ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1814 โยนออกไป ตอนที่ 1815 ลอบโจมตี
ตอนที่ 1814 โยนออกไป
ภาพฉากนี้ออกจะกระตุ้นประสาทคนเกินไปแล้ว
ในขณะที่พวกเขาไม่มีปัญญาเข้าไปกระทั่งภูเขาเฟิ่งหวงศักดิ์สิทธิ์ ซั่งกวนเยว่ก็ได้ทำพันธะกับนายหญิงน้อยเผ่าหงส์ทองคำแล้ว
ในชณะที่พวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าประมุขของเกาะมังกรศักดิ์สิทธิ์เปลี่ยนคน ซั่งกวนเยว่ก็พูดคุยสนิทสนมกับท่านประมุขคนใหม่ผู้นี้ไปแล้ว
ที่แปลกประหลาดยิ่งกว่าก็คือ สองเผ่านี้สามารถอยู่ร่วมห้องเดียวกันได้อย่างปกติสุข ทั้งยังพูดคุยออกรสออกชาติกันสนุกสนานอีก
คนที่ตาดีล้วนดูออกว่านี่เป็นการไว้หน้าหรงซิวและซั่งกวนเยว่!
ก่อนหน้านี้การมาของอี้เจาก็ทำให้คนรู้สึกรับได้ยากเหลือจะเอ่ยแล้ว บัดนี้ดันมีโหมวเจินเพิ่มมาอีก!
นี่มันกะเอาตายกันเลยชัดๆ!
“ไม่มีคนหนุนหลัง…ไม่มีชาติกำเนิด…แล้วนี่มันเหตุการณ์บัดซบแบบใดกัน!”
เริ่มมีคนสติแตกขึ้นมาแล้ว
“เมื่อครู่ข้าเพิ่งหัวเราะเยาะซั่งกวนเยว่ไปด้วย! นางต้องได้ยินหมดแล้วแน่ๆ!”
ไม่น่าเลย!
ไม่น่าเลยจริงๆ!
สีหน้าของคนจำนวนมากในตำหนักล้วนดูไม่ได้กันเป็นแถบ ทั้งยังนั่งกันไม่ติดที่ อยากหนีไปจากที่แห่งนี้ใจจะขาด
สถานที่แบบนี้…ให้อยู่นานกว่าอีกนิดเดียวก็ทรมานจะตายแล้ว!
ฉู่หลิวเยว่ถือจอกสุราสองมือด้วยท่าทีสงบนิ่ง ในจอกปริ่มด้วยชาที่หรงซิวเปลี่ยนให้เมื่อครู่
แพขนตาหนายาวหลุบลงน้อยๆ ปิดบังกระแสคลื่นที่กระเพื่อมในแววตา
แท้จริงแล้วมันมีข่าวลือหนาหูหรืออารมณ์ขุ่นข้องหมองใจระหว่างกันมากมายที่ไหน?
มีแค่เพราะว่าตัวพวกเขาคิดแบบนี้กันไปเองต่างๆ นานาก็เท่านั้น
แม้นางจะเก่งกาจมากพอ ก็มิอาจขจัดอคติที่ฝังลึกอยู่ในก้นบึ้งจิตใจของพวกเขาได้เลย
เวลาแบบนี้แล้ว พูดโน้มน้าวไปก็ไม่มีประโยชน์
วิธีที่ได้ผลที่สุดก็คือประทานฝ่ามือลงนาบแก้มสักฉาดสองฉาด ช่วยให้พวกเขาตาสว่างเสียที!
มันก็ไม่ผิด
ภายในอาณาจักรเสิ่นซวี่ นางไร้ซึ่งอำนาจกองกำลังของตัวเองเลยจริงๆ
แต่นี่ไม่ได้แปลว่าจะมารังแกนางได้โดยง่าย
จะพระราชวังเมฆาสวรรค์หรือสำนักหลิงเซียวก็ดี หรือแม้แต่อสูรศักดิ์สิทธิ์แห่งบรรพกาลผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสองเผ่า
ล้วนแต่กลายเป็นกำลังหนุนของนางทั้งสิ้น
นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป นางจะทำให้คนพวกนั้นรู้ซึ้งว่า นางไม่ใช่เจ้าบ้านที่ใครหน้าไหนจะมารังแกได้เด็ดขาด!
