนตัวของทุกคนล้วนบาดเจ็บที่ระดับความรุนแรงไม่เท่ากัน
เมื่อเห็นเสวี่เสวี่ยยังคิดที่จะจัดการต่อ คนผู้หนึ่งในนั้นจึงตะโกนขึ้นมาอย่างร้อนรน
“ใต้เท้าเสวี่ยเสวี่ย! ยิ่งใกล้ถึงวันงานอภิเษกสมรสขององค์ชายกับพระชายา ในเวลานี้หากทำคนถึงตายขึ้นมา จะดูเป็นการไม่เหมาะสมยิ่งนัก!
การเคลื่อนไหวของเสวี่ยเสวี่ยจึงหยุดลงทันทัน
มันเอียงหัวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ดูเหมือนกำลังพิจารณาคำพูดของคนผู้นี้
ทุกคนกลั้นลมหายใจอย่างตื่นตระหนก จนมิกล้าขยับตัว แม้กระทั้งครึ่งคำก็มีกล้าเอ่ยออกมา
ทุกวินาทีที่เสวี่ยเสวี่ยกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น สำหรับพวกเขาแล้วล้วนทรมานยิ่งนัก
ในที่สุดเสวี่ยเสวี่ยหันตัวกลับและก้าวเท้าเดินจากไป
จริงๆ ดูไม่เหมาะสมยิ่งนัก หากงานอภิเษกของนายท่านต้องถูกเลื่อนออกไปเพียงเพราะคนเหล่านี้
เมื่อเห็นมันตัดสินใจจากไปในที่สุด หลายคนล้วนเผยให้เห็นสีหน้าแห่งความโชคดีเหมือนได้กลับมาเกิดใหม่อีกครั้ง
หลังจากเสวี่ยเสวี่ยเดินออกมาไม่กี่ก้าวก็หันกลับไปมองอีกครั้ง
สายตาที่เย็นชาและเมินเฉยกวาดตามองใบหน้าของคนเหล่านั้น ราวกับว่าต้องการจดจำใบหน้าของพวกเขาไว้อย่างชัดเจนที่สุด!
ทุกคนล้วนอ่านความคิดในสายตาของมันได้อย่างเข้าใจ…มันกำลังรอเวลากลับมาเอาคืน!
หลังจากที่มองดูอยู่ครู่หนึ่ง เสวี่ยเสวี่ยจึงเลี่ยงกายเดินจากไป
เงาร่างดุจหิมะขาวหายไปต่อหน้าในทันทีอย่างรวดเร็ว
เหลือไว้แต่คนพวกนั้นที่อยู่ตรงที่เดิมราวกับหัวใจจมดิ่งลงไป
หากทำให้ท่านผู้นี้ขุ่นเคืองแล้วละก็ ต่อไปคงไม่ได้อยู่ดีไปกว่านี้แน่!
รู้แต่แรกแล้ว่าใต้เท้าเสวี่ยเสวี่ยปกป้องพระชายาเพียงนี้ และมาอยู่ที่นี่พอดี หากตีพวกเจ้าจนตายคงไม่ได้มาพูดเช่นนี้หรอกนะ!
หนึ่งคนในนั้นพูดขึ้นด้วยความกลั้ดกลุ้มใจอย่างมาก
สีหน้าของคนอื่นๆ ล้วนซีดขาวกันหมด
และบุรุษที่ถูกทำร้ายในตอนแรก เมื่อคิดถึงเหตุการณ์ของตนต่อจากนี้ จึงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ นึกไม่ถึงว่าเขาจะหมดสติจนล้มลงไป
อย่างไรก็ตามบนโลกนี้ไม่มียาแห่งความเสียใจ
ทุกคนล้วนมีราคาที่ต้องจ่ายด้วยคำพูดและการกระทำของตนเอง
…
ฉู่หลิวเยว่กำลังฝึกฝนปราณอยู่ในห้อง
จู่ๆ ก็มีบางอย่างพวยพุ่งเข้ามา
นางลืมตาขึ้นและมองไปทางหน้าต่าง
มีลักษณะตัวใหญ่และขนปุกปุย มันเข้ามาจากทางริมหน้าต่าง
เพราะตัวใหญ่เกินไปและหน้าต่างก็เล็กเกินจึงทำให้ตัวมันติดอยู่
ฉู่หลิวเยว่จ้องมองดวงตากลมโตน้ำแข็งสีครามทั้งคู่ที่ใสบริสุทธิ์และน่าสงสาร
“โฮก!”
