ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1820 ค่ำคืนที่มิอาจนิทรา
ตอนที่ 1820 ค่ำคืนที่มิอาจนิทรา
………………..
ใจของฉู่หลิวเยว่พลันเต้นตามจังหวะลุกไหม้ของเปลวเทียน
ฝีเท้าที่ก้าวมาจากด้านหลังราวกับเหยียบลงกลางใจนางมิปาน
จนกระทั่งแขนคู่หนึ่งเข้าสวมกอดเอวนางจากข้างหลัง
หรงซิวรวบนางเข้าสู่อ้อมอก วางคางลงบนไหล่นางอย่างแผ่วเบา ก่อนถอนใจ
เสียงลมหายใจดังสะท้อนพอให้ได้ยินทั้งสองฝ่าย
บนตัวของเขายังคงติดกลิ่นสุรานำพาให้มอมเมา เมื่อผสมรวมกับกลิ่นหอมเย็นจางๆ แล้ว ราวกับสร้างแรงดึงดูดอันตรายที่มิอาจหักห้ามใจได้ขึ้นมา
ฉู่หลิวเยว่พลันรู้สึกสงบใจ
นางยื่นมือออกไปรวบมือของหรงซิวเข้าด้วยกัน
“เยว่เออร์”
เสียงของหรงซิวทุ้มต่ำน่าฟัง ทั้งติดเจือแววแหบพร่าอยู่หลายส่วน
“เจ้าเป็นของข้า”
ทั้งอ่อนโยน มั่นคง และแข็งแกร่ง
ฉู่หลิวเยว่รู้สึกราวกับมีอะไรบางอย่างเติมเต็มเข้ามาในจิตใจ
นางคลี่ยิ้มอ่อนโยน ขานรับว่า “อือ” คราหนึ่ง
“ข้าเป็นของเจ้า เจ้าเองก็เป็นของข้า”
พวกเขามีกันและกัน พวกเขาเป็นของกันและกัน
“ข้ารอวันนี้มานานเหลือเกิน นานยิ่งนัก…”
หรงซิวเอ่ยด้วยเสียงทุ้มต่ำ
ความเร็วในการพูดของเขาเชื่องช้ามาก ราวกับเมามายจริงๆ แล้วก็มิปาน ทั้งยังเหมือนกับกำลังนึกย้อนถึงอะไรบางอย่าง ความคิดที่ติดอยู่ในใจมานานนม
“เยว่เออร์ เจ้าเรียกข้าอีกรอบสิ”
หรงซิวกระซิบใกล้จนแทบแนบหูนาง
ดังนั้นทุกพยางค์ ทุกลมหายใจล้วนลอยเข้ามาในหูของนาง ตกลงกลางใจของนางครบถ้วน
ไอความร้อนตกกระทบลงบนใบหูและลำคอของนาง ชวนให้รู้สึกคันยุบยิบอยู่ไม่น้อย
นางหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้พลางหดคอ
“สามี? สามี? นับจากนี้เป็นต้นไปมีโอกาสให้ได้เรียกตั้งหลายครั้ง เจ้า”
หรงซิวพลันขบลงบนใบหูของนางเบาๆ
ปลายลิ้นม้วนตวัดเข้าหาน้อยๆ ทิ้งไว้ก็แต่ความร้อนระอุ
เสียงของนางถึงกับขาดหาย กลายเป็นเสียงครางเครือพึมพำแผ่วเบา
หรงซิวกอดนางแนบแน่นขึ้นกว่าเก่า เสียงของเขาแหบพร่ายิ่งนัก
สุ้มเสียงอันเลือนราง ดังดวงดาราที่แตกสลายเป็นประกายแสง
“แต่วันนี้ข้าอยากฟังเป็นพิเศษ…”
…
ราตรีที่มิอาจข่มตาหลับนอนได้ลงทั้งคืนก็ดำเนินไป
…
ณ สำนักหลิงเซียว
เวลาล่วงเลยไปจนดึกดื่นแล้ว ดวงจันทร์ทอแสงนวลสว่างไสว
ดั่งประกายแสงบนผิวน้ำที่ลอยเอื่อยอย่างเงียบงัน
ภายในห้อง คนผู้หนึ่งยืนผินหน้าไปทางหน้าต่างอยู่เพียงผู้เดียว
แสงจันทร์ที่ตกกระทบทำให้เงาของเขาทอดยาวออกไปนัก
โดดเดี่ยวแลเดียวดาย
ทันใดนั้นเอง ด้านหลังของเขาพลันบังเกิดแรงกระเพื่อมของความว่างเปล่า!
จากนั้น เงาร่างร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นภายในห้อง!
เป็นอี้เหวินจั๋วนั่นเอง
“น่ารังเกียจนัก!”
