ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1806 ได้แต่งเจ้าเป็นชายา รู้สึกโชคดีเป็นอย่างยิ่ง ตอนที่ 1807 องค์ไท่จู่ออกโรง ยิ่งใหญ่สะท้านฟ้า
- Home
- ยอดหญิงลิขิตสวรรค์
- ตอนที่ 1806 ได้แต่งเจ้าเป็นชายา รู้สึกโชคดีเป็นอย่างยิ่ง ตอนที่ 1807 องค์ไท่จู่ออกโรง ยิ่งใหญ่สะท้านฟ้า
ตอนที่ 1806 ได้แต่งเจ้าเป็นชายา รู้สึกโชคดีเป็นอย่างยิ่ง ตอนที่ 1807 องค์ไท่จู่ออกโรง ยิ่งใหญ่สะท้านฟ้า
………………..
ตอนที่ 1806 ได้แต่งเจ้าเป็นชายา รู้สึกโชคดีเป็นอย่างยิ่ง
ภายในตำหนักศักดิ์สิทธิ์พลันเงียบกริบลงในบัดดล
บรรดาฝูงชนต่างทยอยเงยศีรษะมองไปยังทิศทางของประตูตำหนัก
คนงามคู่หนึ่งกำลังเดินจับมือกันเข้ามา!
ชั่วพริบตานั้นเอง ประกายแสงทั้งมวลราวกับรวมตัวกันอยู่บนร่างของคนทั้งสอง ช่างเจิดจ้าและแวววับยิ่ง!
พวกเขากุมมือกันแน่น เดินเคียงข้างกันเข้ามายังโถงตำหนักทีละก้าว
ราวกับมีไอรัศมีที่เกินกว่าจะบรรยายออกมาเป็นคำพูดเข้าล้อมรอบตัวทั้งสองคนเอาไว้ แปรสภาพเป็นโลกใบน้อยที่ตัดขาดพวกเขาออกจากผู้อื่น
โลกใบน้อยที่รองรับเพียงพวกเขาทั้งสองคนเท่านั้น มิเปิดรับผู้ใดเข้ามาอีก
ฝ่ายพวกซั่งกวนจิ้งต่างก็รู้สึกกระปรี้กระเปร่าเสียจนพากันยืดหลังตรงโดยไม่รู้ตัว
ในใจของผู้อาวุโสหมิงที่สามสิบหกเองก็ท่วมท้นไปด้วยความรู้สึกเปี่ยมล้นหลากหลาย
พระโอรสเฝ้าครุ่นคิดถึงเรื่องนี้มานานแสนนาน
ในที่สุด บัดนี้เขาก็สมปรารถนาเสียที
เขาไม่เคยเห็นพระโอรสแสดงสีหน้าเช่นนี้มาก่อน
ทั้งสุขใจ ปลื้มปิติ ภาคภูมิ และอ่อนโยน
ตามมาด้วยความรู้สึกลึกล้ำอันมากล้นที่ผ่านไหวอยู่ในแววตาโดยมิคิดปิดบัง
สายตาของคนทุกผู้ล้วนมองตามพวกเขา ทว่าในสายตาของเขามีเพียงคนผู้นั้น
ภาพฉากนี้งามวิจิตรจับตาเสียจนมิอาจแข็งใจรบกวนภาพตรงหน้าได้
ยามผู้คนจำนวนมากที่รวมตัวกันอยู่ในตำหนักศักดิ์สิทธิ์เห็นฉากนี้แล้วต่างพากันแสดงสีหน้าซับซ้อนออกมาไม่น้อย
ใครก็คิดไม่ถึงว่าโอรสสวรรค์แห่งพระราชวังเมฆาสวรรค์จะมีวันที่ได้ตบแต่งชายากับเขาจริงๆ
หรงซิวกลับไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย ฉู่หลิวเยว่เองก็เช่นกัน
มือของพวกเขากุมกันแน่นราวกับมิแยกจากกันตลอดกาล
ในที่สุด คนทั้งสองก็หยุดยืนนิ่งอยู่กลางตำหนัก
“คำนับหนึ่ง ไหว้ฟ้าดิน!”
