ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1798 รับศิษย์เข้าสำนัก
ตอนที่ 1798 รับศิษย์เข้าสำนัก
………………..
ฉู่หลิวเยว่ปลอบใจเสวี่ยเสวี่ยอยู่ครู่หนึ่งและค่อยๆ ช่วยเช็ดทำความสะอาดรอยเลือดบนอุ้งมือของมัน อีกทั้งยังสัญญากับมันอีกว่าหลังจากนี้จะเอาคืนให้กับมัน จึงทำให้เสวี่ยเสวี่ยมีความสุขขึ้นมาอีกครั้งจนวิ่งไปรอบๆ ตัวนาง
ช่วงนี้มันฝึกฝนอยู่ที่พระราชวังเมฆาสวรรค์โดยตลอด หากฝึกฝนได้ไม่ถึงตามต้องการของเจ้านายมันก็ไม่ได้รับอนุญาตให้ออกมา
ดังนั้นเมื่อฉู่หลิวเยว่มาอยู่ที่นี่ได้พักหนึ่ง ในที่สุดมันถึงได้เป็นอิสระ
หลังจากทิ้งเรื่องราวยุ่งเหยิ่งเหล่านั้นไป เสวี่ยเสวี่ยจึงมีชีวิตชีวาขึ้นอีกครั้ง
นางจึงพามันไปเล่นในเรือน
แม้ว่าเรือนนี้ไม่ได้ใหญ่มากนัก แต่สำหรับเสวี่ยเสวี่ยแล้วนั้น หากเพียงได้อยู่กับฉู่หลิวเยว่ ไม่ว่าอย่างไรก็ล้วนมีความหมายทั้งสิ้น
มันเห็นก้อนหินมากมายแขวนอยู่ในลานกว้าง มันจึงพุงตัวไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นและใช้อุ้งเท้าดันให้ก้อนหินตกลงมา
เสียงตุงของก้อนหินที่ตกลงมา
ก้อนหินที่อยู่ด้านข้างกลิ้งไปอยู่ตรงขาหลังของมัน
เสวี่ยเสวี่ยหันไปมองครู่หนึ่ง ใบหน้าดูงุนงนสงสัย
มันไม่ได้ขยับก้อนนี้นิ มันขยับเองได้อย่างไร
มันจึงใช้เท้าหลังผลักก้อนหินนั้นออกไป
ในที่สุดหินก้อนที่สามก็กลิ้งตกลงมาอีกครั้ง
ครั้งนี้แรงของหินนั่นกลับเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อยกว่าครั้งก่อนเสียอีก
เสวี่ยเสวี่ยหงุดหงิดเล็กน้อยจึงเตะหินก้อนนั้นออกไปด้วยอุ้งเท้าของมัน
จากนั้นชั่วครู่หินก้อนนั้นก็กลิ้งกลับมา! และเร็วยิ่งกว่าเดิมโดยมุ่งตรงไปที่ด้านหน้าของเสวี่ยเสวี่ย
เสียงแหลมคมดังสนั่นท้องฟ้า!
เสวี่ยเสวี่ยตกใจและหันกลับไปมองทันที ทันใดนั้นขณะที่หินก้อนนั้นพุ่งมา จึงปรากฏให้เห็นรอยแตกบนพื้นสีดำขึ้น!
อันตราย!
“อย่าก่อกวนสิ”
เป็นฉู่หลิวเยว่!
หลังจากนั้นเสวี่ยเสวี่ยจึงเฝ้าพลางจ้องมองก้อนหินนั่นที่ยังคงดุร้ายก้าวร้าว ลมหายใจทั้งหมดกลับถูกปิดปังเอาไว้ในทันที “ตุบ” มีเสียงหนึ่งหล่นลงบนพื้น
ดูแล้วก็เหมือนหินธรรมดาทั่วไปไม่มีอะไรแตกต่าง
เพียงแค่จ้องมองเช่นนี้ จึงมิอาจจะเชื่อได้จริงๆ ว่า เมื่อครู่ก่อนมันยังมีเจตนาฆ่าอย่างรุนแรง ยิ่งบีบคั้นจึงทำให้มันรู้สึกกลัวจนตัวสั่น!
เมื่อเสวี่ยเสวี่ยสะบัดหัวไปมาจึงมองมันอีกครั้งอย่างไม่น่าเชื่อ
หลังจากหินหลายๆ ก้อนนั้นเงียบสงบลง
เหตุการณ์ทั้งหมดเมื่อครู่นี้ราวกับภาพหลอน!