…
งานเลี้ยงยังคงดำเนินต่อไป
ทว่าคนจำนวนมากที่อยู่ในที่แห่งนี้กลับหมดความอยากอาหารเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
เหตุที่วันนี้พากันมาที่นี่ เดิมทีก็เพราะอยากดูเรื่องตลก ใครจะรู้เล่าว่าสุดท้ายจะถูกตบหน้าหันกันหมด
ทว่าต่อให้ถูกตบหน้าฉาดใหญ่แค่ไหนก็ยังต้องอดทนไว้
ไม่ว่าจะเป็นเผ่าหงส์ทองคำหรือไท่ซวีเฟิ่งหลง ล้วนแต่ไม่ใช่คนที่พวกเขาจะไปยุ่มย่ามได้!
ดังนั้นผู้ที่รื่นเริงบันเทิงใจก็ยิ่งสนุกครื้นเครง ผู้ที่อึดอัดอึมครึมก็ยิ่งขุ่นข้องหมองใจ
ส่วนหรงซิวกับฉู่หลิวเยว่มิได้สนใจเรื่องพวกนี้แม้แต่น้อย
อย่างไรเสียก็บรรลุจุดประสงค์แล้ว เรื่องอื่นล้วนไม่สำคัญ
หากเจ้ามาแสดงความยินดีจากใจจริง พวกเขาก็ยินดีต้อนรับ
หากเจ้ามีเจตนาอื่นแอบแฝงมา ก็โทษใครไม่ได้แล้ว
คนที่สมควรมาในวันนี้ล้วนมาครบหมดแล้ว ยังมีผู้ใดมาอีกหรือ?
อีกทั้งดูจากสภาพแล้ว…สถานะของอีกฝ่ายดูจะไม่ธรรมดาอยู่มากทีเดียว
“คนมาใหม่คือผู้ใดกัน?”
หรงซิวถามด้วยเสียงเรียบนิ่ง
คนผู้นั้นรีบร้อนตอบว่า
“พวกเขาบอกว่า…มาจากตระกูลหนาน”
ทันทีที่คำพูดที่จบลง คนจำนวนมากต่างชะงักการเคลื่อนไหวของตนโดยไม่รู้ตัว สีหน้าตกตะลึงอย่างกล่าวได้ยาก
ตระกูลหนาน?
ตระกูลหนานบ้านนั้นน่ะหรือ?
สีหน้าของหรงซิวเรียบเฉยลงหลายส่วน
ทว่าฉู่หลิวเยว่กลับเลิกคิ้วน้อยๆ ก่อนวางจอกสุราลง มุมปากยกวาดเป็นรอยยิ้มแฝงเจตนาคลุมเครือ
ดูเหมือนจะยังไม่ยอมหยุด…
ความสูญเสียคราก่อนยังไม่พออีกหรือ?
หรงซิวเอนกายพิงด้านหลัง นัยน์ตาทอประกายเย็นเยียบ
“โยนตัวออกไปเสีย”
ตอนที่ 1815 ลอบโจมตี
คนผู้นั้นลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกล่าวว่า
“ฝ่าบาท สองท่านนั้นบอกว่าได้ยินว่าวันนี้เป็นงานอภิเษกสมรสของพระองค์ จึงมาส่งมอบของกำนัลให้โดยเฉพาะ…”
พูดจบ คนผู้นั้นก็ขอตัวจากไปอย่างรวดเร็ว
ภายในตำหนักศักดิ์สิทธิ์ คนจำนวนมากต่างสบสายตากันอย่างไม่รู้จะทำอย่างไร
“ตระกูลหนาน…คนของพวกเขามาที่นี่เหตุใดกัน?”
“ข้าจำได้ว่าพระราชวังเมฆาสวรรค์กับพวกเขาไม่เคยติดต่อกันมาก่อนนี่? เหตุใดจู่ๆ ถึงมีคนมาส่งของแสดงความยินดีได้? แต่ดูแล้วทางพระราชวังเมฆาสวรรค์ฟากนี้ไม่ค่อยต้อนรับพวกเขาเท่าไรกระมัง…”
“ตระกูลหนานทะนงตัวมาแต่ไหนแต่ไร ตอนนี้มันหมายความว่าอย่างไรกัน? ส่วนพระราชวังเมฆาสวรรค์ดูเหมือนจะยังคงไม่สนใจ…”
“เฮอะ ตอนนี้พระราชวังเมฆาสวรรค์มีเผ่าหงส์ทองคำและไท่ซวีเฟิ่งหลงคอยหนุนหลัง ความมั่นใจเปี่ยมล้น จะยังมองใครอยู่ในสายตาได้อีกหรือ?”