สุ้มเสียงของขุนนางพิธีการดังก้องกังวาน
สุ้มเสียงนี้สะท้อนก้องภายในตำหนักอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง!
หรงซิวและฉู่หลิวเยว่หมุนกายพร้อมกัน ก่อนจะโค้งเอวคำนับ
เดิมฉู่หลิวเยว่มิเชื่อในเรื่องสวรรค์ ทั้งยังไม่เชื่อในเรื่องของโชคชะตา
ทว่าที่ชีวิตนี้ได้มาเจอหรงซิว นางก็ขอเชื่อว่านี่คือรักที่ฟ้าลิขิตมาให้
ทั้งที่อยู่ห่างกันหลายหมื่นลี้ ทว่าเขากลับมายืนอยู่ต่อหน้านาง
ทั้งที่ฐานะแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว ทว่าเขาก็ยืนกรานเลือกนางมาตั้งแต่ต้น
มือของฉู่หลิวเยว่เขี่ยฝ่ามือของเขาเบาๆ คราหนึ่ง
หรงซิวจึงจับมือของนางให้แน่นกว่าเก่า
“คำนับสอง ไหว้บุพการี!”
จากนั้นก็หมุนกายกลับมา แล้วคำนับอีกรอบ
ฉู่หลิวเยว่มองเห็นมือที่กำเข้าหากันแน่นขององค์ไท่จู่ และกระบอกตาแดงก่ำของท่านพ่อและพระบิดาได้อย่างชัดเจน
ชั่วพริบตา ภาพฉากนับไม่ถ้วนก็มาลอยผ่านตรงหน้า
ทั้งรอยยิ้มเอ็นดูของพระบิดา ทั้งคำชมเชยอย่างภาคภูมิใจ
เพลิงไหม้หอบรรพกษัตริย์ราชวงศ์เทียนลิ่งครานั้นและความเจ็บปวดที่ฝังลึกถึงกระดูก
เงาร่างของท่านพ่อที่พุ่งเข้ามาไถ่ถามอย่างวิตกกังวลเป็นคนแรกยามฟื้นขึ้นมาอีกครั้งตอนถูกลากกลับตระกูลฉู่ในสภาพเลือดท่วมตัว
ยามได้ยินเสียงนางเรียก “ท่านพ่อ” ก็ยอมละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่าง
อีกทั้งตลอดทางมานี้ก็ได้องค์ไท่จู่ช่วยปกป้องนับครั้งไม่ถ้วน…
ดวงตาของฉู่หลิวเยว่ร้อนผ่าว ทั้งยังคัดจมูกน้อยๆ
แท้จริงแล้วนางล้วนแต่ถูกคนรัก คนปกป้องมาโดยตลอด
แม้ต้องเผชิญกับความเจ็บปวดมากมาย แต่ก็ยังมีครอบครัวที่คอยเป็นอ้อมแขนอันอบอุ่นให้แก่นางอยู่เสมอ
“สามีภรรยาคำนับซึ่งกันและกัน!”
ฉู่หลิวเยว่เหลือบสายตามองหรงซิว สบเข้าไปในนัยน์ตาหงส์สีเข้มที่ฉายแววลึกล้ำ
นางเห็นเงาสะท้อนของตัวเองภายในนั้นได้อย่างชัดเจน
นางเห็นทั้งความอ่อนโยนและความรักใคร่ในใจผ่านแววตาของเขา
ริมฝีปากแดงระเรื่อของนางยกขึ้นน้อยๆ แล้วเอ่ยแกมหัวเราะว่า
“ชีวิตนี้ไม่เสียใจเลยที่ได้อภิเษกกับพระองค์”
หรงซิวมองไปยังนาง ก่อนจะหัวเราะออกมาเช่นกัน
เขาเอ่ยทีละคำว่า
“ไม่ ต้องพูดว่าได้แต่งเยว่เออร์เป็นชายา หรงซิว…รู้สึกโชคดีเป็นอย่างยิ่งต่างหาก”
ตอนที่ 1807 องค์ไท่จู่ออกโรง ยิ่งใหญ่สะท้านฟ้า
คนทั้งสองคำนับกันและกัน
“เสร็จสิ้นพิธี!”