แต่มันกลับไม่คิดจริงๆ ว่า นั่นล้วนเป็นของปลอม
เมื่อฉู่หลิวเยว่เดินเข้ามาและลูบหูขอเสวี่ยเสวี่ย
“ที่นี่มีคนมาไม่มากนัก เมื่อเจ้ามาปรากฏตัว พวกมันจึงดูมีชีวิตชีวิตขึ้นเล็กน้อยอย่างเลี่ยงไม่ได้”
เมื่อได้ยิน ใบหน้าเสวี่ยเสวี่ยงงงันไปชั่วครู่
พวกไหนกัน
จู่ๆ ดวงตาของมันก็แน่นิ่งไป
ต่อมา…
ดูเหมือนว่าบริเวณรอบๆ…จะไม่ได้มีแค่หินสองสามก้อนหรอกหรือ
เสวี่ยเสวี่ยหันคอมาอย่างแข็งทื่อ นัยต์ตาปรากฏร่อยรอยความประหลาดใจ
ในลานกว้างนี้ทั้งหมดล้วนมีก้อนหินกระจัดการจายอยู่แทบจะทุกที่!
อีกทั้งหินส่วนใหญ่แทบจะเหมือนกับหินกับที่เพิ่งโจมตีไปเมื่อก่อนหน้านี้!
ชั่วครู่เสวี่ยเสวี่ยก็เข้าใจอะไรบางอย่างขึ้นจึงเงยหน้ามองไปทางฉู่หลิวเยว่ในทันที
“หากว่าเจ้ารู้สึกเบื่อๆ ก็มาหาถวนจื่อกับจื่อเฉินได้”
ฉู่หลิวเยว่คิดได้จึงเอ่ยขึ้น
“ข้าไม่!”
ถวนจื่อตอบโต้กลับในทันที
ช่วงนี้นางค่อยๆ รู้สึกเหมือนร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงขึ้นเล็กน้อย ดังนั้นเวลาส่วนใหญ่ นางจึงคัดแยกชีพจรลั่วในร่างกาย
อีกอย่างหากมาทะเลาะกับเสวี่ยเสวี่ยจะมีประโยชน์อะไร
บัดนี้คู่ต่อสู้ที่ยอดเยี่ยมที่สุดของนางก็คือจื่อเฉิน!
นางรับรู้ความรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าในตอนนี้เหมือนว่าพลังของจื่อเฉินจะเหนือกว่าตน
นางจำเป็นต้องเปิดชีพจรขั้นที่ห้าถึงจะมีหวังชนะได้!
เมื่อคิดถึงสิ่งนี้แล้วถวนจื่อก็ตั้งใจฝึกฝนต่ออย่างเต็มกำลังอีกครั้ง
ฉู่หลิวเยว่มิรู้ว่าจะร้องไห้หรือหัวเราะดี
อันที่จริงทั้งความสามารถและพลังของถวนจื่อนับว่าอยู่ในระดับสูงก็ว่าได้
สุดท้ายแล้วทั้งเผ่าหงส์ทองคำมีเพียงนางที่อายุเท่านี้ก็เปิดชีพจรได้ถึงระดับสี่แล้ว
เดิมที่นางต้องเป็นคนที่ชนะจื่อเฉินได้อย่างแน่นอน
อย่างไรความโชคดีของจื่อเฉินก็ถือว่าเป็นความโชคดีที่น่าเหลือเชื่อ มีลมหายใจที่เชื่อมถึงกันกับโหมวเจิน จึงนับว่าเปิดความสามารถเฉพาะอย่างแท้จริง!
เกรงว่าตัวเขาเองคงไม่ได้ฝึนฝน เมื่อพลังของโหมวเจินเพิ่มขึ้น พลังการต่อสู้ของเขาก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย!
แค่รอคอยโชคเช่นนี้ แม้แต่ฉู่หลิวเยว่ยังรู้สึกค่อนข้างอิจฉา
ถวนจื่อต้องการเอาชนะเขาแทบจะเทียบกับการเอาชนะโหมวเจิน
มิน่าช่วงนี้นางถึงได้มุมานะฝึกฝนเช่นนี้
“จริงสิ ตอนเกิดเรื่องขึ้นบนเกาะมังกรศักดิ์สิทธิ์ เจ้าได้บอกพวกท่านประมุขอี้เจาแล้วหรือไม่”
เมื่อนางต้องสืบทอดพลังบรรพชน ก็เพียงพอให้ติดต่อกับอี้เจาและคนอื่นๆ ได้อย่างสะดวกและง่ายขึ้น
เมื่อพวกเขาออกมาจากเกาะมังกรศักดิ์สิทธิ์ ฉู่หลิวเยว่จึงเตือนให้นางอธิบายเรื่องราวให้กับท่านประมุขอี้เจาและคนอื่นฟังว่า ถวนจื่อคือหงส์ทองคำ และเป็นนายน้อยในตระกูล ก็แค่ไปเดินเล่นที่เกาะมังกรศักดิ์สิทธิ์จนกลายเป็นเรื่องใหญ่ไปได้จริงๆ
หลังจากนี้แทนที่ท่านประมุขอี้เจาและคนอื่นๆ จะไปได้ยินข่าวลือมั่วๆ มาจากที่อื่น มิสู้ให้พวกนางเป็นฝ่ายบอกเองเสียจะดีกว่า
ในที่สุดจึงทำให้พวกเขาสบายใจลงได้บ้าง
“หวังว่าพวกท่านประมุขอี้เจาจะไม่ขุ่นเคือง…”
ฉู่หลิวเยว่นวดระหว่างคิ้วไปมา
ถวนจื่อหัวเราะดังลั่นและเอ่ยขึ้นด้วยเสียงสดใส
“อาวเยว่วางใจเถอะ! พวกเราล้วนสบายดีมิใช่รึ ท่านประมุขปู่จะโกรธได้อย่างใดกัน”
ฉู่หลิวเยว่ไอเสียงดังขึ้น นึกถึงเมื่อก่อนที่อี้เจาและคนอื่นๆ มองดวงตาอันน่าหลงไหลของถวนจื่อ ก็ยิ่งรู้สึกไม่สบายใจมากกว่าเดิม
ก่อนหน้านี้นางสัญญาไว้ว่าจะดูแลถวนจื่ออย่างดี หลังจากออกจากภูเขาศักดิ์สิทธิ์เฟิ่งหวงก็เกิดปัญหาวุ่นวายมาตลอด
เริ่มจากสุสานสังหารเทพก่อนและก็ตามมาด้วยเกาะมังกรศักดิ์สิทธิ์
ยังดีที่ถวนจื่อไม่เป็นอะไร!
