ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1800 การปฏิเสธ
ตอนที่ 1800 การปฏิเสธ
………………..
เรือนทุกหลังเงียบสงบลงในชั่วพริบตา
ฉู่หลิวเยว่ตกตะลึงอยู่สักพักหนึ่งถึงได้มาเข้าใจความความหมายของสิบสาม
เขาบอกว่า…ไม่อยากไปสำนักหลิงเซียวหรือ
หนานซู่ไหวก็สับสนเล็กน้อย
เขายังไม่เคยจอกับสถานกาณ์แบบนี้มาก่อน
ในอาณาจักรเสิ่นซวี่ มิรู้ว่าต้องมียอดอัจฉริยะมากมายเพียงใดที่ฝึกฝนอย่างยากลำบาก ก็หวังว่าจะได้เข้าสำนักหลิงเซียวเพื่อนฝึกปราณ
มีหลายคนที่แทบจะมองสิ่งนี้เป็นเกียรติต่อตนเองและทั้งตระกูล
มิใช่เรื่องที่กล่าวเกินจริงที่ว่าสำนักหลิวเซียวเป็นสำนักศึกษาสูงสุดที่รวมผู้มีพรสวรรค์โดดเด่นที่ล้วนแห่กันมาที่นี่
ทว่ามีเพียงพวกเขาที่มีส่วนในการคัดเลือกคนมาตลอด ยังไม่เคยถูกปฏิเสธเช่นนี้มาก่อน
“สิบสาม เจ้าเพิ่งจะมาอาณาจักรเสิ่นซวี่ได้ไม่นาน อาจยังมิรู้ว่าสำนักหลิงเซียวหมายถึงสิ่งใด”
ฉู่หลิวเยว่จัดการความคิดอยู่ครู่หนึ่งและรู้สึกว่าสิบสามอายุยังน้อยอยู่บ้าง เรื่องที่พิจารณาไม่ผ่านถึงพูดออกมาเช่นนี้ได้ เมื่อพิจารณาทั้งหมดแล้วถึงได้พูดเช่นนี้ออกมา
นางจ้องมองสิบสามและเอ่ยขึ้นอย่างจริงจัง
“สิบสาม นี่เป็นโอกาสที่หายากยิ่งนัก มีคนมากมายต้องการจะเข้าสำนัก แต่ยังไม่มีผู้ใดมีคุณสมบัติเหมาะสมเช่นนี้”
อันที่จริงนางไม่ได้คาดหวังให้สิบสามพลาดกับโอากาสที่ดีเช่นนี้ไป
แต่สิบสามกลับส่ายหัวๆ
“นายท่าน เรื่องพวกนี้ข้าเข้าใจ ขอรับ”
ก่อนหน้านี้พวกพี่ใหญ่ได้มาพูดกับข้ามากมายเกี่ยวเรื่องของอาณาจักรเสิ่นซวี่
สำนักหลิงเซียวเป็นสำนักที่นายท่านเคยอยู่ แน่นอนว่าพวกเขาล้วนทำความเข้าใจมาไม่น้อย
เขาไม่ต้องการไปจริงๆ
“ข้าไม่อยากจากพวกพี่ใหญ่ไป และก็ไม่อยากจากท่านไปด้วย”
…
ณ เรือนอีกแห่งหนึ่งของเขาฉางจื้อ
อู่เหยากำลังฝึกต่อสู้
น้องแปดกำลังทำถูโค่วตาน[1]
อวี๋จิ่วกำลังฝึกร่ายรำดาบไม้
สือฟัง…กำลังเกลี่ยดิน
เพิ่งจะมาถึงได้ไม่กี่วันก่อน เขาก็เริ่มทำไร่ทำสวนตลอด
บัดนี้บนหน้าดินมีต้นอ่อนต้นหนึ่งผลิบานออกมาอย่างสดใหม่และเขียวสด
“ยังมีผักที่ปลูกเอง กินแล้วสบายใจที่สุด!”
สือฟังยืดเอวขึ้นพลางเอ่ยขึ้นด้วยความรู้สึกอันแรงกล้า
เขาผู้นี้มีจุดอ่อนอยู่อย่างหนึ่งก็คือแต่ไหนแต่ไรมาเขาจะกินแต่อาหารของตนเองเท่านั้น
ช่วงเวลานี้เขายุ่งอยู่กับการวิ่งวุ่นไปมาอยู่ตลอดจึงไม่มีเวลาทำเรื่องเหล่านี้เลย
ก่อนหน้าเขานำของที่กินมาไม่น้อยจากที่บ้าน หากต้องรอต้นที่เพิ่งปลูกลงไปพวกนั้นโตคงต้องใช้เวลาสองถึงสามเดือน
สือฟังมีชีวิตที่ยากลำบาก
แต่เมื่อได้เห็นต้นกล้าที่สดใหม่เหล่านั้น อารมณ์ของเขาก็ดีขึ้นมาก
น้องแปดชำเลืองมองเขา
“ช่างเสแสร้งกว่าข้าเสียจริง”
จะว่าไปขั้นพลังปราณของสือฟังในตอนนี้ แม้จะกินแค่เดือนละมื้อก็ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ
แต่เขาผู้นี้เป็นคนที่ระมัดระวังตัวอย่างมาก ทุกๆ วันต้องได้กิน!