ทันทีที่เสียงใสกังวานของขุนนางพิธีการดังก้องตำหนักศักดิ์สิทธิ์ บนยอดเขาต่างๆ ที่อยู่รอบนอกยอดเขาซู่หมิงต่างพากันจุดดอกไม้ไฟแสดงความยินดีถ้วนหน้า!
“พระราชวังเมฆาสวรรค์มิได้ครื้นเครงแบบนี้มานานแล้วหนา…”
บัดนี้พระโอรสได้บรรลุความปรารถนาของพระองค์แล้ว เขาเองก็วางใจได้เสียที
หรงซิวกุมมือฉู่หลิวเยว่ไว้แน่น ก่อนที่คนทั้งสองจะเดินเคียงคู่กันเข้าไปส่วนในสุดของตำหนักศักดิ์สิทธิ์
ณ ที่แห่งนั้นมีม้านั่งยาวอันสูงศักดิ์ตัวหนึ่งตั้งอยู่
ชัดเจนอยู่แล้วว่ามันมีไว้ให้พระโอรสและพระชายา
ยามชายชุดเจ้าสาวสีแดงสดใสดุจแพเมฆ แผ่วบางดุจคำหยอกเย้าเคลื่อนตัวบนพื้นหยกสีดำอย่างเงียบเชียบ
ยามออกก้าวเดิน พู่ห้อยบนมงกุฎหงส์ก็จะขยับไหวตามแรงน้อยๆ
แม่นางผู้นั้นผิวนุ่มละมุน ดวงหน้าหยดย้อยดุจภาพวาด และที่หาดูได้ยากยิ่งกว่าก็คือเสน่ห์เย้ายวนอันบรรยายเป็นคำพูดไม่ได้ที่แผ่กระจายออกมาจากทั่วทั้งร่าง
เพียงนางยืนอยู่ตรงนั้นก็มีชัยเหนือภาพทิวทัศน์นับหมื่นในโลกา
แพขนตาหนากระพือไหวเบาๆ ยามปรายสายตามองราวกับสายลมเอื่อยๆ พัดผ่านฟ้ายามค่ำคืนที่พร่างพรายด้วยดวงดารา
หรงซิวมองนางด้วยสายตาลึกล้ำ
พริบตานั้นเอง เขารับรู้ได้ว่าสายตาของคนทั้งหมดล้วนถูกตรึงไว้ที่นาง
หากเป็นแต่ก่อน เขาย่อมรู้สึกไม่ชอบใจเป็นแน่แท้
ทว่าบัดนี้กลับต่างออกไป
นี่คืองานอภิเษกสมรสของเขาและนาง และต่อจากนี้ไป นางคือชายาของเขา
นางที่เปล่งประกายเจิดจ้าเช่นนี้ สง่างามและโดดเด่นอย่างเห็นได้ชัด
นางเป็นของเขา
ในที่สุดสมบัติล้ำค่าที่จับตาผู้คนที่สุดในแดนมนุษย์ ก็ถูกเขาไขว่คว้ามาครอบครอง
…
คนทั้งสองทรุดตัวลงนั่ง
แต่ก่อนเริ่มงานกินเลี้ยงครานี้ ยังมีอีกหนึ่งขั้นตอนสำคัญที่ต้องทำให้เสร็จลุล่วง
…นั่นคือการส่งมอบของกำนัลจากทุกตระกูล
อย่างใดเสียพระราชวังเมฆาสวรรค์ก็เป็นหนึ่งตระกูลชั้นสูงแห่งอาณาจักรเสิ่นซวี่ ชื่อเสียงขจรขจาย สถานะสูงส่งยิ่ง
