ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1816 ตัวเลือก
ตอนที่ 1816 ตัวเลือก
………………..
เงาร่างของหนานอีอีและลั่วเหยี่ยนหายวับไปในพงไพร
ส่วนกลุ่มหมอกดำที่แปลกประหลาดอันเข้มข้นนั้น หลังมันกลืนกินคนทั้งสองไปแล้ว ก็ค่อยๆ อันตรธานหายไปไร้ร่องรอย
ท่ามกลางป่าไพรเงียบสงัดไร้สุ้มเสียง
ลมเอื่อยเฉื่อยคล้อยผ่านมา พัดเป่าเอาเงาไม้ที่เป็นจุดเป็นดวงขยับไหว
ธารน้ำไหลเอื่อยส่งเสียงแว่วแผ่ว แหวนหยกพกกระทบกันดังกรุ๋งกริ๋ง
ทุกสิ่งทุกอย่างกำลังฟื้นฟูกลับไปเป็นดั่งเช่นก่อนหน้า
ราวกับว่ามิมีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน
…
ห้วยหนองสีดำเข้มแผ่ขยายอาณาเขตไปสุดลูกหูลูกตา
ต้นกกสีขี้เถ้าปะทะสายลมจนสะบัดไหวไปตามแรง
ยามปรายตามองก็พบว่า ฟ้าดินใหญ่โตโอฬารนัก
หนานอีฝานยืนอยู่ข้างห้วยหนองนั้น
หากก้าวไปข้างหน้าต่ออีกก้าว เขาก็จะเหยียบลงพื้นห้วยหนองอันดำมืดน่าหวาดหวั่นอยู่รอมร่อ
ลมปราณอันหนาวยะเยือกพุ่งมาโอบล้อมตัวเขาจากทั่วทุกสารทิศ
ภายในลมปราณผสมปนเปด้วยกลิ่นคาวเลือดจางๆ และกลิ่นเน่าเหม็นของอะไรต่อมิอะไร ยามสูดดมเข้าไปจึงชวนให้รู้สึกคลื่นไส้นัก
หนานอีฝานนิ่วหน้า พยายามต้านทานแรงกระเพื่อมไหวในอกสุดกำลัง
หากมิใช่เพื่ออวี่สิงแล้วล่ะก็ ให้ตายอย่างไรเขาก็ไม่มีทางมาเยือนที่นี่…
ทว่าบัดนี้ ไม่มีทางเลือกแล้วจริงๆ
“ประมุขตระกูลหนาน หนานอีฝาน ขอเข้าพบเจ้าสำนัก”
หนานอีฝานเอ่ยต่อ
“ประมุขตระกูลหนาน หนานอีฝาน ขอเข้าพบเจ้าสำนัก”
สี่ทิศรอบด้านเงียบสงัด
หนานอีฝานลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยกชายผ้าคลุมขึ้น แล้วคุกเข่าลงกับพื้น!
“ประมุขตระกูลหนาน หนานอีฝาน ขอเข้าพบเจ้าสำนัก!”
บริเวณแห่งนั้นราวกับถูกตัดขาดจากโลกาฟ้าดินไปแล้วก็มิปาน สุ้มเสียงของหนานอีฝานจึงโดดเดี่ยวและไร้อำนาจเป็นพิเศษ
แต่เขาคาดเดาถึงสถานการณ์นี้ไว้ก่อนแล้ว จึงทำได้แค่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ร้องขอครั้งแล้วครั้งเล่า!
จากกลางวันจนกลางคืน
จากย่ำค่ำจนรุ่งสาง
เขาคุกเข่าร้องขออยู่ข้างหนองน้ำมาหนึ่งวันหนึ่งคืนแล้ว
จนกระทั่งคอของเขาเริ่มแหบพร่า พูดแทบไม่เป็นคำแล้วนั่นเอง ในที่สุดต้นกกเบื้องหน้าเขาพลันโบกสะบัดอย่างรุนแรง!
ใยฝ้ายลอยละล่องไปในอากาศ ก่อนร่วงลงใจกลางหนองน้ำ ในไม่ช้าก็ถูกแรงกระเพื่อมของโคลนตมดูดกลืนลงไป
ท่ามกลางความเลือนราง ปรากฏหัวกะโหลกหนาขาวโพลนอันหนึ่ง
หนานอีฝานทำราวกับว่ามองไม่เห็น
เขาเพียงแค่เงยศีรษะขึ้นมา สองตาที่เต็มไปด้วยเส้นเลือดแดงก่ำจดจ้องไปยังเบื้องหน้าเขม็ง!
