ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1817 บอกกล่าว
ตอนที่ 1817 บอกกล่าว
………………..
คำพูดนี้เหมือนคมมีดแหลมคมที่กรีดเอาปราการสุดท้ายที่หนานอีฝานปิดบังอย่างรุนแรงเสียจนเนื้อหนังฉีกขาด หยดโลหิตรินไหลจากภายใน!
ร่างกายของเขาสั่นเทิ้ม สีหน้ากลับทวีความซีดเผือดยิ่งกว่า
แต่ว่ากระทั่งตัวเขาเองก็ต้องยอมรับว่าอีกฝ่ายพูดถูกต้อง
หลายปีมานี้ แม้นมองดูผิวเผินเขาจะเอ็นดูหนานอีอีมากกว่า แต่ความเป็นจริงแล้ว เขามอบความหวังที่แบกรับเอาภาระอันหนักอึ้งไปให้ตัวหนานอวี่สิง
หากหนานอวี่สิงตายไป ความลำบากเมื่อสิบกว่าปีก่อนของเขาก็ล้วนสูญเปล่าจนหมดสิ้น!
ดังนั้นตอนนี้เขาก็ยังตัดสินใจเลือกเรื่องที่ยากเย็นหาสิ่งใดเปรียบได้ในท้ายที่สุด
หนานอีฝานทรุดตัวลงกับพื้น พละกำลังในร่างกายทั้งหมดราวกับถูกคนสูบออกก็มิปาน ทั่วทั้งร่างปกคลุมไปด้วยไอแห่งความยอมแพ้แลสิ้นหวังชั้นหนึ่ง
“เจ้าตัดสินใจได้ฉลาดแล้ว”
อีกฝ่ายกล่าวชมเชย
หนานอีอีสูดลมหายใจเข้าปอด เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนแรงว่า
“ข้า…ข้าอยากกลับไปคุยกับอีอีก่อน…”
“ทำไมต้องทำเรื่องให้ยุ่งยากขนาดนั้นด้วย”
อีกฝ่ายขัดคำพูดของเขา
“ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นคนฉลาด เพราะฉะนั้น…ข้าเลยพาตัวหนานอีอีมาให้แล้ว”
หนานอีฝานเงยหน้าขึ้นทันที!
สายลมสายหนึ่งพัดผ่านวูบ ต้นกกสั่นไหว
ภายใต้ความลึกล้ำของหนองน้ำอันดำมืด กลุ่มหมอกดำห่อหุ้มร่างคนผู้หนึ่งบินทะยานขึ้นมาทางนี้!
หลังตกตะลึงครู่หนึ่ง ในใจหนานอีฝานพลันบังเกิดอารมณ์โทสะรุนแรงอย่างห้ามไม่ได้
นี่เขาวางแผนคิดจะใช้อีอีมาแต่แรกแล้วอย่างนั้นหรือ?
“ไม่ต้องรีบโมโหไปหรอก บุตรสาวหัวแก้วหัวแหวนคนนี้ของเจ้ามีอารมณ์หลากหลายยิ่งนัก ตอนที่ข้าเจอนางหาใช่ที่ตระกูลหนานไม่ หากแต่เป็นที่ยอดเขาสักลูกที่ไม่ห่างจากพระราชวังเมฆาสวรรค์มากนัก”
“จนป่านนี้แล้ว นางยังคิดว่าจะยังใช้พลังตัวเองมาแก้แค้นได้อีก”
หนานอีฝานเม้มปากแน่น ไม่ได้พูดอะไร
นี่เป็นเรื่องที่หนานอีอีก่อขึ้นมาโดยแท้
เมื่อก่อนนางดื้อรั้นเอาแต่ใจไปหน่อย ส่วนเขาอย่างมากก็แค่ดุไปสองสามประโยค ไม่เคยยึดถือเป็นจริงเป็นจัง
อาจเป็นเพราะเหตุผลนี้ นางถึงได้เติบโตมาอย่างไร้เดียงสาจนไปทำตัวโง่งม
เขามองไปยังหนานอีอีที่ถูกกักขังอยู่ในหมอกดำ
ในตอนนั้น สองตาของนางปิดสนิทราวกับหมดสติไป
จากนั้น หนานอีอีก็นิ่วหน้าเหมือนสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง
แพขนตาของนางขยับไหวน้อยๆ
เป็นเชิงว่าใกล้ได้สติเต็มที
“เจ้ายังอยากพูดอะไรกับนางสักสองสามคำหรือไม่”
สุ้มเสียงนั้นเอ่ยถาม
หนานอีฝานกำหมัดแน่นจนเสียงกระดูกดังลั่น
กร๊อบ!
