ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1818 ดื่มสุรา ตอนที่ 1819 แต่งงานใหม่
ตอนที่ 1818 ดื่มสุรา
เฉินอีมองเขาแวบหนึ่ง
“กินข้าวให้มันดีๆ”
สิบสามหดคอกลับไปก่อนตอบอย่างรู้ความ
“อ้อ”
ดูเหมือนพี่ใหญ่จะยังไม่อยากบอกตอนนี้…
แต่ว่าพี่ใหญ่มักวางแผนกลยุทธ์ในกระโจมค่ายมาแต่ไหนแต่ไร ย่อมต้องตัดสินใจไว้แล้ว คงไม่ต้องถึงมือเขาให้กังวล
สายตาของสิบสามเลื่อนลงไปหยุดตรงจอกสุราด้านข้าง
ด้านในจอกเปี่ยมด้วยสุราสีใสกระจ่าง แสงอาทิตย์สะท้อนบนคลื่นผิวน้ำเป็นแววระยิบระยับ
เขาเลียริมฝีปาก แววตาฉาบไปด้วยความใคร่รู้อยู่หลายส่วน
“พี่ใหญ่ ข้าดื่มสุราได้หรือไม่?”
เฉินอีไม่แม้แต่จะหันศีรษะกลับมาด้วยซ้ำ
“ไม่ได้”
สิบสามเดาผลลัพธ์นี้ได้อยู่ก่อนแล้ว แต่ก็ยังลองโลเลดิ้นรนอีกรอบ
“เช่นนั้น…แค่อึกเดียว?”
เฉินอีมองเขาแวบหนึ่ง
“วิ่งชนะข้าได้เจ้าค่อยดื่ม”
สิบสามรู้สึกห่อเหี่ยวขึ้นมาโดยพลัน
พี่ใหญ่ก็พูดแบบนี้ทุกครั้ง!
อยากแข่งวิ่งชนะพี่ใหญ่…ใครจะไปรู้ว่าชาติไหนถึงจะชนะ!
ยามเห็นสีหน้าท่าทางผิดหวังของเขา สือฟางพลันรู้สึกทนไม่ได้
“พี่ใหญ่ น้องสิบสามยังเป็นแค่เด็กหนา! ให้เขาดื่มสักอึกคงไม่เป็นไรหรอก! พวกเราก็อยู่กันตั้งเยอะแยะ!”
นัยน์ตางดงามของน้องแปดเป็นประกายแวววับ นางหันไปชูนิ้วโป้งให้สือฟาง
ใจกล้าไม่เบาเลย
ไม่เพียงแต่กล้าออกความเห็นกับพี่ใหญ่ ยังกล้าออกความเห็นเกี่ยวกับอนุญาตให้น้องสืบสามดื่มสุราด้วย
สือฟางถูกนางมองแบบนั้น ใจพลันเต้น “ตึกตัก” จากนั้นถึงได้นึกถึงเรื่องน่าอดสูในอดีต จึงรีบแก้ตัวว่า
“ไม่ใช่นะ ความหมายของข้าก็คือ หากพี่ใหญ่คิดว่าไม่เหมาะสม เช่นนั้นก็ช่างมันเถิด! ช่างมัน! สิบสาม หากเจ้าอยากลองดื่มสุราจริงๆ พี่สิบบ่มสุราข้าวหมักให้เจ้าดื่มเป็นอย่างไร?”
สิบสามแสดงสีหน้าอับจนคำพูดออกมาอย่างหาดูได้ยาก
น้องแปดกลอกตาอีกรอบ
อู่เหยาเองก็หยุดมือที่คีบตะเกียบในที่สุด
อวี่จิ่วจิ้มตัวเขา
“สิบสามทึ่มทื่อไปแล้ว สือฟางเองก็เลอะเลือนรึนี่?”
สือฟางคงไม่ได้ปลูกต้นโง่ไปด้วยตอนทำสวนหรอกกระมัง?
คำพูดเทือกนั้นยังพูดออกมาได้
อู่เหยากลืนเนื้อคำสุดท้ายลงคอด้วยความรู้สึกเสียดาย
“อาหารมื้อนี้อร่อยจริงๆ”
น่าเสียดายที่วันนี้กินต่อไม่ไหวแล้ว
“สือฟาง”
“ห้ามกินข้าวหนึ่งเดือน”
ใบหน้าของสือฟางแตกสลายในพริบตา
“ไม่ใช่นะ พี่ใหญ่ ข้าไม่ได้หมายความว่าแบบนั้นจริงๆ! ท่านก็ฟังแล้วปล่อยผ่าน อย่าไปใส่ใจมันนักซี! ผักที่ข้าปลูกเอาไว้อีกไม่กี่วันก็กินได้แล้วนะ!”
