ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1813 ผู้คอยหนุนหลัง
ตอนที่ 1813 ผู้คอยหนุนหลัง
………………..
ยังมีคนมาเพิ่มอีกหรือ!
เมื่อบรรดาฝูงชนได้ยินเสียงนี้ ก็พากันทยอยหันไปมองด้านนอกประตูใหญ่
เหตุใดงานพิธีอภิเษกสมรสครานี้เหมือนจะยิ่งครื้นเครงรื่นเริงขึ้นเรื่อยๆ หนอ
“ป่านนี้แล้ว คนที่มาเป็นใครกัน”
“ไม่รู้สิ… ตระกูลที่มีการติดต่อกับพระราชวังเมฆาสวรรค์ในอาณาจักรเสิ่นซวี่ก็น่าจะมากันหมดแล้วหนา?”
ในใจของคนจำนวนมากเปี่ยมไปด้วยการคาดเดาไปต่างๆ นานา
ในไม่ช้า เงาร่างนั้นก็ทะยานจากขอบฟ้ามาปรากฏตัวเบื้องหน้าตำหนัก!
ความเร็วของเขาว่องไวปราดเปรียวมาก ถึงขั้นที่ว่าคนรับผิดชอบขานชื่อด้านนอกยังไม่ทันได้ส่งเสียง
ภายในตำหนักเงียบสนิท
สายตาทุกคู่จับจ้องไปที่คนมาใหม่
เขาเป็นบุรุษอายุอานามสี่สิบกว่าเห็นจะได้ ร่างสูงใหญ่กำยำ โครงหน้าคมสันกรามชัด
ในตอนนั้น บนดวงหน้าของเขาแฝงด้วยรอยยิ้มกว้างขณะเดินเข้ามาด้านใน
“นี่ใครกัน?”
“ไม่รู้จัก…แต่ดูจากไอรัศมีที่แผ่ออกมาจากตัวแล้วเหมือนจะไม่ใช่คนธรรมดา…”
“ในอาณาจักรเสิ่นซวี่มีคนฝีมือยอดเยี่ยมเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน?”
…
อี้เจานั่งหลังตรง สองตาจับจ้องคนมาใหม่เขม็ง
หรงซิวกับฉู่หลิวเยว่หยัดกายลุกขึ้นพร้อมกัน
หรงซิวอมยิ้มที่มุมปาก
ทันใดนั้นก็มีคนนึกอะไรขึ้นได้ สูดลมหายใจหนาวเหน็บเข้าปอดทันควัน
โหมวเจินรึ!
หรือว่าจะเป็น…
โหมวเจินหัวเราะเสียงกึกก้อง
“เจ้าก็รู้ว่าช่วงนี้เกาะมังกรศักดิ์สิทธิ์เกิดเรื่องมากมาย เลยมาสายไปหน่อย แต่พวกเจ้าวางใจเถอะ งานอภิเษกสมรสครั้งนี้ ข้าไม่มีทางลืมแน่นอน!”
สุ้มเสียงของเขาเต็มเปี่ยมยิ่ง สะท้อนก้องไปมาทั่วทั้งตำหนักจนอย่างชัดเจน ลอยกระทบเข้าหูทุกคน
ยามได้ยินคำว่า “เกาะมังกรศักดิ์สิทธิ์” แทบทุกคนล้วนหน้าเปลี่ยนสีในบัดดล!
นั่นมิใช่อาณาเขตของเผ่าไท่ซวีเฟิ่งหลงหรอกหรือ
พอเอามาเชื่อมกับเหตุการณ์ที่หรงซิวเรียกเขาว่าผู้อาวุโสโหมวเจินก่อนหน้านี้แล้ว…
“นั่นคืออัจฉริยะจากเผ่าไท่ซวีเฟิ่งหลงที่โดดเด่นอยู่ระยะหนึ่งเมื่อหมื่นปีก่อนผู้นั้นไม่ใช่หรือ?”
“โหมวเจิน…โหมวเจิน! เหตุใดถึงเป็นเขาไปได้? ในข่าวลือว่าเขาเสียสติไม่ใช่…”
คำพูดที่เหลือนั้น คนผู้นั้นกลับมิกล้าเอ่ยออกมา
เพราะว่าโหมวเจินหันมาทางนี้เป็นนัยว่าได้ยินเรียบร้อย
ดวงหน้าของเขายังคงเปื้อนยิ้ม แค่ว่ายามกวาดสายตามองไปกลับแฝงด้วยแรงกดดันอันหนักหน่วงชวนอกสั่นขวัญแขวน
“ดูเหมือนทุกท่านจะยังไม่ได้ข่าว”
โหมวเจินกวาดสายตาไปรอบตัว ก่อนเอ่ยพลางเลิกคิ้ว
“ในเมื่อวันนี้ทุกคนล้วนอยู่ที่นี่กันพร้อมหน้าพร้อมตา ข้าก็มีเรื่องจะกล่าวกับทุกคนพอดี ข้าคือโหมวเจิน แล้วก็เป็นประมุขคนใหม่แห่งเผ่าไท่ซวีเฟิ่งหลง! ภายหลังหากได้เจอทุกท่าน ก็อย่าจำผิดอีกเล่า”
ประมุข?