“ที่พูดมาก็ถูก…”
สำนักและตระกูลต่างๆ ภายในอาณาจักรเสิ่นซวี่มีมากมายดั่งไม้ในป่า พละกำลังของแต่ละฝ่ายต่างคอยขัดขวางกันเอง ทั้งคานอำนาจของแต่ละฝ่าย
ผู้อ่อนแอพึ่งพิงผู้แข็งแกร่งจึงเป็นเรื่องที่พบเจอได้ทั่วไป
มิต้องสงสัยเลยว่าอสูรศักดิ์สิทธิ์แห่งบรรพกาลทั้งสองเผ่าคือเสาต้นหลักที่ใหญ่ที่สุด
บัดนี้ทุกสิ่งล้วนอยู่ในกำมือของซั่งกวนเยว่!
แล้วจะยังมีเรื่องใดให้พูดอีก?
ละครคั่นฉากเล็กเรื่องนี้ไม่นานก็ถูกบรรดาฝูงชนละความสนใจไป
…
ด้านนอกค่ายกลพระราชวังเมฆาสวรรค์
สีหน้าลั่วเหยี่ยนเย็นเยียบขึ้นมาหลายส่วน
หนานอีอียืนอยู่ด้านหลังเขา นางเขย่าแขนของเขาด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย
นางอยากจะเข้าไปที่นั่นจริงๆ หนา…
ทหารสวมเกราะดำมีสีหน้าเย็นเยียบ
“ความหมายของฝ่าบาทชัดเจนพอแล้ว พระราชวังเมฆาสวรรค์ไม่ต้อนรับพวกเจ้า เชิญออกไปให้ไวเถิด! หากยังขัดขืน อย่ามาโทษว่าพวกข้าไม่เกรงใจ!”
ในอกของลั่วเหยี่ยนร้อนดั่งมีไฟสุมทรวง
หลายปีมานี้ เขาไม่เคยรู้สึกอัดอั้นตันใจเช่นนี้มาก่อน
มีเพียงการประสบความพ่ายแพ้ให้แก่หรงซิวและซั่งกวนเยว่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า!
แต่อย่างไรเสียที่นี่เป็นเขตแดนของอีกฝ่าย หากมีเรื่องกันขึ้นมาจริงๆ ก็ไม่ส่งผลดีอะไรต่อพวกเขา
ลั่วเหยี่ยนสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ ก่อนลากตัวพาหนานอีอีหมุนกายจากไป
“อีอี พวกเราไปกันเถอะ”
หนานอีอียังคิดอยากดิ้นรนต่อ ทว่าเมื่อเหลือบตามองดูสีหน้าที่เปี่ยมด้วยอารมณ์โมโหของลั่วเหยี่ยนก็รู้ทันทีว่าเขาโกรธขึ้นมาจริงจึงไม่กล้าทำอะไรอีก ทำได้แค่เดินตามไปอย่างเชื่อฟังเท่านั้น
เงาร่างของคนทั้งสองเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว
…
ประมาณครึ่งชั่วยามให้หลัง ลั่วเหยี่ยนก็พาหนานอีอีเดินมาถึงยอดเขาลูกหนึ่ง
บนยอดเขาเขียวชอุ่มไปด้วยต้นไม้ใบหญ้าหนาทึบ
แสงอาทิตย์ที่สาดส่องลงมาพอดิบพอดี ฉายเงาเป็นจุดเป็นดวงบนพื้นป่า
ทั้งข้างหูก็ราวกับได้ยลยินเสียงธารน้ำสายน้อยไหลกระเพื่อมที่ดังแว่วมา
ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนนิ่งงันและเงียบสงบ
ทว่าในใจหนานอีอีกลับมิได้สงบลงตามภาพทิวทัศน์ตรงหน้าแม้แต่น้อย
นางเอาแต่เดินก้มศีรษะตามหลังลั่วเหยี่ยนโดยไร้สุ้มเสียงมาตลอดทาง
เมื่อเดินมาถึงพื้นที่ราบแห่งหนึ่ง ลั่วเหยี่ยนก็หยุดฝีเท้า
“อีอี…”
ใจของลั่วเหยี่ยนราวถูกอะไรบางอย่างบีบรัดไว้แน่น น้ำเสียงของเขาจึงอ่อนลงหลายส่วน