อีกทั้งถ้าเขาไม่ได้ปลูกด้วยตัวเอง เขายอมอดตายและไม่ยอมกินอะไรทั้งสิ้น
“พี่หญิงแปด ทุกครั้งข้าเป็นคนทำอาหาร ท่านก็ไม่เคยพลาดเลยสักมื้อ”
น้องแปดจ้องมองเขาครู่หนึ่ง
“พูดให้น้อยๆ ลงหน่อย คงมิมีใครคิดว่าเจ้าเป็นใบ้!”
ทางด้านอู่เหยาเพิ่งจะฝึกมวยเสร็จ ได้ยินคำนี้เข้าจึงถามอย่างอดไม่ได้ว่า
“เมื่อพวกเจ้ามาอยู่ด้วยกัน เกรงว่าแค่วันเดียวก็หยุดไม่ได้งั้นหรือ วันๆ เอาแต่ถกเถียงกัน พวกเจ้าไม่รำคาญ แต่หูของข้าจะหนวกอยู่แล้ว!
สองคนต่างไม่สนใจเขา
แต่อวี๋จิ่วกลับพูดแทรกขึ้นมา
“พี่ห้า ถึงอย่างใดไม่ว่าใครก็โน้มน้าวเขาไม่ได้ แล้วเหตุใดต้องทำเกินความจำเป็นทุกครั้งกันเล่า”
อู่เหยาเลิกคิ้วขึ้น
“ตั้งใจฝึกกระบี่ของเจ้าไปสะ!”
แต่อวี๋จิ่วกลับไม่ได้ถือสาจึงเก็บกระบี่ขึ้นมาพลางหัวเราะด้วยความซุกซน
“บังเอิญแล้วล่ะ ข้าก็ฝึกเสร็จแล้วพอดี!”
อู่เหยาขี้เกียจเกินกว่าจะตอบกลับไป
อวี๋จิ่วเดินไปยังเก้าอี้ด้านข้างและปล่อยให้ตนเองจมลงไปในนั้นอย่างสมบูรณ์
“ไม่อยากจะพูดเลยว่า ที่แห่งนี้เต็มไปด้วยพลังแห่งสวรรค์และโลก ช่างเหมาะกับการฝึกฝน…จริงสิ!”
จู่ๆ เขาก็คิดอะไรขึ้นมาจึงลุกขึ้นในทันที
“เมื่อครู่สิบสามถูกนายท่านเรียกไปทำอันใด”
ในขณะที่เขากำลังจดจ่อกับการฝึกกระบี่จึงไม่ได้สนใจอะไรนัก
ขณะที่น้องแปดเปลี่ยนสีเล็บ
“อ๋อ ดูเหมือนจะเป็นเพราะถูกอาจารย์ของนายเท่าชื่นชอบเข้าแล้วกระมั่ง เด็กคนนี้เพิ่งจะมีความสุขได้ไม่กี่วัน ได้กระโดดไปมา ดูไม่ได้เกี่ยวอันใดกันแม้แต่น้อย ก็ถูกคนพบเห็นเข้าแล้วงั้นสิ”
“เช่นนั้นมิน่าเป็นไปได้ แต่มีความเป็นได้ที่จะให้สิบสามไปสำนักหลิวเซียว” ขณะนั้นอู่เหยาก็เดินเข้ามาพอดี
“ลองดูว่าเด็กคนนั้นจะพูดอย่างไร”
น้องแปดหัวเราะเบาๆ
“มีอันใดต้องกังวลหรือ? สิบสามเป็นคนฉลาดจะยอมตอบตกลงไปที่สำนักหลิงเซียวได้อย่างนั้นรึ”
“เช่นนี้ก็จริง”
สื่อฟังยากที่จะเห็นด้วยกับคำพูดของน้องแปดจึงพยักหน้า
“หากเขาตอบตกลงไป เช่นนั้นก็ถือว่าพวกเราสอนคนโง่คนหนึ่งแล้วล่ะ”
ในขณะนั้นเฉิงอีกำลังเดินออกมาจากห้องพอดี
หลายคนจึงทำตามกฏขึ้นมาในทันที
“พี่ใหญ่”
เฉิงอียืนเอามือไพล่หลัง ดวงตาที่แคบและเรียบเฉยกวาดตามองทุกคนพลางเอ่ยขึ้นอย่างนิ่งเฉย
“สิบสามมีความคิดเป็นของตนเอง ไม่ว่าเขาคิดจะทำสิ่งใดก็ล้วนขึ้นอยู่กับเขา อย่างใดแล้วพวกเจ้าอย่าลืมว่าที่นี่คือที่ไหน คำไหนควรพูดและคำไหนมิควรพูด ล้วนเตือนสติตัวเองกันหน่อย”
ทุกคนสายตาเขร่งครึม
“ขอรับ!”
