ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1802 หวนนึกถึง
ตอนที่ 1802 หวนนึกถึง
………………..
ฉู่หลิวเยว่ถึงกับโต้ตอบไม่ออกชั่วขณะ
นางเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ เปลือกตาหลุบลงต่ำ จมดิ่งสู่ห้วงความคิด
ผ่านไปครู่ใหญ่ นางก็หัวเราะออกมาอย่างจนปัญญา
“เจ้าพูดถูก”
นางไม่เคยสงสัยในความซื่อสัตย์ที่เฉินอีมีต่อนาง
ดังนั้นแล้ว แม้นบางครั้งเฉินอีจะออกไปสะสางเรื่องต่างๆ จึงไม่ได้ดูแลนางอย่างเต็มที่ นางก็หาได้โมโหหรือเป็นกังวลไม่
เฉินอีสติปัญญาหลักแหลมยิ่ง
ในหลายครั้งก็เป็นเพราะการมีอยู่ของเขาล้วนๆ ที่ช่วยให้ฉู่หลิวเยว่หลีกเลี่ยงปัญหาได้
เขาพูดถูกต้องแล้ว
ไม่ว่านางจะได้รู้เรื่องนี้ตอนไหน ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบใหญ่โตแต่อย่างใด
เจ้าสิบสามที่อยู่ภายใต้การดูแลของพวกเขาก็ยังคงเติบใหญ่เป็นอย่างดีไม่เปลี่ยนแปลง
ตัวเขาในตอนนี้ฝีมือฉกาจมากพอที่จะได้รับคำชื่นชมไม่ขาดปากจากอาจารย์ที่แสนจู้จี้มาแต่ไหนแต่ไร
แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว
ฉู่หลิวเยว่เหลือบตามองไปทางเฉินอี
เฉินอียังคงยืนสงบเสงี่ยม สบตานางด้วยสีหน้าเรียบเฉย ในแววตาฉายประกายนิ่งสงบ
“ต่อไปฝากชี้แนะเจ้าสิบสามให้ดีๆ ล่ะ”
เฉินอีคลี่ยิ้ม ก่อนค้อมตัวคำนับ
“ขอรับ”
…
“นี่เป็นของที่พระโอรสรับสั่งให้หญิงปักผ้าทำตลอดคืน ใช้เวลาสามเดือนเต็มจึงทำสำเร็จ”
ผู้อาวุโสหมิงที่สามสิบหกวางกล่องไม้หอมแกะสลักอย่างประณีตลง พลางมองฉู่หลิวเยว่ด้วยสีหน้ารักใคร่เอ็นดู
“พระชายาประสงค์จะเปิดดูหรือไม่”
ในใจของฉู่หลิวเยว่ราวกับมีบางอย่างกำลังพลุ่งพล่าน
มือของนางลูบไล้ไปตามกล่องไม้อย่างเบามือ จากนั้นก็ส่ายศีรษะ
“ของที่หรงซิวให้มาย่อมดีที่สุด”
ของสิ่งนี้เลอค่าจนมิอาจประเมินได้ ถึงขั้นที่ว่านางเองก็ไม่กล้าจะเปิดกล่องดูให้ละเอียด
ตามหลักแล้ว ชุดแต่งงานควรจะเป็นความรับผิดชอบของฝ่ายเจ้าสาว
แต่มารดาของนางลาลับไปแล้ว จึงมิอาจทำเช่นนั้นได้
หรงซิวจึงเข้ามาช่วยนางจัดแจงทุกสิ่งทุกอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ไม่ปล่อยให้นางลำบากแม้แต่นิดเดียว
ตั้งแต่พวกเขาผูกจิตสัมพันธ์มาจนถึงตอนนี้ ชั่วพริบตาก็ผ่านมานานเพียงนั้นแล้ว
ในใจฉู่หลิวเยว่พลันบังเกิดความรู้สึกปลดปลงมากมาย
ด้านนอกแว่วเสียงดังเซ็งแซ่ให้ได้ยินอยู่ก่อนแล้ว ทุกที่ประดับประดาด้วยโคมไฟและผืนผ้าสวยสด บรรยากาศอวลไปด้วยความสุขสันต์
ทั่วทั้งพระราชวังเมฆาสวรรค์กำลังท่วมท้นด้วยทะเลความปิติยินดี
งานพิธีเฉลิมฉลองอันยิ่งใหญ่ตระการตานี้เป็นสิ่งที่เขาตระเตรียมให้แก่นาง
ผู้อาวุโสหมิงที่สามสิบหกมองดูฉู่หลิวเยว่ด้วยสายตาเอ็นดู กล่าวขึ้นว่า
“ความจริงแล้วข้ามีเรื่องจะคุยกับพระชายาสักสองสามประโยค มิทราบว่าพระชายาสะดวกหรือไม่”
ฉู่หลิวเยว่ได้สติกลับมา ริมฝีปากแดงระเรื่อยกยิ้ม
“ผู้อาวุโส ท่านเรียกข้าเช่นนี้ออกจะห่างเหินไปหน่อยแล้วหนา เรียกข้าว่า ‘เยว่เออร์’ เถิด!”