ฉู่หลิวเยว่รีบลุกขึ้นเดินเข้าไปหาอย่างไม่มีทางเลือกและน่าขันยิ่งนัก
“เสวี่ยเสวี่ย! เหตุใดทุกครั้งเจ้าถึงเข้ามาจากทางหน้าต่างกันนะ หน้าต่างเล็กๆ นี่มิอาจรองรับร่างอ้วนๆ ของเจ้าได้หรอกนะ!”
ขณะที่พูดอยู่นั้นนางก็เดินไปทางหน้าต่าง เมื่อเปิดหน้าต่างให้กว้างขึ้นอีกนิดจึงปล่อยให้เสวี่ยเสวี่ยเข้ามาได้อย่างง่ายดาย
“พอแล้ว เจ้านิ…”
ก่อนที่นางจะพูดจบประโยคเจ้าเสวี่ยเสวี่ยก็ได้รับการปล่อยตัวและกระโจนเข้ามาข้างในทันที!”
ไม่เจอกันพักเดียวหัวของมันทั้งโตขึ้นมากและตัวก็หนักขึ้นมากอีกด้วย
ครั้งนี้ที่ดันตัวเข้ามาฉู่หลิวเยว่เกือบรับตัวไว้ไม่ทัน
“เฮ่อ…เสวี่ยเสวี่ย เหตุใดบัดนี้เจ้าถึงได้ตัวหนักกว่าเมื่อก่อนเช่นนี้ เป็นเพราะช่วงนี้อยู่ที่พระราชวังเมฆาสวรรค์ได้กินดีและนอนเต็มอิ่ม ถึงปล่อยให้ตัวเองอ้วนขึ้นได้ใช่หรือไม่”
เดิมทีฉู่หลิวเยว่มักชอบหยอกล้อ หลังจากที่นางพูดจบกลับพบท่าทางของเสวี่ยเสวี่ยดูเหมือนมีบางอย่างผิดแปลกไป
มันไม่ยอมพูดอะไร เอาแต่พิงขานางไว้อย่างนั้น
“เสวี่ยเสวี่ย?”
ฉู่หลิวเยว่ก้มลงไปมอง จึงเห็นสีหน้าของเสวี่ยเสวี่ยดูเหมือนไม่ค่อยดีใจนัก
เมื่อมันสัมผัสได้ว่านางจ้องมองอยู่ เสวี่ยเสวี่ยจึงเงยหน้าขึ้นมามอง
มีน้ำใสจางจางอยู่ในดวงตาน้ำแข็งสีครามทั้งคู่เหมือนยังดูน้อยใจอย่างมาก
นางตกใจเล็กน้อย
แปลกประหลาดนัก…
ทุกครั้งเมื่อได้เจอนางเสวี่ยเสวี่ยดูมีความสุขอย่างเห็นได้ชัดและไม่เคยเห็นท่าทางเช่นนี้มาก่อน
“เสวี่ยเสวี่ยของเราเป็นอันใดไปนะ ใครรังแกเจ้ากันรึ?”