อี้เหวินจั๋วที่ออกมาจากความว่างเปล่าเอ่ยสบถออกมาอย่างห้ามไม่อยู่
สีหน้าเรียบเฉยของจวินจิ่วชิงเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว
เขาเลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ ก่อนหมุนกายมาคำนับ
“ท่านอาจารย์ ท่านกลับมาแล้ว”
บนดวงหน้างามหยดย้อยและน่าเกลียดน่ากลัวกลับกลายมาเป็นสีหน้าเรียบเฉยดั่งเดิม
หากแต่อี้เหวินจั๋วมิได้ใส่ใจเรื่องพวกนี้แม้แต่น้อย
เขาตบโต๊ะอย่างโกรธแค้นทีหนึ่ง
“ศิษย์อาจารย์คู่นั้นช่างเจ้าเล่ห์เพทุบายนัก!”
ก่อนหน้านี้ เขาสัมผัสได้ว่าหนานซู่ไหวออกไปข้างนอก จึงลอบแอบตามไปอย่างเงียบๆ
แต่พอผ่านไปได้ไม่นานนัก หนานซู่ไหวก็จับสัมผัสได้ถึงการมีอยู่ของเขา จึงใช้กลอุบายสลัดเขาจนหลุด
ภายหลังเขาตามหาอยู่นาน ก็หาหนานซู่ไหวไม่เจอแล้ว
ผลลัพธ์คือพอได้ยินที ก็เป็นเรื่องงานอภิเษกสมรสของหรงซิวและซั่งกวนเยว่แล้ว!
หนานซู่ไหวยังเดินทางไปแสดงความยินดีด้วยตัวเองในฐานะอาจารย์!
ที่น่าโมโหยิ่งกว่าคือประมุขเผ่าหงส์ทองคำและไท่ซวีเฟิ่งหลงก็ไปร่วมงานกันด้วย!
ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ทั่วทั้งอาณาจักรเสิ่นซวี่ล้วนรับรู้ว่าพวกเขามีกองกำลังหนุนขนาดใหญ่ถึงสองแหล่ง!
คิดจะจัดการพวกเขาอีกรอบยิ่งทำได้ยากมากกว่าเก่า!
“ซั่งกวนเยว่ผู้นั้นไม่รู้ว่าใช้กลลวงแบบใด ไม่เพียงแต่ทำให้อี้เจายินยอมให้นางทำพันธะกับหงส์ทองคำตัวนั้นต่อ ทั้งยังทำให้อี้เจาเลือกเจ้าหงส์นั่นเป็นนายหญิงน้อยอีก!”
อี้เจาและพวกผู้อาวุโสของเผ่าหงส์ทองคำคิดอะไรอยู่กันแน่!
คิดไม่ถึงเลยว่าจะเลือกหงส์ทองคำที่ทำพันธะกับมนุษย์แล้วมาเป็นนายหญิงน้อยของเผ่า!
จวินจิ่วชิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย
“โชคของนางดีมาแต่ไหนแต่ไร”
อี้เหวินจั๋วยังมิอาจยอมรับเรื่องนี้ได้อยู่ดี
ซั่งกวนเยว่มีสายไมตรีนี้แล้ว หากภายหลังคิดจะทำอะไรก็ยิ่งยากเย็นขึ้นไปอีก
“เจ้ารู้ไหมว่าหนานซู่ไหวมอบตราหยกสีเขียวสองชิ้นให้พวกมันในงานอภิเษกสมรสด้วยตัวเอง? แล้วยังพูดว่านางคือศิษย์เพียงคนเดียวของเขาอีก!”
อี้เหวินจั๋วกัดฟันกรอด
“เขาประกาศชัดเจนเลยว่าจะส่งมอบตำแหน่งเจ้าสำนักให้แก่นาง!”
จวินจิ่วชิงนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง
ความจริงพวกเขารับรู้ถึงเรื่องนี้ได้ตั้งนานแล้ว
ตอนนั้นหนานซู่ไหวไม่คิดปิดบังความเอ็นดูและความชื่นชมที่ตนมีต่อฉู่หลิวเยว่เลยแม้แต่น้อย
บัดนี้นางกลับมาอีกครั้ง วรยุทธ์และความสามารถเฟื่องฟูกว่าเก่า หนานซู่ไหวย่อมต้องให้ความสำคัญแก่นาง
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่านางในตอนนี้มีผู้หนุนหลังอีกจำนวนนับไม่ถ้วน
ส่วนอี้เหวินจั๋วน่ะหรือ ต่อให้เป็นประมุขของพระราชวังเมฆาสวรรค์ตระกูลหลัก เกรงว่าภายหลังเองก็มิกล้าจัดการนางได้เช่นเดียวกัน
ภายในห้องตกสู่ความเงียบสงัด
อี้เหวินจั๋วสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ หลายต่อหลายครั้ง พยายามอย่างสุดความสามารถที่จะสงบสติอารมณ์ของตน จากนั้นก็ราวกับนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ จึงเบนสายตาหันไปมองจวินจิ่วชิง
สายตาของเขากวาดมองและจับจ้องอย่างไม่ปิดบัง
“เจ้ารู้เรื่องงานอภิเษกสมรสของพวกมันอยู่แล้วกระมัง?”
