ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1803 อภิเษกกับหรงซิว ตอนที่ 1804 ข้ามารับเจ้าแล้ว
ตอนที่ 1803 อภิเษกกับหรงซิว ตอนที่ 1804 ข้ามารับเจ้าแล้ว
………………..
ตอนที่ 1803 อภิเษกกับหรงซิว
ในใจฉู่หลิวเยว่พลันกระตุกกึก
นางกับหรงซิวรู้จักกันก่อนจะเข้าเรียนในสำนักหลิงเซียวเสียอีก
ตอนนั้นนางเพิ่งเสร็จสิ้นการฝึกปรือที่แดนภังคะ จากนั้นก็ได้โชคชะตาหนุนนำให้มายังอาณาจักรเสิ่นซวี่
ผลคือมาเจอเข้ากับหรงซิว
ครานั้นพวกเขาทั้งสองต่างคนต่างถูกไล่ล่าเอาชีวิต จึงตัดสินใจร่วมมือกันภายใต้สถานการณ์คับขัน
ไปๆ มาๆ ก็ได้รู้จักกันด้วยประการฉะนี้
หลังจากนั้น นางก็ออกปากว่าอยากไปฝึกตนที่สำนักหลิงเซียว
ฝ่ายหรงซิวมิได้ลังเลแต่อย่างใด ตอบตกลงอย่างรวดเร็ว
ฉู่หลิวเยว่ยังเผลอไผลนึกไปว่าหรงซิวคิดจะมุ่งหน้าตรงไปยังสำนักหลิงเซียวเหมือนนางไม่มีผิด
อย่างใดเสีย แม้ครานั้นนางจะยังไม่คุ้นเคยกับอาณาจักรเสิ่นซวี่นัก แต่ด้วยอยู่ในแดนภังคะเป็นเวลานาน จึงได้ยินเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกันมาไม่น้อย
สำนักหลิงเซียวคือสำนักวิชาที่ยอดเยี่ยมที่สุดในอาณาจักรเสิ่นซวี่ ใครเล่าจะไม่เฝ้าใฝ่ฝันถึง
“ความจริงแล้ว ตอนนั้นคนของพระราชวังเมฆาสวรรค์ยังไม่รู้ถึงการมีอยู่ของเจ้า คิดแค่ว่าพระโอรสเพียงต้องการไปฝึกตนที่สำนักเท่านั้น จนกระทั่งภายหลัง พระโอรสตรัสว่าอยากกลับแคว้นเย่าเฉิน ข้าถึงได้รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง”
พูดมาถึงตรงนี้ ผู้อาวุโสหมิงที่สามสิบหกพลันหยุดชะงัก
“เจ้าคงรู้อยู่แล้วว่าพระโอรสหาได้อาลัยอาวรณ์ต่อแคว้นเย่าเฉินไม่ หากมิใช่เพราะเหตุผลจำเป็นจริงๆ พระองค์ไม่มีทางกลับไปที่นั่น”
เมื่อก่อนหรงซิวมักอ้างแก่คนภายนอกว่าเจ็บไข้ได้ป่วย บอกว่าตนเองกำลังพักฟื้นอยู่ที่หมิงเยว่เทียนซาน
ความจริงแล้ว เขาพำนักอยู่ที่หมิงเยว่เทียนซานเพียงช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้น
โดยส่วนใหญ่แล้ว เขาก็ยังพำนักที่อาณาจักรเสิ่นซวี่อยู่ดี
ทว่าภายหลังเขาถึงได้พบว่า เป็นเพราะมีแม่นางผู้นี้อยู่ พระโอรสถึงเริ่มเปลี่ยนมาเหมือนปุถุชนทั่วไป มีเจ็ดอารมณ์หกปรารถนา มีความรู้สึกเจ็บช้ำจากพิษรัก
ตอนนั้นผู้อาวุโสหมิงที่สามสิบหกจึงคิดได้ว่า แม่นางผู้นี้ย่อมมิใช่คนธรรมดาสามัญ
กระทั่งภายหลัง เขาก็สบโอกาสได้พบกับฉู่หลิวเยว่ในที่สุด
เพียงแวบแรก เขาก็นึกชมชอบแม่หนูผู้นี้เข้าอย่างจัง
ทั้งฉลาดเฉลียว ไหวพริบเป็นเลิศ และจริงใจ