ฉู่หลิวเยว่เกาหัวของเสวี่ยเสวี่ยไปมา
เพราะที่แห่งนี้คือพระราชวังเมฆาสวรรค์ แม้ว่าจะมีการกลั่นแกล้งกัน ก็ควรจะเป็นเสวี่ยเสวี่ยรังแกคนอื่นกระมัง
เหตุใดยังน้อยใจอยู่อีก
ฉู่หลิวเยว่ก้มตัวลงและได้กลิ่นคาวเลือดที่ไหลออกมาคละคลุ้งอย่างรุนแรง
สีหน้าของนางปลี่ยนไปเล็กน้อย พลันคว้าอุ้งเท้าของเสวี่ยเสวี่ยเอาไว้ จึงเห็นเลือดที่ยังสดๆ อยู่ในซอกเล็บของมันอย่างชัดเจน
“นี่เจ้า…ทะเลาะกับใครมา”
ฉู่หลิวเยว่ขมวดคิ้วเข้ม
คนที่ทำให้เสวี่ยเสวี่ยเลือกที่จะลงมือบนพระราชวังเมฆาสวรรค์…
ขณะที่นางเต็มไปด้วยความวิตกกังวล เสวี่ยเสวี่ยกลับเอาหัวเข้ามาใกล้ๆ
เสวี่ยเสวี่ยไม่ยอมพูดอะไร เพียงแต่เอาหัวใหญ่ๆ มาซุกไว้ที่ไหล่ของนางและถูไปมาอย่างระวังและงุ่มง่าม
“ฮือ”
ดูเหมือน…มันกำลังปลอบนาง?
“มันกำลังโมโหอยู่น่ะ”
จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงของเจ้าก้อนแป้งขึ้นมาภายในใจ
“เมื่อครู่มันได้ยินคนกำลังพูดไม่ดีถึงอาเยว่ จึงมีเรื่องกับพวกเขามา”
ฉู่หลิวเยว่จึงเข้าใจในทันที
ภายในใจของนางเหมือนถูกบางสิ่งทำให้อ่อนยวบลง
หรือว่าเสวี่เสวี่ย…กำลังปกป้องนาง…
นางยิ้มพลางโอบหัวของเสวี่ยเสวี่ยเอาไว้
“เสวี่ยเสวี่ยเหตุใจจะต้องไปมีเรื่องกับคนธรรมดาพวกนั้นด้วยล่ะ”
ในคอของเสวี่ยเสวี่ยส่งเสียงต่ำๆ ออกมา
แน่นอนว่ามันโกรธเคือง!
คิดไม่ถึงว่าคนพวกนั้นกล้าพูดถึงนางเช่นนั้นได้!
ถ้าหากไม่คิดว่าจะทำให้งานอภิเษกสมรสต้องถูกล้มเลิกไป มันคงไม่มีทางปล่อยพวกเขาไปง่ายๆ เป็นแน่!
ความแค้นครั้งนี้ต่อไปมันจะต้องเอาคืนอย่างแน่นอน!
ฉู่หลิวเยว่เกาที่หัวของเสวียเสวีย สายตาหรี่ลงเล็กน้อย และเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่
ถวนจื่อเอ่ยถามขึ้น
“อาเยว่ เจ้าดูสิ ข้าจะบอกเจ้าให้ว่าคนพวกนั้นไม่รู้จักการเอาคืน! ต้องถูกตีสะก่อนถึงจะรู้จักความซื่อสัตย์!”
เรื่องที่อาเยว่พูดมานั่นก็ไม่ผิด แต่ว่าในที่สุดแล้วจะต้องรอจนไปถึงเมื่อใดถึงจะลงมือได้
บัดนี้จริงแล้วๆ นางรู้สึกคันไม้คันมืออย่างมาก!
ฉู่หลิวเยว่นิ่งเงียบไปชั่วขณะและจู่ๆ ก็หัวเราะออกมา
“นับแล้วยังเหลืออีกห้าวันกว่าจะถึงวันแต่งงาน สุดท้ายยังปล่อยให้พวกเขามาก่อความวุ่นวายได้”
………………..