ต้องเข้าใจก่อนว่าก่อนหน้านี้เขาหิวมานานแล้ว!
หากยังต้องรออีกหนึ่งเดือน เขาจะไปอยู่รอดได้อย่างไรกัน?
ทว่าเฉินอีมิได้สนใจความเป็นความตายของเขาแม้แต่น้อย
สิบสามเผยสีหน้าเศร้าสร้อยอยู่หลายส่วน
“พี่สิบ ข้าขอโทษ…”
หากมิใช่เพราะช่วยพูดให้เขา พี่สิบก็คงไม่ต้องถูกลงโทษเช่นนี้
ชั่วขณะนั้นสิบสามทั้งรู้สึกเศร้าทั้งรู้สึกผิด
เขาก็แค่อยากลองสักหน่อยก็เท่านั้นเอง…
“นายหญิงไม่ชอบเวลาเจ้าดื่มสุรา”
เฉินอีพลันเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย
สิบสามถึงกับตกตะลึง หันศีรษะมองเขาอย่างประหลาดใจ
“จริงหรือ”
ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยได้ยินนายหญิงพูดมาก่อน
เฉินอีขมวดคิ้ว
“ครั้งก่อนเจ้าไม่ระมัดระวัง ดื่มสุราเข้าไป นายหญิงกังวลใจอยู่หลายวัน”
จู่ๆ ใบหน้าของเฉินอีก็แดงระเรื่อ
แม้นเรื่องนี้จะผ่านไปหลายปีแล้ว ส่วนตัวเขาเองก็จำไม่ค่อยได้ว่าตอนนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่หากมันทำให้นายหญิงต้องเป็นกังวล…เช่นนั้นไม่อยากดื่มแล้วก็ได้
สิบสามก้มศีรษะยอมรับผิดแต่โดยดี
เฉินอีผงกศีรษะอย่างพออกพอใจ
เรื่องนี้จึงนับว่าเปิดเผยแล้ว
คนที่เหลือต่างสบตากันไปมา
จิ๊
น้องสิบสามช่างน่าสงสารเกินไปแล้ว
ความจริงแล้วนายหญิงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาดื่มสุรา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงชอบหรือไม่ชอบเลย
พูดถึงจอมวางแผน ใครกันจะไปสู้พี่ใหญ่ได้?
เจ้าเด็กน้อยที่น่าสงสาร
เฉินอีเหลือบตาขึ้นมองไปทางฉู่หลิวเยว่ที่นั่งอยู่ตรงเก้าอี้ตัวซ้ายด้านบน
ตอนที่ 1819 แต่งงานใหม่
นางสวมชุดเจ้าสาวสีแดงสด ศีรษะประดับมงกุฎหงส์ ดวงหน้าดุจภาพวาด งดงามดั่งหยกเย็นที่เกลี้ยงเกลา
ประกายแสงโดยรอบทั้งหมดราวกับสาดส่องลงบนร่างของนาง สวยหยดย้อยตระการตา มิมีสิ่งใดงามมากไปกว่านี้
เฉินอีคลี่ยิ้ม ก่อนจะเบนสายตากลับมา
…
งานเลี้ยงใหญ่โตยังคงดำเนินรื่นเริงต่ออยู่นานทีเดียว
หลังจากอี้เจาและโหมวเจินนั่งอยู่ได้สักพัก ก็ขอตัวออกจากงานเลี้ยงไปก่อน
พวกเขาติดต่อกับเผ่ามนุษย์ไม่บ่อยมาแต่ไหนแต่ไร ครั้งนี้ก็เพราะหรงซิวและซั่งกวนเยว่ถึงได้มาร่วมงาน ซึ่งเห็นได้ยากมากแล้ว
อี้เจาเป็นพวกไม่ชอบบรรยากาศคนมากวุ่นวายเป็นทุนเดิม เมื่อเห็นว่าถวนจื่อสบายดีจริงๆ จึงวางใจ จากนั้นก็พาผู้อาวุโสอี้อวี่แล้วขอตัวลาไปก่อน
ด้วยถูกขังอยู่ในเสามังกรเคลื่อนมาหมื่นปี เขาเผชิญกับความโดดเดี่ยวและเหงาใจมามาก ยิ่งไปกว่านั้นช่วงนี้ต้องสาละวนยุ่งอยู่กับการจัดการปัญหามากมายที่โหมวหยางทิ้งเอาไว้ ยากที่จะทำตัวเอื่อยเฉื่อย จึงอยู่สังสรรค์ที่นี่นานกว่าเดิมอีกหน่อย
จนกระทั่งเวลาบ่ายคล้อย เขาจึงขอตัวจากไป
หลังจากทั้งสองคนจากไป บรรยากาศภายในตำหนักศักดิ์สิทธิ์ก็นับว่าเข้าสู่ภาวะปกติ
หลายคนพรูลมหายใจอย่างโล่งอก แต่ในใจก็ใช่ว่าจะไร้ความเสียดาย
จะเจอสองผู้นั้นได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ทว่าแม้แต่ประโยคเดียวก็ไม่ทันได้ปราศรัย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผูกไมตรีด้วยเลย
เห็นได้ชัดว่าพวกเขามางานอภิเษกสมรสในวันนี้ก็เพื่อให้การสนับสนุนสองคนนั้น
ยามเจอเหตุการณ์เช่นนี้ นอกจากจะคอยอิจฉาตาร้อนแล้วยังทำอะไรได้อีกเล่า?