ชีวิตนี้เขารู้จักผู้คนมานับไม่ถ้วน แววตาจึงคมปลาบร้ายกาจอย่างยิ่ง
หลังจากพบฉู่หลิวเยว่ เขาก็ชอบใจมากถึงขั้นส่งของขวัญแรกพบไปให้มากมายก่ายกอง
“หลายปีมานี้ ข้าไม่เคยเห็นพระโอรสคิดคะนึงหาผู้ใดมากเท่าเจ้าแล้ว”
อารมณ์ความรู้สึกทั้งหมดของเขาส่วนใหญ่แล้วล้วนเกิดมาจากนางทั้งสิ้น
“ก่อนหน้านี้พระโอรสตรากตรำลำบากมามาก ไร้ซึ่งคนสนิทชิดใกล้ บัดนี้ได้พบแม่นางที่แบ่งปันทุกข์สุขร่วมกันแล้ว ช่างเป็นเรื่องที่พบพานได้ยากนัก ในภายภาคหน้า… ขอให้พวกเจ้าทั้งสองครองคู่กันไปจนถือไม้เท้ายอดทองกระบองยอดเพชร”
ผู้อาวุโสหมิงที่สามสิบหกตบเบาๆ ลงบนมือฉู่หลิวเยว่พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง
ปลายจมูกของฉู่หลิวเยว่คันยุบยิบ ทว่ามุมปากกลับคลี่ออกเป็นรอยยิ้มกว้าง
“เจ้าค่ะ”
…
หลังผู้อาวุโสหมิงที่สามสิบหกจากไปแล้ว ฉู่หลิวเยว่ก็นั่งนิ่งอยู่ในห้องตัวเองพักใหญ่
ยามได้สติกลับมา ก็ปรายสายตามองกล่องไม้หอมข้างกายด้วยใจที่สั่นไหว
นางหยัดกายลุกขึ้น ก่อนสาวเท้าเข้าไป
บนกล่องมิได้ลงสลักแต่อย่างใด แต่ด้านบนกลับประทับไว้ซึ่งลายสัญลักษณ์ของพระราชวังเมฆาสวรรค์
ฉู่หลิวเยว่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนวางแหวนเฉียนคุนในมือลงไป
สิ่งที่ปรากฏแก่สายตาคือสีแดงสดและพลิ้วไหวดุจเปลวเพลิง ประหนึ่งแพเมฆที่กระจายตัวคล้อยขอบฟ้ายามสนธยา ถักทอออกมาอย่างประณีตบรรจง
เรียวนิ้วไล้ลูบอย่างแผ่วเบา มีประกายแสงสีทองไหวระริกตามจางๆ
งดงาม น่าเกรงขาม ชวนตื่นตาจับใจ
มงกุฎหงส์หล่อขึ้นมาอย่างสลักซับซ้อน ราวกับแกะสลักอย่างวิจิตรบรรจงจากสวรรค์
ด้านบนประดับด้วยหงส์ทองคำที่สยายปีกออกกว้าง ทั้งยังคาบเอาลูกแก้วหยกสีแดงละมุนไว้ในปาก
ทั้งแวววับแลโปร่งใส ผิวสัมผัสหรือก็ละมุนมือนัก
พู่ทั้งสองด้านที่แขวนห้อยลงมายิ่งเสริมให้มงกุฎงามหมดจด อ่อนโยนกว่าเก่า
มือของฉู่หลิวเยว่ลูบไล้ไปบนมงกุฎหงส์และสายสะพายอย่างแผ่วเบา ในใจพลันบังเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา
นางกำลังจะอภิเษกกับหรงซิวแล้วจริงๆ
ตอนที่ 1804 ข้ามารับเจ้าแล้ว
คืนนั้น ฉู่หลิวเยว่นอนหลับอย่างเป็นสุข
ทั้งยังมีฝันอันยาวนานอีกด้วย
ในความฝัน ภาพฉากส่วนใหญ่เป็นฉากตั้งแต่นางกับหรงซิวรู้จักกันจนกระทั่งได้ครองคู่
ภาพฉากเหล่านั้นปรากฏผ่านอย่างไม่หยุดหย่อน ทุกฉากล้วนมีชีวิตชีวาราวกับว่าเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อคืนวาน
เวลานี้เอง ฉู่หลิวเยว่ถึงเพิ่งนึกได้ว่านางกับเขาเคยจากกันไกลถึงหมื่นลี้เทียวหรือ?