รอบตัวราวกับเงียบสงัดลงยิ่งกว่าเก่า
ดวงใจของหนานอีฝานราวกับถูกอะไรบางอย่างบีบเค้นอย่างแรง โลหิตในกายเองพลันหยุดไหลเวียนชะงัก
คอของเขาเจ็บจนแสบร้อน ทั่วร่างแข็งทื่อ ในอกวูบโหวง
ทว่าตอนนั้นเอง เขามิอาจฝืนทนไว้ได้อีกต่อไป
ในที่สุด สุ้มเสียงทุ้มต่ำแหบแห้งพลันดังแว่วขึ้นมา
เขาตอบกลับทันทีว่า
“เจ้าสำนัก ท่านโปรดช่วยข้าด้วยเถิด!”
สุ้มเสียงคล้ายว่ากำลังหัวเราะ
“หนานอวี่สิงเส้นลมปราณขาดสะบั้น กลายเป็นคนพิการไปโดยสมบูรณ์ ต่อให้ฝืนใช้แรงฟื้นฟู อย่างดีที่สุดก็ฟื้นฟูวรยุทธ์ก่อนหน้ากลับคืนมาได้สามส่วน เจ้าอย่าได้เสียเวลาอีกเลย”
หนานอีฝานราวกับจมดิ่งไปในถ้ำน้ำแข็งชั่วพริบตา
“เหตุใด เหตุใดถึงฟื้นได้แค่สามส่วนเล่า? ท่านเจ้าสำนักมีทักษะเลิศล้ำ”
“หากเป็นคนธรรมดาย่อมไม่มีปัญหา แต่จุดสำคัญคือคนที่ลงมือครานี้ดันเป็นหรงซิวน่ะสิ…เขาจงใจให้บุตรชายเจ้ามีสภาพอยู่ไม่สู้ตาย จึงจงใจใช้เล่ห์เหลี่ยม ต่อให้เป็นข้า แต่จะแก้กลของเขาให้หมดจดได้ ก็ยังต้องใช้เวลาไม่น้อย…”
หนานอีฝานนัยน์ตาสว่างวาบ ราวกับคว้าความหวังสุดท้ายได้ก็มิปาน เจ้าสำนักยังพอมีหนทางนี่เอง!
แต่ไม่ทันรอให้เขาเอ่ยปาก อีกฝ่ายก็กล่าวต่อว่า
“แต่เจ้าไม่คิดบ้างรึ หนานอวี่สิง… คู่ควรให้ข้าลงมือเต็มที่หรือ?”
ใจของหนานอวี่สิงถึงกับสะท้านในทันใด
ลงมือเต็มที่…
ไม่ต้องพูดถึงหนานอวี่สิง ต่อให้เป็นเขาก็ยังไม่คู่ควรเลย!
แต่ว่า…ถ้าเป็นแบบนี้ หนานอวี่สิงก็เป็นอันจบสิ้นจริงๆ แล้วอย่างนั้นหรือ
อวี่สิงร้องขอความตายทั้งใจ ต่อให้ฟื้นฟูวรยุทธ์กลับมาได้สามส่วน เกรงว่าก็คงรับไม่ไหวอยู่ดี
คนที่หยิ่งทะนงในตัวเองมาแต่เล็กจนโต จะไปยอมรับได้อย่างไรว่าตนกลายเป็นคนพิการไร้ค่าไปเสียแล้ว?
เขามิอาจยอมรับได้ด้วยซ้ำว่าตนกลายเป็นแค่คนธรรมดาไปแล้ว
สองสถานการณ์เช่นนี้สำหรับคนเช่นเขาแล้ว ล้วนเป็นความเจ็บปวดไม่ต่างกัน
“แบบนั้น…ก็ไม่ได้แล้วสินะ…”
แต่ว่าก็ยังไม่ได้อยู่ดี!
ยามคิดถึงภาพฉากที่หนานอวี่สิงขอร้องให้เขาลงมือ ใจของเขาก็สั่นไหวอย่างห้ามไม่อยู่
ในใต้หล้านี้ เกรงว่าจะไม่มีบิดามารดาคนใดยอมรับเรื่องพวกนี้ได้
“หรงซิว…ต่อให้เป็นข้าก็ไม่อาจลงมือกับเขาโดยง่าย บุตรสาวบุตรชายสองคนนั้นของเจ้าช่างบ้าดีเดือดยิ่งนัก พากันดาหน้าไปยั่วยุเขาคนแล้วคนเล่า? ช่างรนหาที่ตายให้ตัวเองเสียจริง”
สุ้มเสียงนั้นแฝงแววเยาะเย้ยจางๆ
“เรื่องนี้มีแต่ต้องโทษตัวพวกเขาเองแล้ว”
สีหน้าของหนานอีฝานขาวซีด ริมฝีปากแห้งแตกสั่นระริกอย่างรุนแรง
เรื่องพวกนี้เขาล้วนรู้ดี!
