ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1809 คทาอาญาสิทธิ์
ตอนที่ 1809 คทาอาญาสิทธิ์
………………..
ภายในตำหนักศักดิ์สิทธิ์ บรรดาฝูงชนต่างพากันตื่นตกใจในคราแรก ก่อนจะตกสู่ห้วงความเงียบอยู่พักใหญ่
เหตุใดถึงเป็นแบบนี้…
เหตุใดถึงเป็นแบบนี้ไปได้?
หนานซู่ไหวเป็นถึงเจ้าสำนัก ก็ควรกระทำเรื่องต่างๆ อย่างยุติธรรมมิใช่หรือ?
เขาส่งมอบสำนักหลิงเซียวออกอย่างเปิดเผยเช่นนี้ก็เพื่อสนับสนุนซั่งกวนเยว่น่ะหรือ!?
หรือว่าผู้อาวุโสท่านอื่นและบรรดาศิษย์ทั้งหลายในสำนักไม่คัดค้านเลยหรือ!?
“หนานซู่ไหวทำเช่นนี้ออกจะไม่ค่อยเหมาะสมไปหน่อยกระมัง?”
“นั่นซี! ต่อให้ซั่งกวนเยว่จะเป็นศิษย์ของเขา ก็ไม่เห็นต้องตามใจขนาดนี้เลย! แล้วจะให้ผู้อื่นในสำนักมองอย่างใด คิดอย่างใดกัน?”
“ก่อนหน้านี้ได้ยินมาว่าหนานซู่ไหวเอ็นดูลูกศิษย์คนนี้มากมาโดยตลอด บัดนี้ได้เห็นกับตา นับว่าสมคำร่ำลือ…”
“เฮ้อ อย่างใดก็เป็นถึงเจ้าสำนัก วิธีจัดการเรื่องต่างๆ ย่อมไม่ธรรมดา เพียงแต่ไม่รู้ว่าหลังจากนี้ สำนักหลิงเซียวจะยังสงบเหมือนแต่ก่อนหรือไม่…”
คำวิพากษ์วิจารณ์ทุกรูปแบบเป็นดั่งกระแสน้ำหลากถาโถมเข้ามา แม้นมีคนบางส่วนไม่ได้พูดอันใด แต่ก็เห็นได้ชัดว่าไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้เช่นกัน
สำนักหลิงเซียวหาใช่สถานที่ที่หนานซู่ไหวมีอำนาจปกครองคนเดียวไม่
หนานซู่ไหวได้ยินดังนั้นก็เลิกคิ้วพลางฉีกยิ้ม ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยเสียงดังฟังชัด
“เรื่องพวกนี้น่ะ… ไม่จำเป็นต้องให้ทุกท่านร้อนใจหรอกหนา”
เขาหมุนกายมาครึ่งตัว แม้นกำลังยิ้มอยู่ ทว่าสายตาที่แหลมคมดุจมีดกวาดมองบรรดาคนที่พล่ามคำอวดดีออกมารอบหนึ่ง
บรรดาฝูงชนพากันเงียบกริบลงในบัดดล
รอยยิ้มของหนานซู่ไหวยิ่งลึกล้ำยิ่งกว่าเก่า
“ก่อนหน้านี้สำนักหลิงเซียวของข้าประสบเคราะห์ใหญ่หลวง โชคยังดีที่แม่หนูเยว่เออร์เอาตัวเข้าเสี่ยง พยายามหาทางพลิกวิกฤติจนสำนักหลิงเซียวรอดพ้นจากอันตรายได้ แต่ก่อนตราหยกสีเขียวอันนี้ไม่เคยมอบให้แก่ผู้ที่ไม่ใช่ผู้อาวุโสมาก่อน บัดนี้ที่ละเมิดกฎ ก็เป็นผู้อาวุโสทุกคนในสำนักหลิงเซียวล้วนมีมติเอกฉันท์ให้ส่งมอบตราแก่สองสามีภรรยานี้ ในเมื่อคนของเราไม่ได้โต้แย้งอันใด เหตุใดทุกท่านถึงไม่พอใจนักเล่า?”