ทว่าสุดท้ายแล้วพวกเขาก็ยังเดินมาบรรจงคู่กัน
ผู้ถูกชะตาลิขิตให้ครองคู่กัน มิว่าอย่างใด ท้ายที่สุดแล้วก็ย่อมได้ใช้ชีวิตร่วมกับอีกคนอยู่ดี
…
ครั้นเช้าตรู่มาถึง ก็มีเสียงเคาะประตูแว่วมาจากด้านนอก
นางจึงสาวเท้าไปเปิดประตู
มู่หงอวี่พุ่งเข้ามาอย่างตื่นเต้น เมื่อเห็นว่าฉู่หลิวเยว่ยังคงสยายผมก็เบิกตากว้างน้อยๆ
“หลิวเยว่ เหตุใดเจ้ายังไม่เริ่มแต่งตัวเล่า?”
ฉู่หลิวเยว่ยิ้มออกมาอย่างช่วยไม่ได้
“รีบร้อนไปเหตุใดกัน”
เพราะบัดนี้นางกับหรงซิวต่างก็อยู่ที่พระราชวังเมฆาสวรรค์แล้ว อีกทั้งเขาฉางอีและยอดเขาซู่หมิงอยู่ห่างกันไม่ไกลนัก ดังนั้นจึงลดระยะการเดินทางยาวไกลอันน่าเบื่อไปได้ไม่น้อย
ยิ่งไปกว่านั้นงานอภิเษกสมรสใหญ่จะจัดขึ้นช่วงบ่ายคล้อย จึงยังมีเวลาอีกหลายชั่วยามนัก
มู่หงอวี่คิดตาม ก่อนจะเห็นด้วย
ทว่าคงเป็นเพราะนี่คือครั้งแรกที่ได้ร่วมงานอภิเษกของสหาย ในใจของนางจึงรู้สึกตื่นเต้นอย่างยิ่ง ใจเต้นตุบๆ เป็นจังหวะรัวๆ จะอย่างใดก็มิอาจสงบลงได้
“ถึงอย่างนั้นก็ยังต้องรีบเตรียมตัวแต่เนิ่นๆ! กว่าจะอาบน้ำ แต่งตัว เปลี่ยนชุดเจ้าสาว… พวกนี้ใช้เวลาไม่น้อยเลยหนา!”
มู่หงอวี่พูดย้ำเตือนไปพลาง มือหนึ่งก็ลากฉู่หลิวเยว่ไปหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง จัดแจงกดตัวนางให้นั่งลงบนเก้าอี้
“วันนี้เป็นวันอภิเษกของเจ้านะหลิวเยว่! แน่นอนว่าต้องแต่งองค์ทรงเครื่องอย่างดี แล้วเป็นเจ้าสาวที่งดงามที่สุด!”
มู่หงอวี่มองดูเรือนผมปล่อยยาวของฉู่หลิวเยว่ ดวงหน้าอันแดงระเรื่อ และนัยน์ตากลมโตที่เปล่งประกายวิบวับ
“ข้าช่วยเจ้าเอง!”