เฉิงอีจึงค่อยๆ พยักหน้ารับ
พวกเขาทุกคนและคนอื่นๆ ไม่ใช่แค่กังวล
ตั้งแต่ที่นายท่าเกิดเรื่องนั้นขึ้น พวกเขาต่างระมัดระวังมากขึ้นในทุกๆ ด้าน
“นอกจากนี้ถ้าหากได้ยินบางคำที่ไม่เข้าหูในสองสามวันนี้ ก็ไม่ต้องไปสนใจ รอหลังเสร็จงานอภิเษกสมรสของนายท่านก่อน ค่อยหารือกัน”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ เขาจึงจ้องมองน้องแปดอย่างมีเลศนัย
น้องแปดเพียงยกมือขึ้นอย่างหมดหนทางและเอ่ยขึ้น
ต่อมาก็ตรงไปอยู่ที่เขาฉางจื้อ ถ้าไม่เห็นก็ไม่ทุกข์!
เช่นนี้เฉิงอีจึงพยักหน้าด้วยความพอใจ
“เช่นนั้นธุระของพวกเจ้าก็ไปจัดการกันต่อเถิด”
หลังจากที่เฉิงอีพูดจบ เขาจึงเงยหน้าขึ้นไปมองยังที่ไกลๆ อีกครั้ง เมื่อถอนสายตากลับมาแล้วจึงหันกลับไปที่เรือน
…
หลังจากสิบสามพูดประโยคนั้น เรือนทั้งหมดจึงเงีบบสงบลงอีกครั้ง
ในชั่วขณะฉู่หลิวก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร
นางมองออกว่าสิ่งนี้เป็นคำพูดที่จริงใจของสิบสาม
สำนักหลิงเซียวสำหรับคนอื่นแล้วนั้น บางทีก็เต็มไปด้วยสิ่งเย้ายวนใจจึงเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ที่ทุกคนต่างปรารถนาเข้าไป
แต่สำหรับสิบสามกลับไม่เป็นเช่นนั้น
นางหยุดไปชั่วครู่และยังแนะนำขึ้นอีกครั้ง
“สิบสาม เจ้า…คิดดีแล้วหรือ เพียงแค่เจ้าไปสำนักหลิงเซียวเพื่อฝึกฝน ไม่ได้หมายความว่าจะทำให้เจ้าห่างไกลจากพวกเราเลยนะ สุดท้ายแล้วแม้แต่ข้าก็ยังเป็นศิษย์ของสำนักไม่ใช่หรอกหรือ”
โอกาสเช่นนี้ เมื่อพลาดไปแล้วคงไม่ได้มีอีกครั้ง
สายตาของสิบสามกลับค่อยๆ แน่วแน่ขึ้น
เขาจ้องมองฉู่หลิวเยว่พลางส่ายหัว
จู่ๆ ฉู่หลิวเยว่รู้สึกปวดหัวขึ้นมาเล็กน้อย
ถ้าหากเปลี่ยนเป็นพวกน้องแปด นางคงออกคำสั่งไปก็สิ้นเรื่อง
แต่ทว่าสิบสามยังเด็ก
หนานซู่ไหวถอนหายใจและยิ้มอย่างปล่อยวาง
“ช่างเถอะ ดูแล้วเด็กคนนี้คงไม่มีวาสนากับสำนักหลิงเซียว ไม่ต้องไปบีบบังคับเขา อีกอย่าง…ความสามารถนี้ของเขาดูเหมือนจะยังไม่สายไป เพียงฝึกฝนดีๆ ก็จะก้าวหน้าได้ เป็นไปได้ก็ควรจะมีอาจารย์ดีๆ สักคน”
มือของฉู่หลิวเยว่เคาะเบาๆ บนโต๊ะหิน
แน่นอนว่าสิบสามยังไม่มีอาจารย์
เพราะเขามักถูกพวกเฉิงอีพาไปด้วยอยู่ตลอด
[1]ถูโค่วตาน คือ ยาทาเล็บในสมัยโบราณ
………………..