ไม่อย่างนั้นต่อจากนี้ไปไม่รู้ว่าฉู่หลิวเยว่จะเผชิญหน้ากับท่านประมุขอี้เจาและคนอื่นๆ ได้เช่นไร
“รองานแต่งเสร็จสิ้นลงแล้ว ข้าจะพาเจ้ากลับไปเยี่ยมที่ตำหนักศักดิ์สิทธิ์เฟิ่งหวง”
แม้ว่าช่วงเวลาที่ออกมานับว่าไม่นานนัก แต่ตรงกลางก็มีเรื่องเกิดขึ้นไม่น้อย
หากว่ากันตามความเหมาะสมก็ควรกลับไปทักทาย และถือว่าเป็นการปลอบใจพวกเขาสักหน่อย
โชคดีที่บัดนี้ประมุขไท่ซวีเฟิ่งหลงก็คือโหมวเจิน และไม่ได้จุกจิกมากมายนักกับถวนจื่อ
ไม่อย่างนั้นปัญหายิ่งแก้ไขยากขึ้นกว่าเดิม
“ดีล่ะ!”
ถวนจื่อไม่ได้คิดมากเช่นนั้น เมื่อได้ยินว่ายังสามารถกลับไปได้ เขาจึงรีบจัดการให้ชนะอย่างน่าดีอกดีใจเสียดีกว่า
“ท่านอาจารย์ ท่านมาได้อย่างใด”
นางถามขึ้นพลางเดินเข้าไปหาอาจารย์
หนานซู่ไหวโบกมือไปมา
“นี่ไม่ใช่ว่ามิมีอันใดทำหรอกนะ แต่เพราะอาจารย์อยากจะมาหาเจ้าเสียหน่อย”
ฉู่หลิวเยว่เลิกคิ้วขึ้น
“อ้อ?”
หนานซู่ไหวถูกสายตาของนางจ้องมองอย่างรู้สึกไม่สงบสุข จึงไอขึ้นอยู่หลายครั้ง จนในที่สุดเขาก็พ่ายแพ้ให้แก่สายตาของนางลง
“พอแล้วพอแล้ว! แท้จริงแล้วที่ข้ามาในครั้งนี้เพราะมีบางเรื่องต้องการจะถามเจ้า”
ฉู่หลิวเยว่เชิญหนานซู่ไหว่นั่งลงบนม้านั่งหินในลานกว้าง จากนั้นนางยิ้มพลางเอ่ยถามขึ้นอย่างช้าๆ ว่า
“มิทราบว่าท่านอาจารย์ต้องการถามอันใด”
หนานซู่ไหวพูดขึ้นอย่างอึกอัก
ผ่านไปชั่วครู่ เขาจึงเชยคางขึ้นไปยังทิศทางตรงนั้น
“เยว่เออร์ คนเหล่านี้…ล้วนเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเจ้าใช่หรือไม่”
ฉู่หลิวเยว่คิดว่าที่เขาถามถึงคือเฉิงอีและคนอื่น จึงพยักหน้า
“ใช่เจ้าค่ะ มีอันใดหรือ พวกเขาไปก่อเรื่องไว้ใช่หรือไม่”
หนานซู่ไหวโบกมืออปฏิเสธอย่างรีบร้อน
“ที่ไหนกันเล่า! พวกเขาจะไปสร้างปัญหาที่ไหนกัน…มิใช่แล้ว ความหมายของข้าก็คือ…เด็กคนนั้นดูแล้วอายุมิมากนัก แต่ความสามารถไม่เลว โดยเฉพาะคนอายุน้อยที่สุดนั่น กระดูกแต่ละส่วนของร่างกายเขาเหมือนจะดีมากทีเดียว เจ้าเคยคิดที่จะให้เขาเข้าสำนักบ้างหรือไม่”
………………..