พูดจบ นางก็เตรียมลงมือทันที
ทว่าในไม่ช้า มู่หงอวี่ก็เจอปัญหาที่ยากจะแก้ไขเข้า
…นางจัดแต่งทรงผมไม่เก่งเอาเสียเลย
ปกตินางก็มักรวบผมตัวเองเกล้าขึ้นเป็นทรงง่ายๆ ทว่าพอมาอยู่ในพิธีการใหญ่โตเฉกเช่นวันนี้ เกล้ามวยอย่างง่ายย่อมไม่อาจใช้งานได้
“เอ้อ… ก่อนหน้านี้ข้าลองหัดทำมานานพอควร…”
เสียงหัวเราะคิกคักดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงก้องกังวานของชิ้นหยกแตกที่กระทบกันกรุ๊งกริ๊ง
“เรื่องพวกนี้มอบให้ข้าจัดการเถิด…“
ฉู่หลิวเยว่และมู่หงอวี่หันไปมอง พบว่าเป็นน้องแปดที่เดินเข้ามาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
นางรับหวีไม้จากมือของมู่หงอวี่อย่างเป็นธรรมชาติ สุ้มเสียงอ่อนโยนหวานหูชวนให้คนอ่อนระทวยกันไปตามกัน
“น้องสาว ดูให้ดีหนา”
มู่หงอวี่ถึงกับตะลึงงัน
อายุของอีกฝ่ายดูจะห่างกับนางไม่มากนัก ทว่าความรู้สึกที่แผ่ออกมาจากทั่วทั้งร่างกลับชวนน่าเกรงขามนัก เทียบกันแล้ว ความต่างดูจะมากทีเดียว…
มู่หงอวี่ผงกศีรษะรับอย่างเผลอไผล ส่งเสียง “อ้อ” รับคำอย่างว่าง่าย
น้องแปดหัวเราะพลางปรายตามองนางแวบหนึ่ง ก่อนจะยื่นมือไปหยิกแก้มมู่หงอวี่เข้าทีหนึ่ง
“รู้ความเสียจริง!”
มู่หงอวี่ไหนเลยจะเคยถูกแม่นางหยอกเย้าเช่นนี้ ใบหน้าจึงแดงก่ำขึ้นมาทันทีทันใด
ฉู่หลิวเยว่มองน้องแปดโดยมิได้พูดอันใด
ที่แท้ก็เป็นพวกหญิงก็ได้ ชายก็ดีนี่เอง
น้องแปดเบนสายตากลับมา จดจ้องฉู่หลิวเยว่ในกระจกอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็คลี่ยิ้มน้อยๆ
“นายหญิงโปรดวางใจ วันนี้ไม่มีผู้ใดงามเทียบท่านได้”
พูดจบ นางก็เริ่มช่วยฉู่หลิวเยว่รวบผม
เรือนผมนุ่มลื่นดุจเส้นไหมดูจะเชื่อฟังเป็นพิเศษยามตกอยู่ในมือน้องแปด
มิอาจมองเห็นได้ชัดว่านางเคลื่อนไหวอย่างใด เห็นเพียงนิ้วเรียวขาวขยับพลิกกลับไปมา มวยผมอันงามสง่าก็เริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา
“น้องสาว ส่งมงกุฎหงส์มาหน่อย”
ฉู่หลิวเยว่ชี้ไปยังทิศที่นางตั้งของเอาไว้
มู่หงอวี่ก็เดินตามไปเปิดกล่องไม้ออก
จากนั้น นางก็พรูลมหายใจเย็นยะเยือกออกมา
“หลิวเยว่ มงกุฎหงส์นี่… จะงดงามเกินไปแล้วกระมัง!”
นางพบเห็นเครื่องประดับหรูหราเลอค่ามาไม่น้อย ทว่าไม่มีชิ้นไหนที่เหมือนและเทียบเคียงมงกุฎหงส์ชิ้นนี้ได้เลย
งามเสียจนมิอาจบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้เลยด้วยซ้ำ
ทันทีที่มันปรากฏสู่ครรลองสายตา คนที่มองดูย่อมบังเกิดความรู้สึกได้อย่างเดียวว่า…งดงาม!