แววตาของผู้อาวุโสหมิงที่สามสิบหกทวีความอ่อนโยนยิ่งกว่าเก่า
ฉู่หลิวเยว่รู้ได้ว่าเรื่องที่เขาจะพูดต้องเกี่ยวข้องกับหรงซิวเป็นแน่ จึงเอ่ยว่า
“เชิญท่านนั่งเถิด มีเรื่องอันใดโปรดบอกมา เยว่เออร์คอยฟังอยู่”
ผู้อาวุโสหมิงที่สามสิบหกผงกศีรษะ สาวเท้าเดินไปยังข้างหน้าต่าง ก่อนทรุดตัวลงนั่ง
“เยว่เออร์ เจ้าก็มานั่งด้วยสิ”
ฉู่หลิวเยว่เดินเข้าไปหาอย่างว่าง่าย แล้วนั่งลงตรงข้ามกับผู้อาวุโสหมิงที่สามสิบหก
…
ผู้อาวุโสหมิงที่สามสิบหกกวาดสายตามองดูแม่นางตรงหน้าอย่างละเอียดถี่ถ้วน
รูปโฉมสะคราญมิมีผู้ใดเทียบ งามเสียจนล่มบ้านล่มเมือง
นัยน์ตาคู่นั้นเป็นประกายระยับดั่งนภสินธุ์ ใสกระจ่างแลบริสุทธิ์ ทั้งยังแฝงแววนิ่งสงบอย่างหาได้ยาก
แม่นางเช่นนี้เหมาะสมกันกับพระองค์ดุจกิ่งทองใบหยกก็มิปาน
“ความจริงแล้ว คราแรกข้ามิใคร่ชอบใจเจ้าเอาเสียเลย”
ผู้อาวุโสหมิงที่สามสิบหกหัวเราะ ก่อนจะพูดออกมาทันทีทันใด
แววตาของฉู่หลิวเยว่เรียบเฉยดังเคย
นางรู้ว่าสิ่งที่ผู้อาวุโสหมิงที่สามสิบหกต้องการจะพูดไม่ได้มีแค่นี้
เห็นนางสงบนิ่งเช่นนี้ ผู้อาวุโสหมิงที่สามสิบหกก็กะพริบตาปริบๆ
“เหตุใดเจ้าดูไม่กังวลเลยเล่า?”
มุมปากของฉู่หลิวเยว่หยักยกขึ้น
“ท่านพูดแล้วนี่ว่าเริ่มแรก หากตอนนี้ท่านยังไม่ชอบข้า ก็คงไม่มาคุยเรื่องพวกนี้กับข้าที่นี่มิใช่หรือ?”
“แม่หนูนี่ฉลาดไม่เปลี่ยนเลยจริงๆ…”
ผู้อาวุโสหมิงที่สามสิบหกพลันรู้สึกหวาดหวั่น
“เจ้าคงรู้เรื่องราวชีวิตของพระโอรสมาบ้างแล้ว”
ฉู่หลิวเยว่ผงกศีรษะ
“ตอนนั้น พระมารดาของพระองค์ออกไปฝึกปรือหาประสบการณ์ ได้รู้จักกับบุรุษผู้นั้นโดยบังเอิญ ทั้งยังรักใคร่ชอบพอเขาอย่างมาก นางรู้ว่าคนในตระกูลต้องคัดค้านที่นางคอยตามหาบุรุษผู้มีพื้นเพต่ำต้อยเช่นนั้น ดังนั้นจึงลอบออกเรือนกับคนผู้นั้น นางคิดว่าตัวเองเจอรักแท้ หารู้ไม่ว่าบุรุษผู้นั้นคือจักรพรรดิแห่งแคว้นเย่าเฉิน ทั้งยังมีสนมสามพันคนอยู่ก่อนแล้ว”
“นางตรอมใจนับแต่นั้น นับวันร่างกายยิ่งย่ำแย่ลง สุดท้ายก่อนสิ้นลม นางใช้พลังทั้งหมดของตัวเองปกปิดสถานะของพระโอรสเอาไว้ นางคิดว่าทำเช่นนี้แล้วจะปลอดภัย แต่นึกไม่ถึงเลยว่าคนในตระกูลไม่เคยล้มเลิกที่จะตามหาเบาะแสของนาง แม้นางสิ้นใจไปแล้ว ทว่าไม่นานนักพวกเขาก็หาตัวพระโอรสเจอ”