“อีอี ก่อนหน้านี้ข้าพูดไปแล้วว่าวิธีนี้ใช้ไม่ได้ผล ก่อนหน้านี้พวกเราก็หาเรื่องเขาจนกลายเป็นแบบนี้ พวกเขาจะไปผูกมิตรกับเราอีกได้อย่างไรกัน? ยิ่งไปกว่านั้นวันนี้เป็นวันอภิเษกสมรสของพวกเขาแล้วด้วย”
หากเปลี่ยนเป็นเขา ย่อมต้องเลือกทำแบบเดียวกันอย่างไม่ต้องสงสัย
หนานอีอีเป็นเด็กรู้ความมาแต่ไหนแต่ไร
เขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดครานี้นางถึงได้ยืนกรานหนักแน่นปานนั้น ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าด้านหน้าคือกำแพงใต้ [1]ก็ยังจะรั้นเอาหัวโขกลงไปอย่างแรงเสียแบบนั้น
หนานอีอีเม้มปากตนเองแน่น น้ำตาหยดแหมะๆ ไม่หยุด
ตั้งแต่หลังจากที่นางมิอาจพูดได้ นางก็ไม่ยอมส่งเสียงร้องออกมาอีก รวมไปถึงเสียงร้องไห้
นั่นมีแต่จะทำให้นางรู้สึกเจ็บปวดทรมานก็เท่านั้น
ลั่วเหยี่ยนลูบไหล่ของนางไปมาพลางถอนใจ
“อีอี ข้ารู้ว่าในใจเจ้าจงเกลียดจงชังนัก แต่ตอนนี้บาดแผลของเจ้ายังไม่หายดี ต่อให้จะอยากแก้แค้นก็ใช่จะมีพลังมิใช่หรือไร? อีกอย่าง…ไม่รู้เพราะเหตุใด ท่านประมุขถึงได้หวาดกลัวหรงซิวออกหน้าออกตามากถึงเพียงนี้ หากพวกเราลงมือผลีผลาม เกรงว่าจะทำให้ตระกูลหนาน”
หนานอีอีหันศีรษะขวับ
นางมิได้คิดถึงเรื่องพวกนี้แม้แต่น้อย!
นางรู้แค่ว่าตัวเองถูกคนตัดลิ้นไป จึงมิอาจพูดจาออกมาได้อีก!
ผู้อื่นต่างไม่เข้าใจความทุกข์ทรมานของนาง ไหนเลยจะมีหน้ามาปลอบโยนนาง!
ลั่วเหยี่ยนเห็นนางมีท่าทีเช่นนี้ รู้ว่าโน้มน้าวไปก็ไม่ได้อะไร จึงไม่ได้พูดออกไปอีก
เขาเองก็พานางมาตามคำร้องขอ นอกเหนือจากนี้ไม่สามารถทำให้ได้แล้ว
ท้ายที่สุดเรื่องแบบนี้ก็ต้องให้นางคิดทบทวนอย่างค่อยเป็นค่อยไปด้วยตัวเอง…
จู่ๆ หนานอีอีก็สาวเท้าเดินมุ่งหน้าไปยังไหล่เขา
ลั่วเหยี่ยนขมวดคิ้วโดยพลัน รีบตามไปทันที
เดิมลั่วเหยี่ยนคิดจะดึงตัวนางเอาไว้ หากแต่นางยังดูหงุดหงิด จึงรู้ว่าสิ่งเดียวที่ทำได้ในเวลานี้คือเดินตามนางไปเท่านั้น จึงทำได้แค่เดินตามฝีเท้านางไปติดๆ
คนทั้งสองจึงรุดไปข้างหน้าภายใต้ความเงียบงัน
ผ่านไปประมาณหนึ่งก้านธูป เงาดำร่างหนึ่งพลันบินโฉบผ่านไป!
ลมปราณอันเย็นเยียบแผ่ไออันตรายเคลื่อนเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว!
ลั่วเหยี่ยนในใจเห็นท่าไม่ดี รีบเข้าไปลากหนานอีอีทันที
“อีอี! ถอยออกมา!”
ทว่ามันสายไปเสียแล้ว!
เงาร่างสีดำมืดเข้าประชิดอย่างว่องไว จากนั้นก็แปรสภาพกลายเป็นหมอกดำกลืนกินร่างของหนานอีอีไป!
ลั่วเหยี่ยนตื่นตกใจเป็นอย่างมาก เขาโคจรกระแสลมปราณภายในร่างก่อนจะลงมือในทันใด!