กระทั่งว่าแฝงด้วยความตกตะลึงอยู่บางส่วนด้วย!
อย่างใดเสียพวกเขาก็นับเป็นตระกูลชั้นสูง กำลังซื้อของพระราชวังเมฆาสวรรค์นี่ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ…
มู่หงอวี่ถอนใจพลางหยิบมงกุฎหงส์ออกมาอย่างระมัดระวัง ก่อนยื่นส่งให้ฉู่หลิวเยว่
น้องแปดเหลือบมองดู ดวงหน้าพลันปรากฏรอยยิ้มพึงพอใจออกมา
มีเพียงของชิ้นนี้เท่านั้นที่คู่ควรกับนายหญิงของพวกเขา
นางมิได้รีบร้อนช่วยฉู่หลิวเยว่สวมมันแต่อย่างใด กลับกันบอกให้นางไปสวมชุดเจ้าสาวเสียก่อน
ครานี้เป็นมู่หงอวี่ที่ช่วยหยิบเอาชุดเจ้าสาวออกมาอย่างระมัดระวัง
หลังเผชิญกับการชำระร่างกายต่อหน้าต่อตา ระดับความอดทนของจิตใจมู่หงอวี่ในตอนนี้นับว่าแข็งแกร่งขึ้นมากทีเดียว
หลังช่วยฉู่หลิวเยว่เปลี่ยนชุดเสร็จเรียบร้อยแล้ว นางก็เอามือปิดปาก ข่มตัวเองไม่ให้กรีดร้องออกมาอย่างสุดความสามารถ
ทว่านัยน์ตาชวนให้ลุ่มหลงคู่นั้นกลับเปิดเผยความรู้สึกของนางอย่างปิดไม่มิด
น้องแปดเลิกคิ้วอย่างพออกพอใจ ก่อนจะเริ่มช่วยฉู่หลิวเยว่แต่งหน้าทาปาก
มือของนางหยิบจับคล่องแคล่วนัก สำหรับนางแล้วเรื่องพวกนี้ล้วนกระทำได้ง่ายดายยิ่ง
อีกอย่างฉู่หลิวเยว่เองก็มีหน้าตาสะสวยเป็นทุนเดิมอยู่แล้วด้วย
หลังจากสาละวนอยู่พักใหญ่ น้องแปดก็พินิจดวงหน้าของฉู่หลิวเยว่อย่างพึงพอใจ
“แบบนี้แหละถึงใช้ได้!”
วันอภิเษกสมรสทั้งที ย่อมต้องแต่งให้นางงามเลิศที่สุด!
จากนั้นน้องแปดก็รับมงกุฎหงส์มาสวมให้ฉู่หลิวเยว่อย่างตั้งใจ
มู่หงอวี่ถึงกับเอ่ยปากขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
“หลิวเยว่ ข้าไม่เคยเห็นผู้ใดงามกว่าเจ้ามาก่อน”
ฉู่หลิวเยว่จ้องมองตัวเองในกระจก
คิ้วดำโก่งงอน นัยน์ตาดุจดวงดารา ริมฝีปากจิ้มลิ้ม
ชุดเจ้าสาวสีแดงดุจแพเมฆยามสนธยา ล่องลอยพลิ้วไหว ทั้งยังงามเสียจนสะกดสายตาผู้คน
นางเองก็ตกอยู่ในภวังค์ไปชั่วขณะหนึ่ง
แน่นอนว่ากระทั่งตัวนางก็ยังไม่เคยเห็นตนเองในสภาพเช่นนี้มาก่อน…
ในตอนนั้นเอง ด้านนอกพลันแว่วเสียงทุ้มต่ำเสนาะหูดังขึ้น
“เยว่เออร์ ข้ามารับเจ้าแล้ว”