เพียงแต่ว่า…
เขาจะไปคาดถึงได้อย่างไรว่าอวี่สิงและอีอีจะไปปะเข้ากับหรงซิวที่สุสานสังหารเทพ!
ถึงขั้นสรรหาเหตุผลต่างๆ นานาไปหาเรื่องพวกเขา!
ต่อให้เขาจะพยายามชดใช้อย่างสุดความสามารถหลังจากรู้เรื่องราวทั้งหมด แต่เห็นได้ชัดว่ามันก็ไม่ได้ผลอยู่ดี
“หรือว่า…จะไม่มีวิธีแล้วจริงๆ หรือ…”
หนานอีฝานพึมพำด้วยความสิ้นหวังเต็มเปี่ยม
“ความจริงก็ใช่ว่าจะไม่มีหนทางสะดวกเลยเสียทีเดียว เพียงแต่ต้องดูว่าเจ้ายอมหรือไม่”
สุ้มเสียงนั้นเอ่ยอย่างเรียบเรื่อย
หนานอีฝานเงยศีรษะขึ้นมาทันควัน
“ท่านเจ้าสำนักโปรดชี้แนะ!”
อีกฝ่ายคล้ายจะหัวเราะขึ้นมาอีกครา ทว่ามิได้ตอบคำถามนี้แต่อย่างใด แต่เปลี่ยนหัวข้อไปถามเขาข้อหนึ่งแทน
“หากจำไม่ผิดแล้วล่ะก็ วรยุทธ์ของบุตรสาวเจ้าผู้นั้น…ดูจะไม่เลวทีเดียว?”
ทันใดนั้นเขาเหมือนนึกอะไรบางอย่างได้ ตาจึงเบิกกว้างขึ้นมาทันใด
ประเดี๋ยวก่อน!
หรือว่าความหมายของเจ้าสำนักคือ…
ครานี้ เสียงหัวเราะของอีกฝ่ายฟังดูรื่นเริงใจยิ่งนัก
“เจ้าฉลาดมาก พวกเขามีความสัมพันธ์ระหว่างสายเลือดก็เลยสะดวกขึ้นมาก หากนำวรยุทธ์ของบุตรสาวเจ้าสับเปลี่ยนไปให้บุตรชาย บุตรชายเจ้าก็จะฟื้นฟูวรยุทธ์ขึ้นมาใหม่ได้ เพียงแต่ว่าต่อจากนี้บุตรสาวเจ้าก็จะกลายเป็นคนพิการไปโดยสิ้นเชิงแทน”
“จะเลือกอย่างไร ทั้งหมดก็สุดแล้วแต่เจ้า เจ้าไปคิดดูเอาเองเถอะ”
คำพูดสบายๆ ไม่กี่ประโยคกลับเป็นดั่งหินอันหนักหน่วนที่กดทับลงตรงอกของหนานอีฝานอย่างรุนแรง
คนหนึ่งคืออวี่สิง อีกคนหนึ่งคืออีอี
จะคนหน้าคนหลังก็ล้วนแต่เป็นบุตรตัวเองทั้งนั้น เขาจะไปเลือกอย่างไรกัน!
หนานอีฝานคุกเข่าอยู่ตรงนั้น สองมือยันพื้นเอาไว้ เพราะว่าออกแรง นิ้วมือจึงขาวซีดไปทั่ว
“ความอดทนข้ามีจำกัด”
สุ้มเสียงนั้นเอ่ยเร่งอย่างเกียจคร้าน
ในที่สุด หนานอีฝานก็หลับตาลง
“แลก!”
อีอี เป็นพ่อที่ทำผิดต่อเจ้า
แต่พี่ใหญ่ของเจ้า…มิอาจอยู่อย่างไร้ค่าเช่นนี้ได้จริงๆ!
หนานอีฝานใจเจ็บแปลบจนแทบหน่วงชา
สุ้มเสียงนั้นกลับหัวเราะขึ้นมาทันใด
“ช่างเถอะ อยู่ที่นี่เจ้าไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้ เจ้าทุ่มเทแรงกายและความหวังไปให้หนานอวี่สิงมากกว่า หากเขาทำไม่ได้แล้ว ภายหลังตำแหน่งประมุขตระกูลของเจ้าจะช้าหรือเร็วก็ต้องตกอยู่ในมือผู้อื่น ดังนั้น เจ้าต้องช่วยหนานอวี่สิง ตัวเลือกนี้ง่ายถึงเพียงนั้น มีอันใดให้เจ้าต้องรู้สึกอับอายนัก?”