วันนี้เป็นวันอภิเษกสมรสของโอรสสวรรค์ หรงซิว ผู้ปกครองพระราชวังเมฆาสวรรค์ แต่ละตระกูลย่อมต้องจัดเตรียมของกำนัลมาแสดงความยินดี
ระดับความเลอค่าของของกำนัลแสดงความยินดีที่ว่านี่ก็สำคัญอย่างยิ่ง
มุมหนึ่ง นี่เป็นตัวบ่งบอกถึงพื้นเพครอบครัวและรายละเอียดของผู้ส่งมอบของกำนัล ทั้งยังประกาศให้รู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขากับพระราชวังเมฆาสวรรค์ว่าสนิทชิดเชื้อกันเพียงใด
“ขอต้อนรับทุกท่านเข้าสู่งานอภิเษกสมรสของข้าในวันนี้ หากมีข้อผิดพลาดประการใด ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย”
หรงซิวเอ่ยพลางยกจอกสุราเชื้อเชิญ
บรรดาฝูงชนจึงทยอยพากันยกจอกสุราของตนขึ้นมา
งานกินเลี้ยงภายในตำหนักศักดิ์สิทธิ์ดำเนินไปอย่างครื้นเครงยิ่ง
ฉู่หลิวเยว่นั่งอยู่ข้างกายหรงซิว ยกจอกสุราในมือขึ้นมา ก่อนจะพบว่าในจอกถูกคนเปลี่ยนเป็นชาเขียว
มุมปากของนางเม้มเข้าหากันน้อยๆ ก่อนจะยกชาขึ้นจิบ ซ่อนงำไว้ซึ่งรอยยิ้มในแววตา
จากนั้นนางก็วางจอกสุราลง
หรงซิวผินหน้ามาหานาง
“รสดี…หรือไม่?”
สายตาของเขาหยุดอยู่ที่ริมฝีปากอวบอิ่มอันชุ่มชื้นของนาง สายตาพลันเข้มขึ้นมาหลายส่วน
ฉู่หลิวเยว่กะพริบตาปริบๆ ก่อนจะผงกศีรษะ
นางที่น่ารักน่าเอ็นดู ทั้งยังแฝงแววใสซื่อเช่นนี้ช่างหาดูได้ยากนัก
ราวกับแมวน้อยที่เก็บซ่อนเล็บคมแล้วเปลี่ยนมานอนขดเป็นเจ้าก้อนนุ่ม ให้คนอยากอุ้มมากอดมาลูบไว้แนบอก
หรงซิวใช้ท้องนิ้วลูบคลำบนจอกสุราแผ่วเบาสองสามที ตามองไปยังแสงอาทิตย์ร้อนแรงเจิดจ้าด้านนอก
เขากระดกสุราที่เหลือลงไปรวดเดียว เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าเวลาช่างเชื่องช้าเกินทน
“ประมุขแห่งสำนักแดนขอบฟ้า ส่งมอบไข่มุกเกล็ดหิมะโปรยหมื่นปีจำนวนสองเม็ด!”
“เจ้าสำนักของสำนักปักษาม่วง ส่งมอบม่านฉากกั้นห้องลายปะการังในทะเลคืนมืดหนึ่งชุด!”
“หอหิมะโปรยปราย ส่งมอบโอสถเขียวหลากน้ำฟ้าหนึ่งเม็ด!”