ในที่สุด เขาก็ปล่อยมืออย่างหมดแรง
“ไม่จำเป็น”
คำสองคำที่หลุดออกมาราวกับใช้พลังจากทั่วทั้งร่างของเขาจนหมดสิ้น
เบื้องหน้าของหนานอีฝานพลันมืดสนิท หมดสติไปทั้งอย่างนั้น
…
ณ พระราชวังเมฆาสวรรค์
เหตุการณ์พลิกผันเล็กน้อยมิอาจดึงความสนใจจากบรรดาฝูงชนได้
การปรากฏตัวของอี้เจาและโหมวเจินทำให้บรรยากาศภายในตำหนักศักดิ์สิทธิ์เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
คนจำนวนมากต่างเพิ่มการระวังตัวมากกว่าเก่า
แท้จริงแล้วภายในนี้มีคนอยู่ไม่น้อยหวังฉวยโอกาสนี้เข้ามาประชิดทำตัวสนิทสนม สานสัมพันธ์แน่นแฟ้น
อย่างไรเสียตามปกติพวกเขาไม่มีโอกาสแม้แต่จะได้เจอหน้าสองท่านนี้ด้วยซ้ำ
บัดนี้ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้พบ ย่อมไม่อยากเสียโอกาสไปเปล่าๆ
แต่กับเรื่องนี้นั้น พูดง่ายแต่ทำยากนัก
เพราะคนในตำหนักศักดิ์สิทธิ์มีมากเกินไป
อีกทั้งผู้ที่มาปรากฏตัวที่ตำหนักได้ เดิมล้วนเป็นบุคคลที่มีหน้ามีตาในอาณาจักรเสิ่นซวี่
พวกเขาล้วนรู้แก่ใจดีว่าเวลานี้ใครเริ่มก่อน ก็จะตกเป็นจุดสนใจที่สุดอยู่ดี
พูดไปแล้ว ต่อให้สามารถเสี่ยงออกหน้าไปพูดต่อหน้าบรรดาฝูงชนได้สองสามประโยค ก็ยังต้องเผชิญกับปัญหาที่ตึงเครียดอย่างยิ่งอยู่ดี
อี้เจาและโหมวเจินนั่งอยู่ตรงข้ามกัน
คราวนี้จะเริ่มเข้าหาใครก่อน เข้าหาใครหลัง?
แม้ดูแล้วบรรยากาศของทั้งสองฝ่ายในตอนนี้ดูสมัครสมานกลมเกลียวนัก
แต่ผู้คนในที่แห่งนี้ล้วนแต่ฉลาดเฉลียว พวกเขาไม่คิดจริงๆ หรอกว่าเผ่าไท่ซวีเฟิ่งหลงกับหงส์ทองคำจะสนิทสนมดุจครอบครัวเดียวกันได้ในภายหลัง!
เอาใจคนหนึ่ง ก็ยากจะหลีกเลี่ยงการล่วงเกินอีกผู้หนึ่ง
ทั้งสอฝ่ายมีพละกำลังพอกัน ไม่ว่าฝ่ายไหนก็ไม่ใช่คนที่พวกเขาจะไปยุแหย่ด้วยได้!
ไม่รู้ว่านางใช้วิธีการใดกันแน่ ถึงได้มีความสัมพันธ์อันดีกับสองเผ่านี้ในเวลาเดียวกันได้!
…
พวกเฉินอีนั่งอยู่รวมกันที่มุมหนึ่งอันห่างออกไปเล็กน้อยภายในโถงตำหนัก
พวกเขาเองก็ได้รับเชิญให้มาเป็นแขกในงานเลี้ยงครั้งนี้เช่นกัน
เดิมทีนั้น ฉู่หลิวเยว่คิดจะจัดแจงให้พวกเขามานั่งแถวหน้า
อย่างไรเสียคนฝั่งนางเดิมก็มีไม่มาก อีกทั้งพวกเฉินอีต่างก็ติดตามนางมาหลายปีตั้งแต่นางเกิดจนสิ้นชีวิต
ความสำคัญของสิบสามผู้พิทักษ์เยว่ในใจนางนั้นไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าคนในครอบครัว
ไม่สิ ควรจะพูดว่านางมองพวกเขาเป็นคนในครอบครัวของตนมาตั้งนานแล้ว
นางจึงอยากให้สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับพวกเขา
หากแต่ข้อเสนอนี้กลับถูกเฉินอีปฏิเสธไปอย่างสุภาพ
ฉู่หลิวเยว่เองก็ถามถึงเหตุผล ทว่าเฉินอีตอบเรียบๆ ไปประโยคหนึ่งแค่ว่า “ไม่ชอบความวุ่นวาย”
ฉู่หลิวเยว่เข้าใจนิสัยของพวกเขาดี รู้ว่าพวกเขาไม่ค่อยชอบเป็นจุดสนใจของผู้คนเท่าไรนัก หากอยู่ข้างหลังคงจะสะดวกใจมากกว่า
หลังจากครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง นางก็ตอบตกลง
“เฮ้อ เมื่อใดผักของข้าจะโตสักทีนะ…”
สือฟางจ้องมองอาหารเลอรสหลากหลายชนิดเบื้องหน้า ทว่ามิได้อยากอาหารด้วยสีหน้าขมขื่น
อู่เหยากับอวี๋จิ่วนั่งกินอาหารอย่างมีความสุขอยู่ข้างๆ ไม่ได้สนใจเขาแม้แต่น้อย
น้องแปดกินไปได้นิดเดียวก็วางตะเกียบแล้ว
สือฟางรู้สึกซาบซึ้งใจนัก
“พี่แปด ท่านก็รู้สึกว่าอาหารที่ข้าทำอร่อยที่สุดเหมือนกันใช่หรือไม่?”
น้องแปดเท้าคางพลางเอ่ยตอบด้วยเสียงเกียจคร้าน
“เปล่า ข้าลดความอ้วนอยู่”
สือฟาง “…”
สีหน้าของเฉินอีเรียบเรื่อยไร้อารมณ์ดั่งเคย
เขาไม่เคยใส่ใจเรื่องเล็กพวกนี้มาแต่ไหนแต่ไร
น้องสิบสามกินของว่างไปคำหนึ่ง ก่อนจะเขยิบเข้ามาใกล้ๆ อย่างอดไม่ได้แล้วถามว่า
“พี่ใหญ่ ท่านคิดจะบอกเรื่องนั้นกับนายหญิงเมื่อใดหรือ?”