ทว่าในตอนนั้นเอง เขากลับตกตะลึงด้วยพบว่าร่างกายของตนราวกับถูกอะไรบางอย่างยึดตรึงเอาไว้ ไร้หนทางขยับเขยื้อน!
จากนั้น หมอกสีดำก็แผ่ขยายออกอย่างรวดเร็ว แล้วเข้ากอบกุมลำคอของลั่วเหยี่ยนไว้!
ราวกับมีอสรพิษค่อยๆ เลื้อยคลานรอบลำคอ ความรู้สึกเย็นยะเยือกและอึมครึมตีตื้นขึ้นมา!
ลั่วเหยี่ยนเสี่ยงชีวิตเร่งกระแสพลังภายในร่างมากกว่าเก่า ทว่ามันกลับมิได้ช่วยอะไร
ต้องเข้าใจก่อนว่าเขาคือผู้แข็งแกร่งระดับเทพศักดิ์สิทธิ์ ผู้ฝึกตนทั่วไปย่อมไม่ใช่คู่ต่อกรของเขา
แม้แต่การต่อสู้ระหว่างผู้แข็งแกร่งระดับเทพศักดิ์สิทธิ์ด้วยกันเอง ยังไม่สามารถบดขยี้เขาจนแพ้ราบคาบดั่งเช่นตอนนี้ได้โดยสิ้นเชิง!
นี่ นี่…
ในตอนที่ความคิดนับไม่ถ้วนลอยล่องขึ้นมาตีรวนกันในสมองของลั่วเหยี่ยน หมอกดำสายนั้นก็เริ่มแผ่ขยายไปทั่วร่าง จัดการดูดกลืนร่างของเขาทีละน้อย
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะพลังของเขาแข็งแกร่งกว่าหนานอีอีมากหรือเปล่า ความเร็วที่หมอกดำสายนั้นกลืนกินเขาเข้าไปจึงเชื่องช้ากว่ามากอย่างเห็นได้ชัด
แต่ปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องดี หากเขาไม่รีบคิดหาทางหลบหนี เกรงว่า…
ตู้ม!
กระแสพลังแกร่งกล้าสายหนึ่งปะทุออกมาจากภายในร่างของลั่วเหยี่ยนในทันใด!
กระแสพลังระเบิดโจมตีไปทั่วทุกสารทิศ ทำให้หมอกดำสายนั้นจำต้องสลายตัวไป
ลั่วเหยี่ยนจึงกลับมาสูดลมหายใจเข้าปอดได้ในที่สุด
เขารีบหันกายวิ่งหนีทันทีโดยไม่คิดลังเล!
เขาออกแรงใช้ความเร็วสุดฝีเท้าอย่างเต็มแรงที่สุดเท่าที่เคยใช้มาในชีวิต!
ทว่าเขาเร็วแล้ว หมอกดำสายนั้นกลับไม่ได้เชื่องช้าเช่นกัน
วิ่งไปได้ไม่ไกล ลั่วเหยี่ยนก็รู้สึกถึงพลังอันมากล้นดึงรั้งข้อเท้าของตนเอาไว้
เขาก้มศีรษะมองดู ใจเต้นกระตุกระรัว
…เป็นหมอกดำสายนั้นที่พุ่งเข้ามาพันธนาการเขาไว้อีกรอบหนึ่ง!
ครานี้ พลังที่แฝงอยู่ในหมอกดำดูจะแกร่งขึ้นไม่น้อย ทำให้ความเร็วของลั่วเหยี่ยนยิ่งเชื่องช้าลงมากขึ้นเรื่อยๆ!
ความหวาดกลัวอย่างรุนแรงแล่นปราดขึ้นสมอง
ลั่วเหยี่ยนหันศีรษะขวับกลับไปมอง
หมอกดำสายนั้นประหนึ่งสัตว์อสูรก็มิปาน มันอ้าปากมหึมาจนกว้าง ก่อนจัดการเขมือบเขาลงไป!
ลวดลายสีโลหิตรูปแบบแปลกตาอันหนึ่งพลันปรากฏต่อหน้าเขา!
จากนั้น ลั่วเหยี่ยนก็สูญเสียสตินึกคิด จมดิ่งสู่ความมืดมิดเบื้องหน้า
[1]กำแพงใต้ หมายถึง กำแพงกั้นประตูทางใต้ของบ้านคนชนชั้นสูง เปรียบเสมือนกำแพงที่ขั้นระหว่างชนชั้น
………………..