“ครานั้น ผู้คนในพระราชวังเมฆาสวรรค์ทั้งหมดล้วนสะอิดสะเอียนนักยามได้ยินเรื่องนี้ กระทั่งมองว่าการมีอยู่ของพระโอรสเป็นความอัปยศจนคิดกำจัดพระโอรสให้ตายตกไปเสีย ทว่าโชคยังดี พระโอรสอัญเชิญนาฬิกาไร้กาลเวลาออกมาได้ ทั้งยังสำแดงพลังแห่งสายเลือดที่แข็งแกร่งที่สุดในรอบพันปีให้ได้เห็น! นับจากนั้นเป็นต้นมา ในที่สุดพระราชวังเมฆาสวรรค์ก็ไม่มีผู้ใดยกเรื่องประหารพระโอรสขึ้นมาพูดอีก”
ครั้นพูดถึงตรงนี้ บนดวงหน้าของผู้อาวุโสหมิงที่สามสิบหกปรากฏแววพึงพอใจออกมาเสี้ยวหนึ่ง แต่ในไม่ช้าก็ถูกความเอ็นดูเข้ามาแทนที่
“แต่นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น พื้นเพของพระโอรสพิเศษยิ่ง ทั้งยังไม่มีพื้นฐานใด ระยะเวลายาวนานที่อยู่ในพระราชวังเมฆาสวรรค์ล้วนแต่ถูกรังแกให้อับอาย แม้ข้าจะช่วยเขาได้ แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่อาจเกินหน้าเกินตานัก มิเช่นนั้นจะมีแต่ดึงดูดเอาความอิจฉาริษยาของคนมามากขึ้นเท่านั้น”
“เวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่า เขาก็ค่อยๆ เติบใหญ่ขึ้น ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อใด เขาก็กลายเป็นคนเย็นชา โหดเหี้ยม บ้าคลั่งเสียแล้ว! ฉายา “ผู้สังหารเทพ” ของเขานั้นก็เกิดมาจากตอนนั้นนั่นล่ะ”
ผู้อาวุโสหมิงที่สามสิบหกถอนหายใจเฮือกใหญ่
“แม้นพลังของเขาจะกล้าแกร่งขึ้นทุกวัน แต่สภาวะจิตใจก็ยิ่งทวีความเฉยชา มีบางครั้งที่ถึงกับทำให้คนสงสัยว่าหรือว่าเขาจะสะบั้นเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาจนหมดสิ้น กลายเป็นหุ่นที่รู้จักเพียงการคร่าชีวิตคนเท่านั้นไปแล้วหรือไม่”
ฉู่หลิวเยว่เองก็รู้สึกสั่นไหวอยู่ในใจ
แม้นก่อนหน้านี้นางจะพอเข้าใจเรื่องราวพวกนี้มาไม่มากก็น้อยแล้วก็ตาม วันนี้กลับเป็นครั้งแรกที่ได้ยินคนบรรยายให้ฟังเสียจนหมดเปลือก
แม้จะผ่านมาหลายปี กระทั่งตัวหรงซิวเองก็ไม่ได้สนใจจะพูดเรื่องของตนเองขึ้นมาอีก
ทว่ายามนางได้ฟังเรื่องพวกนี้ ในใจเองก็ยังคันยุบยิบอยู่ดี
พูดมาถึงตรงนี้ ผู้อาวุโสหมิงที่สามสิบหกก็มองมาทางฉู่หลิวเยว่
“แต่โชคดีที่ภายหลัง พระโอรสได้มาพบเจ้า”
ฉู่หลิวเยว่ชี้มาที่ตัวเอง
“ข้า?”
“ใช่ เจ้านั่นแหละ”
ผู้อาวุโสหมิงที่สามสิบหกทำท่าราวกับจมดิ่งสู่ห้วงเรียกความทรงจำอันยาวไกล
“ข้าจำได้ว่าเมื่อหลายปีก่อน พระโอรสทรงออกไปฝึกตนเพียงผู้เดียว เวลาผ่านไปนานแล้วก็ไม่ยอมกลับมา ยามได้ยินข่าวของพระโอรสอีกที เขาก็กลายเป็นศิษย์ของสำนักหลิงเซียวไปเสียแล้ว”
………………..