ใครบางคนเอ่ยถามขึ้นมาอย่างอดรนทนไม่ไหว
“ประมุขเผ่าไท่ซวีเฟิ่งหลงมิใช่โหมวหยางหรอกหรือ?”
“อ้อ โหมวหยางน่ะรึ? เขาจัดฉากสังหารคนในเผ่า เป็นนักโทษของเผ่าเราไท่ซวีเฟิ่งหลง บัดนี้ถูกถลกเกล็ดย้อน โดนจับขังอยู่ในคุกแล้ว เหตุใด? ทุกคนอยากเจอเขาหรือ?”
หน้าคนพูดซีดเผือดลงทันตา
“ปะ…เปล่า…ข้าก็แค่…ก็แค่ถามไปอย่างนั้น”
ปฏิกิริยาตอบสนองของผู้อื่นเองก็ไม่ได้ดีไปกว่าคนผู้นี้สักเท่าไร
เหมือนฟ้าผ่าลงดินอย่างจัง!
จู่ๆ โหมวเจินที่มีข่าวลือว่าตายไปนานแล้วปรากฏตัวขึ้น ทั้งยังขึ้นครองตำแหน่งประมุข กลับกันแล้วโหมวหยาง— ผู้ที่รั้งตำแหน่งประมุขมาหลายร้อยปี กลับกลายเป็นนักโทษในคืนเดียว ทั้งยังต้องโทษประหารด้วย?
ความจริงจะโทษว่าพวกเขารู้ข่าวล่าช้าก็ไม่ได้ เป็นข่าวของเผ่าไท่ซวีเฟิ่งหลงต่างหากที่หลุดรอดออกมาให้ได้ยินยากมาก
ตำแหน่งที่ตั้งของเกาะมังกรศักดิ์สิทธิ์พิเศษอย่างมาก คนธรรมดาย่อมไม่รู้ว่ามันตั้งอยู่ที่ไหน
ยิ่งไปกว่านั้นเผ่าไท่ซวีเฟิ่งหลงเองก็หยิ่งทะนงในศักดิ์ศรีมาแต่ไหนแต่ไร หากมิใช้กลโกงใด เผ่ามนุษย์ก็แทบไม่สามารถรู้อะไรได้เลย
ที่สำคัญที่สุดก็คือช่วงนี้โหมวเจินกำลังสาละวนอยู่กับการจัดระเบียบภายในเผ่าจึงตั้งใจปิดข่าว
คนนอกจึงไม่มีทางรู้ข่าวนี้ได้โดยเด็ดขาด
ทว่าในเมื่อวันนี้เขาปรากฏตัวแล้ว จึงอยากเอ่ยแจ้งแถลงไขเรื่องนี้ให้กระจ่าง
ระหว่างพูด เขาก็เบนสายตากลับมา สะบัดชายเสื้อคลุมคราหนึ่ง ประกายแสงสีม่วงทองพลันพุ่งออกไป!
หรงซิวยกมือขึ้น ประกายแสงสีทองม่วงตกลงบนฝ่ามือของเขา แปรสภาพกลายเป็นเกล็ดมังกรขนาดใหญ่เท่าฝ่ามือชิ้นหนึ่ง
เพียงแต่เกล็ดมังกรชิ้นนี้ค่อนข้างแตกต่างกับเกล็ดมังกรธรรมดา ด้านบนเกล็ดมีลายเส้นสว่างเรืองรองวาดผ่านเป็นลวดลายรูปหนึ่ง
นัยน์ตาของหรงซิวเรืองวาบ
ฉู่หลิวเยว่เองก็รู้สึกถึงรัศมีอันน่าตื่นตะลึงที่แฝงอยู่บนเกล็ดมังกรเช่นกัน จึงอดไม่ได้ที่จะเบิกตากว้างน้อยๆ
“ผู้อาวุโสโหมวเจิน นี่คือ…”
“ฮ่าๆ ก่อนหน้านี้ข้าคิดไม่ออกว่าจะให้อันใดเจ้าดี อย่างไรซะสมบัติของพระราชวังเมฆาสวรรค์ก็มีอยู่ไม่น้อย คิดไปคิดมา ข้าเลยตัดสินใจมอบเกล็ดมังกรใจพิสุทธิ์ให้พวกเจ้า! ต่อไปมีสิ่งนี้แล้ว พวกเจ้าก็คือแขกผู้มีเกียรติของเกาะมังกรศักดิ์สิทธิ์ เข้าออกได้ตามใจชอบ หากมีภัย ขอใช้เกล็ดมังกรเป็นหลักประกันว่าเราเผ่าไท่ซวีเฟิ่งหลงย่อมต้องยื่นมือช่วยเหลืออย่างสุดความสามารถ!”
หรงซิวยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม ดวงหน้าดูจะผ่อนคลายลงหลายส่วน
“ใช่ขอรับ”
ได้แต่งกับนางถือเป็นเรื่องโชคดีที่สุดในชีวิตเขา
สุ้มเสียงทุ้มต่ำและเปี่ยมด้วยพลังของโหมวเจินกระทบกลางใจทุกคนอย่างแรง
คนบางส่วนถึงกับเริ่มเหม่อลอยไร้สติ
นี่มัน…
นี่กระทั่งเผ่าไท่ซวีเฟิ่งหลงก็มาช่วยหนุนหลังให้ซั่งกวนเยว่รึ?
พวกเขาไปรู้จักกันตอนไหน
ความสัมพันธ์ต่อกันดูจะสนิทสนมกันเป็นพิเศษด้วย
หากมิได้มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นต่อกัน โหมวเจินจะไปมีท่าทีเช่นนี้ได้อย่างไร!
มิเพียงแต่มาแสดงความยินดีด้วยตัวเอง ยังมอบเกล็ดมังกรใจพิสุทธิ์ให้อีก!
“ขอบคุณผู้อาวุโสโหมวเจินมาก เชิญท่านนั่งเถิด”
ฉู่หลิวเยว่เอ่ยยิ้มๆ
ที่นั่งของโหมวเจินถูกจัดวางไว้เรียบร้อยแต่แรกแล้ว
ที่นั่งของเขาจัดวางอยู่ตรงข้ามกับอี้เจาพอดี
ประมุขอสูรศักดิ์สิทธิ์แห่งบรรพกาลทั้งสองเผ่านั่งสบตาประชันหน้ากัน
ชั่วพริบตาราวกับว่าสะเก็ดไฟปะทุลุกไหม้มาจากทั่วทุกทิศ!
ชั่วขณะนั้น บรรดาฝูงชนภายในตำหนักล้วนรู้สึกได้ชัดเจนว่าบรรยากาศราวกับถูกแช่แข็งโดยพลัน!
ใครไม่รู้บ้างว่าความสัมพันธ์ระหว่างเผ่าไท่ซวีเฟิ่งหลงกับเผ่าหงส์ทองคำนั้นเปราะบางมาแต่ไหนแต่ไร
ทั้งสองเผ่าไม่เคยข้ามผ่านไปยังเขตแดนของอีกฝ่าย ขีดเส้นแบ่งระหว่างกันชัดเจน
ทว่าทั้งในที่แจ้งและที่ลับต่างก็งัดข้อกันอย่างเงียบเชียบ
สองคนนี้คงไม่ตีกันที่นี่หรอกกระมัง…
ในตอนที่บรรดาฝูงชนลอบเป็นกังวลอยู่เต็มอกนั่นเอง โหมวเจินกลับส่งเสียงหัวเราะขึ้นมาเสียก่อน
“พี่อี้เจา ไม่ได้เจอกันนานเลย!”
เสียงหัวเราะครานี้ของเขาทำลายความแข็งค้างจนหมดสิ้น
ใบหน้าของอี้เจาไม่แสดงอารมณ์ใดเหมือนเคย
“ยังไม่แสดงความยินดีที่พี่โหมวเจินได้ขจัดมลทิน หวนกลับคืนสู่จุดสูงสุดเลย”
โหมวเจินมองถวนจื่อรอบหนึ่ง ก่อนแสดงสีหน้าปลดปลงออกมาไม่น้อย
“มีถวนจื่ออยู่ พี่อี้เจานี่ช่างน่าอิจฉาจริงๆ!”
คำพูดนี้ทำให้อี้เจารู้สึกเพลิดเพลินเป็นพิเศษ
เอ่ยชมเขาไม่มีประโยชน์อะไร แต่ตราบเท่าที่ชมถวนจื่อ ท่าทีของเขาก็อ่อนโยนกว่าเดิมมาก
“ไม่หรอก ต้องขอบคุณพี่โหมวเจินที่ก่อนหน้านี้ช่วยดูแลให้”
โหมวเจินหัวเราะฮ่าฮ่าเสียงดังลั่น
“เป็นข้าดูแลที่ไหนกัน? ถวนจื่อตามติดอาเยว่ของนางตลอด ทั้งหมดทั้งมวลล้วนเป็นนางที่คอยดูแลถวนจื่อต่างหาก”
อี้เจาได้ยินดังนั้น ภายในแววตาจึงสั่นไหวไม่น้อย หันมองไปทางฉู่หลิวเยว่ก่อนพยักหน้าให้เบาๆ
“ขอบคุณมาก”
ฉู่หลิวเยว่รีบปฏิเสธพลางเอ่ยแกมหัวเราะเสียงใส
“ท่านเกรงใจกันเกินไปแล้ว ข้ารับปากท่านไว้ว่าจะดูแลถวนจื่อให้ดี เรื่องพวกนี้เป็นสิ่งที่ข้าควรทำอยู่แล้ว”
บรรยากาศของคนฟากนี้ค่อยๆ สนิทสนมกลมเกลียวขึ้นเรื่อยๆ เหลือไว้ก็แต่สีหน้านิ่งอึ้งของฝูงชนทั้งตำหนัก
เหตุใดถึงกลายเป็นรำลึกความหลังไปแล้วล่ะ?