คิดหรือว่าจะมีคนสนใจ!?
ตัวข้าเองตัดสินใจมาอย่างดีแล้ว ไหนเลยจะต้องมาสนใจพวกคนนอกปากหอยปากปูอย่างพวกเจ้าด้วย!
แม้หนานซู่ไหวจะไม่ได้เอ่ยคำพูดนี้ออกจากปาก ทว่าสีหน้าของเขากลับเล่าแทนได้อย่างชัดเจนไม่มีตกหล่น
คนจำนวนมากพลันรู้สึกอับอาย พากันหลบสายตาอย่างว่องไว
หนานซู่ไหวกลับยังไม่พอใจ เขาแค่นเสียงหัวเราะเย็นเยียบคราหนึ่งแล้วเอ่ยว่า
“ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่อยากเตือนทุกท่านไว้ ชีวิตนี้ของข้า หนานซู่ไหวจะรับเพียงศิษย์ผู้นี้ผู้เดียวเท่านั้น!”
บรรดาฝูงชนราวกับนึกอันใดบางอย่างออก ล้วนแต่ตื่นตกใจกันทั่วถ้วน ก่อนจะมองไปทางหนานซู่ไหวด้วยไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง
นี่หมายความว่าอันใดกัน!
เขาคิดจะส่งต่อตำแหน่งเจ้าสำนักให้ฉู่หลิวเยว่อย่างนั้นหรือ!?
ใช่สิ!
หากมิได้ตัดสินใจเช่นนี้ เหตุใดเขาถึงต้องปกป้องซั่งกวนเยว่ถึงเพียงนั้น กระทั่งที่ว่ายอมส่งมอบของกำนัลชิ้นโตขนาดนี้ให้?
หรือที่ผู้อาวุโสท่านอื่นในสำนักหลิงเซียวทั้งหมดล้วนเห็นชอบเรื่องตราหยกสีเขียวแบบนี้ แปลว่าตัดสินใจกันเรียบร้อยแล้ว…
คนจำนวนมากเริ่มยืนไม่ติดที่
หากซั่งกวนเยว่กลายเป็นเจ้าสำนักหลิงเซียวจริงๆ ขึ้นมา สถานการณ์ก็จะไม่เหมือนเดิมอีกแล้วน่ะสิ!
แม้นางจะไม่มีรากเหง้าในอาณาจักรเสิ่นซวี่ แต่…สำนักหลิงเซียวย่อมปฏิบัติต่อนางดุจคนใหญ่คนโต!
หากนางได้เป็นเจ้าสำนักจริงๆ เช่นนั้นสถานะของนางในอาณาจักรเสิ่นซวี่ต่อจากนี้ไปย่อมพุ่งสูงขึ้นมาอย่างมาก!
เป็นความจริงที่ว่าตระกูลชั้นสูงบางตระกูลมีทรัพย์สินมากมายก่ายกองอยู่เดิม มีผู้แข็งแกร่งจำนวนมากรวมตัวกัน พวกเขาสามารถฟูมฟักคนรุ่นหลังที่มีความสามารถโดดเด่นขึ้นมาได้เองโดยไม่จำเป็นต้องส่งลูกหลานมาที่พระราชวังเมฆาสวรรค์ ทั้งยังไม่ต้องเป็นกังวลด้วยว่าความสัมพันธ์ระหว่างตนกับพระราชวังเมฆาสวรรค์จะขุ่นข้องหมองใจกัน
แต่… นี่เป็นเพียงแค่ส่วนน้อยมาก!