ภายหลัง กลุ่มฝูงชนจึงทยอยขอตัวลา จนถึงช่วงพลบค่ำโดยประมาณ บรรดาแขกเหรื่อก็จากไปจนหมดแล้ว
ยามค่ำยังมีการจุดดอกไม้ไฟยิ่งใหญ่ตระการตาให้ชมอีกด้วย
บรรดาฝูงชนล้วนรวมตัวกันอยู่หน้าลานตำหนักศักดิ์สิทธิ์
บนผืนฟ้าสีดำสนิทยามราตรี ดอกไม้ไฟสว่างสดใสนับไม่ถ้วนปะทุออก ดูแล้วเปล่งประกายเรืองรองยิ่ง
ทั่วทุกจุดของพระราชวังเมฆาสวรรค์จุดตะเกียงไฟให้แสงเรืองวาบ ภายในวังยังฉาบไปด้วยบรรยากาศที่ผู้คนส่งเสียงโห่ร้องอย่างกระตือรือร้น
ฉู่หลิวเยว่ผินหน้ามองดูภาพฉากที่ว่า
หรงซิวปรายตามองนาง
ดวงหน้าที่สะท้อนประกายแสงจากดอกไม้ไฟเกลี้ยงเกลาดุจหยก ตัดกับนัยน์ตาดำขลับดั่งหยกดำคู่นั้นที่เปี่ยมด้วยสายธารนภสินธุ์ก็มิปาน
เขากุมมือนางแน่น สิบนิ้วเกี่ยวพันรัดรึง
“เยว่เออร์ คิดอันใดอยู่หรือ”
ฉู่หลิวเยว่เบนสายตากลับมามองเขา
“คิดถึงเจ้า”
ริมฝีปากแดงระเรื่อยกขึ้นน้อยๆ คลี่แย้มเป็นรอยยิ้ม ดวงตาวาดเป็นโค้งสวย
หรงซิวถึงกับใจกระตุก นิ่งอึ้งไปในพริบตา
ไม่มีคำพูดแบบใดที่ทำให้จิตใจสั่นไหวได้เท่าประโยคที่นางพูดเมื่อครู่แล้ว
ทันใดนั้น แววตาของเขาพลันเรืองวาบ ก่อนขยับเข้าไปใกล้อีกหน่อย
“เจ้าพูดว่าอันใดนะ?”
ฉู่หลิวเยว่เลิกเรียวคิ้วดำขลับ ทว่ามิยอมตอบไป ทำเพียงแค่มองเขายิ้มๆ เท่านั้น
หรงซิวใช้ท้องนิ้วสากปัดป่ายบนมือนางเบาๆ แล้วเอ่ยเป็นเชิงเย้าแหย่ว่า
“เยว่เออร์ พูดอีกสักรอบเถอะ เมื่อครู่สามีได้ยินไม่ชัด”
รอยยิ้มของฉู่หลิวเยว่ลึกล้ำกว่าเก่า
ได้ยินไม่ชัด แต่ยังพูดว่า “สามี” น่ะหรือ
เมื่อเห็นว่านางไม่ยอม นัยน์ตาหงส์ของหรงซิวพลันเข้มขึ้น
ทันใดนั้น ดวงหน้าหยาดเยิ้มชวนลุ่มหลงก็ปรากฏรอยยิ้มแฝงความนัยลึกล้ำ
เขาจูงมือนางก่อนหมุนกายเตรียมเดิน
เยี่ยนชิงที่ยืนอยู่ข้างกันเห็นดังนั้นก้าวรุดหน้าพลางเอ่ยถามทันที
“ฝ่าบาท?”
