ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1805 ไปกับข้า
ตอนที่ 1805 ไปกับข้า
………………..
นั่นคือสุ้มเสียงที่นางคุ้นหู
ฉู่หลิวเยว่พลันได้สติกลับคืน จึงหันศีรษะมองตามเสียง
ในตอนนั้นประตูใหญ่ยังคงปิดสนิท ทว่าด้านนอกกลับครึกครื้นรื่นเริง
เสียงดนตรีพิธีการบรรเลงอย่างอ้อยอิ่งลอยแว่วเข้าหู
นางได้ยินเสียงผู้คนมากมายหัวร่อต่อกระซิก
ทว่าท่ามกลางเสียงวุ่นวายของโลกา มีเพียงสุ้มเสียงของเขาที่ดังแจ่มชัดที่สุด
เขาบอกว่า เขามารับนางแล้ว
ฉู่หลิวเยว่หยัดกายลุกขึ้น สาวเท้าเดินไปทางประตูห้อง
นางทาบฝ่ามือลงบนประตู รยางค์ของนางเย็นเฉียบนัก ทว่าฝ่ามือนางกลับร้อนผ่าว
นางสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ จากนั้นผลักประตูให้เปิดออกเบาๆ…
แสงอาทิตย์อันเจิดจ้าสาดส่องเข้ามาในชั่วพริบตา!
นางหรี่ตาลงน้อยๆ ก่อนจะมองเห็นดวงหน้าอันคุ้นเคยกันดี
นางถึงกับตะลึงงันไปแวบหนึ่ง
ด้วยวันนี้หรงซิวสวมชุดคลุมสีแดงอย่างหาดูชมได้ยากนัก
ช่วงเอวประดับสายคาดหยกสีดำที่ดัดโค้งตามรอบเอวของเขาได้อย่างง่ายดาย ขับเน้นให้รูปร่างไหล่กว้างเอวคอดของเขาเห็นสัดส่วนชัดยิ่งกว่าเก่า รูปร่างสูงเพรียวนัก
ดวงหน้าดุจดั่งเซียนเร้นโลกาก็มิปาน บัดนี้ราวกับอาบด้วยแสงสีของดอกไม้ไฟในโลกมนุษย์ ขจัดความเย็นชาที่เคยมีมาจนหมดสิ้น
บรรดาฝูงชนต่างเงียบเสียงลงในบัดดล
ในแววตาของหรงซิวทอประกายไปด้วยไอเย้ายวนอันเร่าร้อน
ร่างของแม่นางที่สวมชุดเจ้าสาวสีแดงเดินก้าวออกมาจากหลังประตูใหญ่
คำกล่าวที่ว่า… ทั้งหมดนี่คงหมายถึงคนงามเช่นนี้กระมัง?
ความจริงแล้วคนจำนวนมากที่อยู่ในที่แห่งนี้ล้วนแต่เคยเจอฉู่หลิวเยว่มาก่อนแล้วทั้งนั้น
เดิมทีนางก็มีรูปร่างหน้าตาที่งดงามมิมีใครเทียบเคียงได้อยู่แล้ว เพียงแต่ปกติแล้วส่วนใหญ่ก็หาได้แต่งองค์ทรงเครื่องมากมายใหญ่โตไม่ ทว่ามาคราวนี้กลับสวมมงกุฎหงส์แลสายคาดยศเตรียมพร้อม แต่งตัวอย่างประณีตบรรจงนัก ทำให้รู้สึกว่าชั่วพริบตาหนึ่งราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคนก็มิปาน
บนโลกนี้ก็ยังมีแม่นางเช่นนี้ด้วย
ยามปรากฏตัว ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวประหนึ่งว่าสีหมองลงไปเสียเดี๋ยวนั้น
มีเพียงนางผู้เดียวที่ยังเจิดจ้า เฉิดฉายอย่างมีชีวิตชีวายิ่ง!