เสียงของขุนนางพิธีการดังก้องอย่างต่อเนื่อง
ฉู่หลิวเยว่เลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ
สถานะทางสังคมของพระราชวังเมฆาสวรรค์ในอาณาจักรเสิ่นซวี่นั้นสูงมาก ของกำนัลที่แต่ละตระกูลส่งมอบให้จึงล้วนเป็นสมบัติเลอค่าอันหายากทั้งสิ้น
ส่วนบรรดาตระกูลสูงศักดิ์ธรรมดา อย่าว่าแต่ส่งมอบของเลย เกรงว่าจะไม่เคยได้เห็นของพวกนั้นด้วยซ้ำ
มีเพียงแค่ตระกูลชั้นสูงจริงแท้เท่านั้นที่จะมีความมั่นใจและมีสิ่งของเหล่านี้ในครอบครอง
หรงซิวนั่งฟังไปพลางอมยิ้มจางๆ ที่มุมปากด้วยสีหน้าผ่อนคลายยิ่ง
บรรดาฝูงชนด้านใต้เห็นดังนั้นก็พากันทอดถอนใจ
ที่แท้ผู้สังหารเทพผู้นี้ก็มีรอยยิ้มเช่นนี้นี่เอง
แต่เห็นได้ชัดเลยว่าทุกสิ่งทุกอย่างนี้ล้วนเป็นเพราะแม่นางที่อยู่เคียงข้างกายเขาผู้นั้นทั้งสิ้น
…
เวลาเคลื่อนคล้อยไปอย่างเชื่องช้า
ภายในตำหนักศักดิ์สิทธิ์มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์แผ่วเบาดังแว่วขึ้นมา
“ผู้ที่มาส่งมอบของกำนัลล้วนแต่มาจากตระกูลชั้นสูงในอาณาจักรเสิ่นซวี่ ดูก็รู้ว่ามากันเพราะเห็นแก่หน้าโอรสสวรรค์ เหตุใดจนถึงตอนนี้ถึงไม่เห็นคนของพระชายาออกมาส่งมอบของกำนัลเลยสักคน?”
ใครคนหนึ่งเอ่ยถามอย่างสงสัย
“เจ้าไม่รู้หรือว่าพระชายาที่แต่งกับโอรสสวรรค์ผู้นี้เป็นคนนอกอาณาจักรเสิ่นซวี่! เพราะว่าครานี้เป็นงานอภิเษกสมรสถึงได้ตั้งใจเชิญบิดาและสหายของพระชายามาด้วย เพียงแต่… พื้นเพครอบครัวเช่นนั้น เจ้าก็รู้นี่ว่าจะไปมีปัญญาเอาของดีอันใดมาส่งมอบได้?”
“รอจนพวกสำนักและตระกูลชั้นสูงของอาณาจักรเสิ่นซวี่ส่งมอบของกำนัลเสร็จสิ้นก็คงจะถึงตาพวกเขาแล้วกระมัง? แต่ให้ข้าเดา… คงไม่มีอันใดน่าดูหรอก!”
“เหตุใดจะไม่มี? ข้าน่ะตั้งตารอสุดๆ ว่าญาติพี่น้องมิตรสหายของพระชายาที่โอรสสวรรค์โปรดปรานหนักหนา ยืนกรานจะแต่งนางคนเดียวให้ได้ผู้นี้น่ะจะส่งมอบของกำนัลแบบใดกัน! หากให้ของพวกนั้นไม่สมฐานะต่อหน้าธารกำนัล คงเป็นฉากที่ยอดเยี่ยมไม่เบาเลยไม่ใช่หรือ? ฮ่าฮ่า!”
“จิ๊จิ๊! เจ้านี่เจ้าเล่ห์ชะมัด! ข้าละชอบใจจริงเชียว! แค่คิดถึงฉากนั้นก็รู้สึกเจ็บแสบแล้ว! ถึงตอนนั้น เกรงว่าหรงซิวจะคุมสีหน้าไม่อยู่เอาน่ะสิ!”
บรรดาฝูงชนต่างลอบหัวเราะคิกคัก
หลายปีมานี้ หรงซิวชื่อเสียงขจรไกลไปทั่วอาณาจักรเสิ่นซวี่
มีคนชื่นชอบและนับถือ ก็ย่อมมีคนริษยาและเกลียดชัง
แล้วยังมีบางส่วนที่ก่อนหน้านี้คิดจะผูกสัมพันธ์กับพระราชวังเมฆาสวรรค์ แต่ก็ถูกหรงซิวบอกปฏิเสธมาโดยตลอด
บุตรสาวของตระกูลพวกเขาไหนเลยจะแข็งแกร่งสู้ซั่งกวนเยว่ที่ฐานะต่ำต้อยเช่นนั้นไม่ได้?
แม้บัดนี้บรรดาฝูงชนในที่แห่งนี้จะพากันหัวเราะสรวลเฮฮา แต่ก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่ยังคงย้ำเตือนตนเองอยู่เสมอ
คนที่อยากเห็นเรื่องชวนหัวที่ว่ามีแค่สองคนนั้นหรือไร?