หรงซิวเลิกคิ้ว ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย
“ข้าเมาแล้ว ขอกลับไปพักผ่อนก่อน”
ใบหน้าของฉู่หลิวเยว่แดงเถือกขึ้นมาทันที
สภาพเขาเหมือนคนเมาที่ไหนกัน!
จริงอยู่ที่ก่อนหน้านี้หรงซิวดื่มสุราไปไม่ใช่น้อย แต่อีกฝ่ายยังพูดกับนางตาใสแจ๋ว เผลอครู่เดียวก็บอกตัวเองเมาแล้ว ใครจะเชื่อ?
เยี่ยนชิงยังอยากถามต่ออีกสักหน่อย กลับถูกอวี๋โม่ที่อยู่ด้านหลังดึงขัดเอาไว้ทันที
เยี่ยนชิงชักสายตากลับมาในทันใด ใบหน้าเย็นยะเยือกดั่งภูเขาน้ำแข็งปรากฏร่องรอยกระดากอายจางๆ
เขาลืมไปแล้วจริงๆ นะนี่…
“คิก”
พลันมีเสียงหัวเราะน้อยๆ ของสตรีดังแว่วมาจากด้านข้าง
“ที่แท้ใต้เท้าเยี่ยนชิงก็มีตอนที่สมองกลับด้วย”
เยี่ยนชิงหันศีรษะกลับมามอง ผู้พูดคือสตรีสวมชุดกระโปรงยาวสีสดผู้หนึ่ง
เขาจำได้ว่าสตรีผู้นี้คือหนึ่งในองครักษ์ของพระชายา
เมื่อได้ยินอีกฝ่ายหัวเราะเยาะเขาก็หาได้สนใจ ไม่นานก็เบนสายตากลับไป
ก่อนจะปั้นสีหน้าเรียบนิ่งดังเดิม
น้องแปดแค่นหัวเราะเย็นเยียบในใจ ก้าวเดินไปข้างหน้าทื่อๆ แล้วโบกมือไปมาผ่านหน้าเขา
“ข้าพูดกับเจ้าอยู่นะ!”
ยามนางเข้าใกล้ กลิ่นหอมสายหนึ่งก็ปะทะเข้ามา แขนเพรียวดุจรากบัวหยกที่ส่ายไปมาตรงหน้าทำให้กระดิ่งที่ห้อยด้วยเชือกสีสดบนข้อมือผอมส่งเสียงดังกรุ๋งกริ๋ง
เยี่ยนชิงขมวดคิ้ว ถอยหลังไปครึ่งก้าว
“แม่นางแปด กลางคืนลมภูเขาหนาวเย็น ควรสวมชุดให้หนาชิ้นเข้าไว้”
ประโยคนี้ทำเอาน้องแปดโมโหเกือบตาย
นี่กำลังแอบค่อนขอดชุดแต่งกายของนางหรือ?
นางสวมชุดแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไร ดูงดงามขนาดนี้!
บุรุษทั่วไปเห็นนางแต่งกายเช่นนี้ต่างก็ตาลุกวาวกันทั้งนั้น ไม่มีผู้ใดไม่หลงเสน่ห์นาง แต่เยี่ยนชิงผู้นี้ดีงามนัก ไม่เพียงแต่เมินคำถามนาง ยังเพิกเฉยนางอีก!
“ข้าสวมชุดเช่นนี้ดีอยู่แล้ว! ไม่จำเป็นต้องให้เจ้ามายุ่ง!”
ยามน้องแปดโกรธเกรี้ยวก็ยังคงงดงาม แม้จะถลึงตาก็ยังคงแฝงความเย้ายวนไว้ถึงสามส่วน
ดังนั้นสำหรับเยี่ยนชิงแล้ว สายตาพิฆาตของนางแทบไม่มีพลังทำลายล้างเลยแม้แต่น้อย
เขาผงกศีรษะรับ
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นเยี่ยนชิงขอตัวลาไปก่อน แม่นางแปดชอบใจก็เป็นอันใช้ได้”
พูดจบ ก็หมุนกายเดินจากไปทันที
ทิ้งให้น้องแปดอยู่ในพายุความโกลาหลคนเดียว
“พี่แปด นี่เป็นครั้งแรกที่มีบุรุษหักหน้าท่านกระมัง?”