คำกล่าวที่ว่า ‘นารีเป็นเหตุ’ ส่วนใหญ่คงเป็นประมาณนี้กระมัง
หรือบางทีเซียนที่มีรูปลักษณ์หมดจดเช่นนี้ไม่สมควรลงมายุ่งเกี่ยวกับธุลีเหลืองแต่แรกอยู่แล้ว
ความเงียบงันเข้าครอบคลุมไปพักใหญ่
บรรดาฝูงชนต่างสะกดกลั้นลมหายใจ ประหนึ่งว่ากลัวจะไปขัดจังหวะผู้ใดเข้าหากเปิดปาก
ฉู่หลิวเยว่กะพริบตาปริบๆ ชั่วพริบตานั้นราวกับนภสินธุ์นับแสนกระเพื่อมไหว
“หรงซิว”
นางส่งเสียงเรียกออกไปอย่างแผ่วเบา
หรงซิวจดจ้องนางเขม็ง เสมือนต้องการสลักนางในรูปลักษณ์เช่นนี้ให้ลึกลงไปในก้นบึ้งของจิตใจ
อุณหภูมิอันร้อนเร่าแทบทำให้ทั่วทั้งร่างของฉู่หลิวเยว่ร้อนระอุขึ้นมา
จากนั้น เขาก็ยื่นมือออกมาหานางในที่สุด
“เยว่เออร์”
ฉู่หลิวเยว่มองไปยังมือของเขา
มันทั้งหนาและแข็งแรง ฝ่ามือเขาปกคลุมด้วยผิวด้านหนาบางๆ ชั้นหนึ่ง
ประหนึ่งกลัวว่าหากกะพริบตาคราหนึ่ง คนตรงหน้าจะหายไปก็มิปาน
จนกระทั่งมั่นใจถึงอุณหภูมิอุ่นและความนุ่มละมุนในมือแล้วไซร้ เขาจึงวางใจได้ในที่สุด
เขาพลันพุ่งตัวเข้าไปในแนบชิด ก่อนกระซิบข้างหูของนางว่า
“เยว่เออร์ช่าง…งดงามยิ่งนัก”
ใบหน้าของฉู่หลิวเยว่ร้อนผ่าว ในใจกลับบังเกิดความอบอุ่นและมั่นคงอย่างหาสิ่งใดมาบรรยายมิได้
ในที่สุด… ก็ได้มายืนเคียงข้างเขาแล้ว
หรงซิวบีบมือของนางแน่น
“เยว่เออร์ ไปกับข้านะ”
…
งานอภิเษกสมรสถูกจัดขึ้นในตำหนักศักดิ์สิทธิ์
ภายในตำหนักศักดิ์สิทธิ์ตอนนี้นั้นคลาคล่ำไปด้วยแขกเหรื่อมากหน้าหลายตา
บรรดาบุคคลที่มาจากแต่ละสำนักและตระกูลต่างๆ แทบทุกตระกูลในอาณาจักรเสิ่นซวี่ล้วนมารวมตัวกันอยู่ที่นี่
พวกเขาล้วนกำลังรอให้เจ้าภาพทั้งสองในวันนี้เดินทางมาถึง
ที่นั่งด้านในสุดถูกจับจองด้วยซั่งกวนจิ้ง ซั่งกวนโหยวและฉู่หนิง รวมไปถึงผู้อาวุโสหมิงที่สามสิบหกด้วย
บรรดาฝูงชนเห็นดังนั้นต่างก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยกระซิบกระซาบกัน
“ที่นั่งด้านบนนั้นสมควรให้ผู้อาวุโสทั้งสองฝ่ายของโอรสสวรรค์และพระชายานั่งไม่ใช่หรือไรกัน? เหตุใดผู้ที่นั่งอยู่ตรงนั้นกลับกลายเป็นผู้อาวุโสหมิงที่สามสิบหกไปได้? ส่วนคนที่นั่งข้างกันนั้นไม่เห็นจะรู้จักเลยสักคน”
“ไม่เคยได้ยินหรือไร? หลังท่านประมุขแห่งพระราชวังเมฆาสวรรค์ผู้นั้นน่ะ กลับมาจากเหตุการณ์วุ่นวายครานั้นได้ไม่กี่วันก็หมดสติไป จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ฟื้น! โอรสสวรรค์ผู้นี้มีเบื้องลึกเบื้องหลังอย่างใดพวกเราล้วนรู้ดี ประมุขไร้สติ ผู้เดียวที่มีคุณสมบัติจะนั่งตรงนั้นได้ก็เหลือเพียงผู้อาวุโสหมิงที่สามสิบหกแล้ว! อย่างใดเสียหลายปีมานี้ เขาก็นับได้ว่าเป็นดั่งบิดาและอาจารย์ของโอรสสวรรค์…”
“เจ้าพูดเช่นนี้ก็มีเหตุผล แต่สามคนที่อยู่ข้างๆ นั่น… มีที่มาที่ไปอย่างใดกัน? หรือว่า…จะเป็นคนในครอบครัวของพระชายา?”