ครานี้ หากพระชายาผู้นี้ขายขี้หน้าแล้วไซร้ เช่นนั้นก็เท่ากับว่าโอรสสวรรค์หรงซิวเองก็อับอายด้วย!
แม้นคนจำนวนมากจะพยายามกดเสียงให้เบาลงแล้ว แต่ตำหนักศักดิ์สิทธิ์ใหญ่โตปานนี้ คนที่นั่งอยู่ส่วนใหญ่ก็เป็นผู้แข็งแกร่งระดับสูงสุดกันทั้งนั้น ใครบ้างเล่าจะไม่ได้ยิน?
นี่เรียกได้ว่าจงใจพูดแล้ว
แง่หนึ่ง บรรดาตระกูลต่างๆ ที่อยู่พร้อมหน้ากันในที่นี้จำนวนไม่น้อยล้วนเป็นตระกูลชั้นสูง มิได้อ่อนด้อยไปกว่าพระราชวังเมฆาสวรรค์
อีกมุมหนึ่ง พวกเขาต่างรู้ตัวว่าที่พูดมาล้วนเป็นเรื่องจริงทั้งสิ้น ความจริงชวนระคายหู หรือว่าพวกเขาจะห้ามไม่ให้คนพูดความจริงกันเล่า?
ผู้อาวุโสหมิงที่สามสิบหกขมวดคิ้วนิ่วหน้าพลางมองไปยังหรงซิว แต่กลับพบว่าสีหน้าของหรงซิวเรียบนิ่งประหนึ่งว่าไม่ได้ใส่ใจในคำพูดเหล่านั้นเลยแม้แต่น้อย
เขาเหลือบสายตาไปมองทางฉู่หลิวเยว่น้อยๆ บ้าง
แน่นอนว่าดวงหน้านั้นยังคงประดับด้วยรอยยิ้ม
ผู้อาวุโสหมิงที่สามสิบหกลอบถอนใจ
ดูพวกเขาไม่ออกเลยจริงๆ…
ในตอนนั้นเอง ซั่งกวนจิ้งพลันเอ่ยปากขึ้น
“เยว่เออร์”
สุ้มเสียงนี้ทุ้มต่ำนัก ดึงดูดความสนใจของบรรดาฝูงชนเป็นจุดเดียว
ภายในตำหนักศักดิ์สิทธิ์เงียบสงัดลงในพริบตา
ฉู่หลิวเยว่มองตามต้นเสียง
“องค์ไท่จู่?”
ซั่งกวนจิ้งเอ่ยแกมหัวเราะว่า
“เยว่เออร์ วันนี้เจ้ากับหรงซิวเป็นฝั่งเป็นฝากันเสียที ไท่จู่ดีใจยิ่งนัก! ไท่จู่เคยชินกับการทำตัวเอ้อระเหยมาตลอด หลายปีมานี้ก็ไม่ได้สะสมมรดกอันใดหลงเหลือให้เจ้า ไม่มีสิ่งใดจะมอบให้แก่เจ้าได้ เจ้ารับของสิ่งนี้ไปเถอะ”
พูดพลาง เขาก็รูดเอาแหวนเฉียนคุนสีทองแดงวงหนึ่งออกมาจากมือของตน
ฉู่หลิวเยว่คลี่ยิ้มกว้างด้วยสีหน้าเบิกบาน
“สิ่งที่องค์ไท่จู่มอบให้ย่อมดีที่สุดอยู่แล้วเจ้าค่ะ!”
องค์ไท่จู่โบกมือไปมาแล้วเอ่ยอย่างเอื่อยเฉื่อย
“แค่อาวุธศักดิ์สิทธิ์แห่งจุนเจ๋อหกชิ้นจะไปดีอันใด? วันหน้าไท่จู่จะสร้างอาวุธให้เจ้าอีกหลายๆ ชิ้นด้วยตัวเอง อย่างน้อยที่สุดเจ้าก็ต้องได้สิบชิ้นที่สมบูรณ์แบบจึงจะใช้ได้!”
………………..