สือฟางขยับเข้ามาใกล้ๆ ใช้สายตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสนุกสนานมองเยี่ยนชิงจากที่ไกลๆ รอบหนึ่ง
“สมแล้วที่เป็นคนสนิทของพระโอรส ฉลาดหลักแหลม แรงใจกล้าแกร่ง เฮ้อ พี่แปด”
ปึก!
น้องแปดสะบัดหลังมือเข้าปะทะใบหน้าของสือฟางอย่างรุนแรง
สือฟางร้องครวญออกมาอย่างน่าอนาถ แทบจะร้องขอความเมตตาอยู่รอมร่อ
“เจ้าไม่พูด ก็ไม่มีใครหาว่าเป็นใบ้หรอกหนา!”
น้องแปดทิ้งท้ายไว้ ก่อนเดินเหินจากไปดั่งเมฆสีชมพูลอยคว้าง
สือฟางเจ็บระบมไปทั้งหน้าด้วยถูกตีจนน้ำตาร่วง เสียงที่หลุดลอดออกมาน่าสงสารนัก
“พี่แปด…”
เขาก็แค่พูดไปเรื่อยเท่านั้นเอง…
อวี่จิ่วเข้ามาลูบไหล่เขาอย่างเห็นใจ
“สือฟาง กลับไปทำสวนเถอะ กินข้าวเยอะๆ พูดให้มันน้อยๆ หน่อย อ้อ จริงสิ ข้าลืมไปว่าเจ้าห้ามกินข้าวหนึ่งเดือน”
จิ๊!
ช่างน่าสงสารเสียจริง
ชุดคลุมสีเขียวสะบัดปลิวไปตามแรง
“เล่นสนุกจนพอใจก็กลับไปฝึกฝนได้แล้ว”
“ขอรับ!”
…
หรงซิวพาฉู่หลิวเยว่กลับมายังตำหนักสักการะเทพ
ลมหุบเขาพัดกระทบหน้า ขจัดความร้อนไปได้หลายส่วนอย่างง่ายดาย
แต่ใจของฉู่หลิวเยว่ยังคงเต้นระรัวเร็วอยู่ดี
โชคยังดีที่หลังเริ่มจุดดอกไม้ไฟได้ไม่นาน พวกองค์ไท่จู่ก็ขอตัวทยอยกลับไป มิเช่นนั้นแล้วฉากนี้…
“หรงซิว”
ด้วยเพราะงานอภิเษกสมรส ตำหนักสักการะเทพฟากนี้เองก็ล้วนตกแต่งอย่างหรูหราและเลอค่าไปทั่วทุกมุม
โคมชาววังแก้วหลากสีแขวนห้อยไปทั่ว แสงสลัวที่สาดออกมาสะท้อนเป็นประกายระยิบระยับ
“คารวะฝ่าบาท! พระชายา!”
องครักษ์เกราะดำที่รักษาการณ์ทยอยคำนับ
ฉู่หลิวเยว่กลืนคำพูดที่เหลือลงคอ เดิมตามหรงซิวอย่างว่าง่ายไปยังโถงหลักของตำหนักสักการะเทพ
ที่นี่คือที่พำนักของหรงซิว ก่อนหน้านี้นางเองก็อยู่ที่นี่เป็นระยะเวลาหนึ่ง ดังนั้นจึงค่อนข้างคุ้นชินกับที่นี่
เพียงแต่ว่า…
หรงซิวที่เป็นแบบนี้ นางไม่ค่อยชินเท่าไรนัก
ภายในห้องถูกตกแต่งใหม่ไว้เรียบร้อยแล้ว
เตียงนอนปูผ้านวมลายมังกรและหงส์ไว้ก่อนแล้ว ม่านระย้าเองก็คลี่ห้อยลงมาเรียบร้อย
เทียนสีแดงจุดไฟสว่างไสว แสงเงาตกกระทบทับซ้อนไปมา
ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเหมือนปกคลุมไปด้วยไอคลุมเครืออันบรรยายได้ยาก
ฉู่หลิวเยว่มองดูอย่างตื่นตะลึงทีเดียว
แกร๊ก
ประตูห้องถูกงับลงกลอนในทันใด