“เรื่องนี้… เฮ้อ พูดไปแล้วเรื่องมันยาว! เห็นคนผู้นั้นที่นั่งตรงกลางหรือไม่? นั่นก็คือซั่งกวนจิ้งผู้โด่งดังอย่างใดเล่า! ช่างหลอมอาวุธระดับปรมาจารย์ตัวจริงเสียงจริง! ได้ยินมาว่าเป็นบรรพชนของพระชายา ส่วนอีกสองคนที่เหลือ เห็นทีจะเป็นบิดาของพระชายากระมัง?”
“ข้าเองก็เคยได้ยินมาเหมือนกัน พระชายาแห่งพระราชวังเมฆาสวรรค์ผู้นี้เกิดมาในราชวงศ์เทียนลิ่งนอกอาณาจักรเสิ่นซวี่ ทว่าภายหลังกลับประสบเหตุพลิกผัน ผจญความยากเย็นแสนเข็ญกว่าจะมาถึงอาณาจักรเสิ่นซวี่… อีกอย่าง ในเมื่อสองท่านนี้ต่างก็เป็นบิดา เช่นนั้นนั่งอยู่ระดับเดียวกันก็เป็นเรื่องปกติ”
“ปกติ? คนที่อยู่ด้านซ้ายเป็นผู้แข็งแกร่งระดับครึ่งเทพน่ะยังพอว่า แต่คนด้านขวาน่ะเป็นจอมยุทธ์ระดับสี่! ปกติคนเช่นนี้คิดจะมาเจอหน้าพวกเราก็นับว่ายากแล้ว ตอนนี้กลับมานั่งอยู่เบื้องหน้าเรา ทั้งยังตำแหน่งสูงศักดิ์กว่าเราด้วย… พระชายาผู้นี้ช่างเก่งกาจเสียจริง!”
“พูดแบบนั้นไม่ได้นะ เห็นผู้อาวุโสท่านนั้นที่อยู่ข้างๆ หรือเปล่า? นั่นก็คือหนานซู่ไหว… เจ้าสำนักหลิงเซียว! เขาเป็นอาจารย์ของพระชายา เห็นว่ารักใคร่เอ็นดูพระชายาผู้เป็นศิษย์ยิ่งกว่าอันใด ถึงขั้นตามใจเลยเสียด้วยซ้ำ ระวังเขาได้ยินที่เจ้าพูดเสียล่ะ! ภายหลังจะเจอปัญหาเอา!”
ทว่าบางคนกลับไม่เห็นด้วย
“นั่นแล้วอย่างใด? ทุกคนที่มาที่นี่ในวันนี้ส่วนใหญ่แล้วก็เพราะเห็นแก่หน้าพระราชวังเมฆาสวรรค์ทั้งนั้น! อีกอย่าง ต่อให้พวกเขาได้ยินจริง แล้วพวกเขาจะหาเรื่องพวกเราที่นี่เลยอย่างนั้นหรือ?”
เพื่อซั่งกวนเยว่ผู้เดียวน่ะหรือ?
นั่นย่อมไม่คุ้มค่าเลยโดยแท้
มือของหนานซู่ไหวที่ซุกอยู่ในแขนเสื้อค่อยๆ กำเข้าหากันแน่นพลางมองคนพูดอยู่หลายต่อหลายครั้ง
ซั่งกวนจิ้งเหลือบมองขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนจะเบนสายตาออกไปอย่างรวดเร็ว
ในตอนนั้นเอง เสียงป่าวประกาศสารพลันแทรกเสียงดนตรีพิธีการขึ้นมาด้วยเสียงดังฟังชัด…
“พระโอรสเสด็จ! พระชายาเสด็จ!”