ตระกูลส่วนใหญ่ก็ยังคงหวังว่าลูกหลานจากตระกูลของตนจะสามารถเข้าสำนักหลิงเซียวไปฝึกตนและกลายเป็นผู้แข็งแกร่งได้
เมื่อคิดถึงข้อนี้ได้ สีหน้าของคนจำนวนมากต่างก็ซับซ้อนขึ้นมาในทันใด
แท้จริงแล้ว ในบรรดาหมู่คนจำนวนมาก พวกเขาเคยดูแคลนซั่งกวนเยว่กันมาก่อนแล้วทั้งนั้น
แม้พรสวรรค์ของนางจะโดดเด่น พลังต่อสู้กล้าแกร่ง แต่ก็ยัคงอ่อนแออย่างเห็นได้ชัดด้วยไร้ตระกูลคอยสนับสนุน
ราวกับเพียงแค่สายลมพัดผ่านเที่ยวหนึ่ง ก็ล้มลงไปได้อย่างง่ายดาย
ทว่าตอนนี้ดันพลิกกลับเป็นคนละเรื่อง
เบื้องหน้ามีพระราชวังเมฆาสวรรค์ เบื้องหลังหนุนด้วยสำนักหลิงเซียว!
เมื่อสองขั้วอำนาจใหญ่นี้จับมือกัน แล้วผู้อื่นจะไปกล้าหยอกเล่นด้วยอย่างใดกัน?
บรรยากาศภายในโถงตำหนักพลันเปราะบางขึ้นมาทันควัน
บรรดาคนที่คิดก่อเรื่องก่อนหน้านี้นั้น บัดนี้ล้วนแต่ล้มเลิกความคิดกันไปแล้วไม่น้อย
ดวงหน้าของหนานซู่ไหวฉายชัดถึงความพึงพอใจผ่านออกทางสีหน้า
นี่ก็คือผลลัพธ์ที่เขาต้องการ!
คิดจะมารังแกแม่หนูเยว่เออร์ของพวกเขาหรือ ฝันไปเถอะ!
“ผู้อาวุโสทั้งสองล้วนแต่มอบของกำนัลชิ้นใหญ่ให้ จนของกำนัลของพวกข้าหมองลงไปเลยเทียว”
ซั่งกวนโหยวเอ่ยแกมหัวเราะ
แม้จะพูดเช่นนี้ แต่สีหน้าของเขาอิ่มเอิบใจกว้าง บรรยากาศรอบตัวเป็นกันเองประหนึ่งมีลมวสันตฤดูพัดผ่าน
ลำพังแค่รังสีรอบตัวที่ว่าก็ชนะคนที่เรียกตัวเองว่าผู้สูงศักดิ์จำนวนมากในที่แห่งนี้แล้วโดยสิ้นเชิง
หรงซิวเอ่ยแกมหัวเราะ
“ท่านพ่อตาเป็นคนสนิทที่สุดของเยว่เออร์ ครานี้พวกท่านอุตส่าห์เดินทางมาไกลกว่าหมื่นลี้ สำหรับพวกเรา นี่เป็นของขวัญที่ดีที่สุดแล้ว”
คำว่า “ท่านพ่อตา” นี้หมายถึงคนสองคนด้วยกัน
ซั่งกวนโหยวและฉู่หนิงนั่นเอง!
คนบางส่วนต่างลอบครุ่นคิดกับตัวเอง
ได้ยินว่าเขาเชิญมากระทั่งสหายของพระชายาไปจนถึงข้ารับใช้ของนางให้มาร่วมงานด้วยเช่นกัน…
เจตนามุ่งมั่นเช่นนี้นับว่าหาดูได้ยากโดยแท้
ซั่งกวนโหยวหยิบเอากล่องไม้ใบหนึ่งออกมา
กล่องไม้ใบนี้มีรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า สีกล่องดำเข้ม แฝงด้วยแรงกดดันมหาศาลบางๆ เคลือบไว้ เห็นได้ชัดเลยว่าด้านนอกมีค่ายกลผนึกเอาไว้ชั้นหนึ่ง
ฉู่หลิวเยว่พลันรู้สึกได้ถึงการไหลวนของกระแสพลังอันคุ้นเคย จึงเบิกตากว้างอย่างประหลาดใจอยู่หลายส่วน
“เสด็จพ่อ สิ่งนี้คือ…“
“เปิดดูสิ”
ซั่งกวนโหยวเอ่ยเร่งเร้าด้วยรอยยิ้ม
ฉู่หลิวเยว่จึงรับกล่องไม้มา
ชั่วพริบตาที่รับกล่องไม้มาไว้ในมือ ผนึกบนกล่องพลันสูญสลายไป!