อี้เหวินจั๋วมองเขาอย่างสงสัย
“เจ้า…ไม่มีความคิดอันใดเลยรึ?”
แม้ที่ผ่านมาเขาจะบอกจวินจิ่วชิงว่าไม่ต้องสนใจสตรีผู้นั้นมากมาย แต่อย่างไรเสียก็ได้ชื่อว่าศิษย์ของตัวเอง เขาก็ยังพอเดาความคิดของศิษย์ได้ไม่น้อย
จวินจิ่วชิงเลิกคิ้ว
“คำสั่งสอนของอาจารย์ ศิษย์มิมีทางลืม อีกอย่าง ในเมื่อพวกเขาอภิเษกกันแล้ว ก็ไม่มีอันใดให้ต้องพูดถึงอีก”
อี้เหวินจั๋วจ้องมองเขาอยู่พักใหญ่ จากนั้นถึงได้ผงกศีรษะอย่างวางใจ
“เจ้าคิดได้แบบนี้ถือว่าไม่เลว ใต้หล้านี้มีสตรีมากมายหลากหลาย จิ่วชิง ขอแค่เจ้าได้ตำแหน่งมา ไม่ว่าอยากได้สตรีแบบใดก็ล้วนแต่มีได้ทั้งนั้น?”
จวินจิ่วชิงหัวเราะ หลุบตาลงต่ำ ปิดซ่อนอารมณ์ในแววตาของตนเอาไว้
อี้เหวินจั๋วเอ่ยถามต่อว่า
“อาจารย์เห็นว่าลมปราณของเจ้าแข็งแกร่งขึ้นไม่น้อย บุกทะลวงสำเร็จอีกแล้วหรือ?”
จวินจิ่วชิงพยักหน้า
อี้เหวินจั๋วเคาะนิ้วลงบนโต๊ะ
“เช่นนั้นก็ดี อย่างไรเสียก็ไม่มีความจำเป็นอันใดให้ต้องรั้งอยู่สำนักต่อแล้ว พรุ่งนี้พวกเราจะเดินทางกลับกัน สิ่งใดที่ควรเป็นของเจ้า เราจะไปชิงมันมาเสีย!”
แววตาของจวินจิ่วชิงทอประกายมืดครึ้มเคลื่อนผ่าน เขาขานรับเสียงหนึ่ง
“ขอรับ”
…
ณ ตำหนักสักการะเทพ
ตอนนี้เป็นเวลาเช้าแล้ว
ทะเลหมอกสีขาวเคลื่อนคล้อยไปมา ทำให้ทั่วทั้งตำหนักสักการะเทพราวกับตกอยู่ในห้วงมายา
ท่ามกลางทะเลหมอก มีเงาร่างสีขาวขนาดใหญ่มหึมากระโจนอย่างว่องไวไปทางตำหนักสักการะเทพ
เป็นเสวี่ยเสวี่ยนั่นเอง
มันเข้ามาทางหน้าต่างอย่างเคย กลับพบว่าหน้าต่างลงกลอนแน่นหนา ทั้งยังกางค่ายกลเอาไว้อีกชั้น เข้าอย่างไรก็เข้าไม่ได้
ใบหน้าของเสวี่ยเสวี่ยถึงกับหงอยลงในบัดดล ทำได้แค่นอนหมอบอยู่ใต้หน้าต่างเท่านั้น
มันฝนเล็บไปมาอย่างเบื่อหน่ายพลางรอคนข้างในออกมา
ภายในห้องนอน ภายใต้ผ้าดิ้นสีแดงผืนใหญ่ เรือนผมสีดำสนิทดุจแพรไหมกระจัดกระจายไปทั่วเตียง
ฉู่หลิวเยว่ลืมตาขึ้นมาอย่างปรือปรอย
“ใคร…”
เสียงของนางแหบแห้งนัก เพราะยังคงง่วงงุน จึงตัวอ่อนปวกเปียกเป็นพิเศษ
หรงซิวประทับจูบลงบนหน้าผากนาง พร่ำบอกเสียงต่ำว่า
“ไม่มีใคร เจ้าไม่ได้นอนเลยทั้งคืน นอนชดเชยไปก่อนเถิด”