ลมปราณที่ไหลวนอยู่ด้านในยิ่งกระเพื่อมไหวรุนแรง!
ฉู่หลิวเยว่พลันหยุดชะงัก
กริ๊ก
กล่องไม้พลันเปิดออก
คทาหัวมังกรเล่มหนึ่งวางแผ่อย่างเงียบเชียบอยู่ภายในกล่อง
ใจของฉู่หลิวเยว่เต้นกระตุกรัวเร็วขึ้นมาทันใด
เป็นอย่างที่คิดไว้จริงด้วย!
นี่ก็คือคทาอาญาสิทธิ์เทียนลิ่ง!
“ก่อนข้าจะมาที่นี่ คทาอาญาสิทธิ์เทียนลิ่งก็ทะยานออกมาจากตำหนักหลางคุนด้วยตัวเอง ข้าจึงพามันมาด้วย”
ซั่งกวนโหยวเอ่ยอธิบาย
ชั่วพริบตานั้นเอง ดวงตาของหัวมังกรบนคทาพลันเรืองแสงสว่างวาบ!
ฉู่หลิวเยว่กำคทาอาญาสิทธิ์เอาไว้ ก่อนเหวี่ยงมันไปทางด้านหน้าโดยไม่รู้ตัว!
ฉัวะ!
เสียงแหวกอากาศดังขึ้นโดยพลัน!
ในจังหวะเดียวกัน แรงกดดันมหาศาลไร้สิ่งใดเทียบพลันเข้าปกคลุมทั้งตำหนักศักดิ์สิทธิ์!
“อาวุธศักดิ์สิทธิ์แห่งจุนเจ๋อหรือนี่!?”
บรรดาฝูงชนต่างตกอยู่ในความโกลาหล
เหตุใดถึงได้มีอาวุธศักดิ์สิทธิ์แห่งจุนเจ๋ออีกชิ้นกันได้เล่า!?
หรือว่าคนในตระกูลซั่งกวนต่างก็ส่งต่อของสิ่งนี้มาอย่างนั้นหรือ!?
ซั่งกวนจิ้งหัวเราะร่า
“เจ้าของชิ้นจ้อยนี่ดูจะติดเจ้าหนึบเลยจริงๆ!”
ฉู่หลิวเยว่เองก็สัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าลมปราณบนตัวคทาอาญาสิทธิ์มหาศาลกว่าก่อนหน้านี้มาก!
ก่อนหน้านี้นางไม่เคยรับรู้มาก่อนว่านี่จะเป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์แห่งจุนเจ๋อ!?
ราวกับอ่านใจของนางได้ ซั่งกวนจิ้งจึงเอ่ยอธิบายว่า
“แท้จริงแล้วคทาอาญาสิทธิ์เทียนลิ่งเล่มนี้คืออาวุธศักดิ์สิทธิ์แห่งจุนเจ๋อที่ข้าเคยหลอมขึ้นมาเมื่อนานมาแล้ว แต่มันกับอาวุธศักดิ์สิทธิ์แห่งจุนเจ๋อไม่ใคร่จะเหมือนกันนัก ยิ่งผู้ครอบครองมันแข็งแกร่งมากเท่าไร มันก็สามารถแผ่พลังออกมาได้แข็งแกร่งมากเท่านั้น แต่ก่อนระดับพลังปราณของเจ้าไม่สูงนัก การรับรู้และปลดปล่อยพลังได้จึงมีจำกัด บัดนี้พลังของเจ้าเพิ่มขึ้นมาไม่น้อยแล้ว เมื่อได้จับคทาอีกครั้งหนึ่ง ความรู้สึกย่อมต่างกัน”
………………..