ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1822 ท่าเรือดอกท้อ
ตอนที่ 1822 ท่าเรือดอกท้อ
………………..
พระราชวังเมฆาสวรรค์นั้น กว้างใหญ่ไพศาลกว่าที่ฉู่หลิวเยว่คาดไว้มาก
นอกจากยอดเขาซู่หมิงที่ตั้งอยู่บนเกาะหลักแล้ว ยังมีหมู่เกาะเล็กๆ มากมาย กระจัดกระจายอยู่โดยรอบ จนคล้ายกับดาราจักรบนฟากฟ้า
โดยพื้นฐานแล้ว เหล่าบุคคลสำคัญทั้งหมดในพระราชเมฆาสวรรค์ล้วนอาศัยอยู่บนเกาะหลัก ส่วนข้าราชบริพารคนอื่นๆ มีความแข็งแกร่งและระดับต่ำกว่า ก็จะแบ่งไปอยู่ตามเกาะเล็กๆ เหล่านั้น ที่กระจายอยู่รอบๆ
และขณะเดียวกัน เกาะเล็กๆ เหล่านี้ก็เป็นกุญแจสำคัญที่เชื่อมต่อพระราชวังเมฆาสวรรค์ และอีกยี่สิบแปดเผ่าที่เหลือไว้ด้วยกัน
ผู้คนจากยี่สิบแปดจำต้องแวะเวียนมาถึงเกาะเล็กก่อน จึงจะเข้าสู่เกาะหลักได้
โดยทั่วไปแล้ว พระราชวังเมฆาสวรรค์นั้นมีการป้องกันเข้มงวดมาก หากต้องการเข้ามาที่นี่ จำต้องต้องผ่านการตรวจสอบหลายระดับ
และถ้าไม่ได้ถูกเชิญ ก็ยากที่คนนอกจะผ่านเข้ามาได้
“ช่วงนี้ท่านประมุขก็ยังอยู่ที่ยอดเขาซู่หมิงหรือ?”
ฉู่หลิวเยว่ถาม
หรงซิวพยักหน้า
“ที่โถงด้านหลังตำหนักสักการะเทพ ล้วนมีคนเฝ้าระวังอย่างหนาแน่น”
“เช่นนั้น…ก็หาสาเหตุที่เขานอนหมดสติได้แล้วรือ?”
ว่าแล้วก็แปลก ผู้ที่แข็งแกร่งระดับแนวหน้าเช่นนี้ ไม่มีทางป่วยล้มพับไปเองโดยไร้สาเหตุแน่นนอน
นางจำได้เพียงว่า ก่อนหน้านี้เยี่ยนชิงมาที่สำนักวิชาเพื่อขอให้หรงซิวกลับไป โดยกล่าวว่าท่านประมุขหมดสติไร้การตอบสนอง อาการเข้าขั้นวิกฤต
และหลังจากได้พบกับหรงซิวอีกครั้ง นางก็ยุ่งจนไม่มีเวลาถาม
กระทั่งหรงซิวเอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมา นางถึงฉุกคิดได้
ดังนั้นหรงซิวจึงเล่าที่มาที่ไปของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้นให้ฉู่หลิวเยว่ฟังคร่าวๆ
“…ก็คงประมาณนี้ แม้จะรู้ว่าเป็นฝีมือใคร แต่ด้วยเวลาอันน้อยนิด ย่อมไม่อาจจัดการได้”
มิเช่นนั้น คงไม่มุทะลุทุ่มสุดตัวถึงเพียงนี้
หรงซิวยิ้มเยาะเบาๆ เป็นอันยอมรับ
“…มันเกี่ยวกับข้าหรือไม่?”
ฉู่หลิวเยว่เอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจ
ถ้ำปีศาจดำมุ่งเป้ามาที่นางโดยตลอด และนางเองก็รู้ดี
ซึ่งเหตุผลก็คือ…แน่นอนว่าต้องเป็นเนื้อเพลงฉินบทนั้น
แต่เหมือนว่าพวกเขาจะไม่มีเหตุผลที่ต้องพุ่งเป้าไปทางหรงซิวเลย
ที่เป็นไปได้มากที่สุด อย่างไรก็ต้องเกี่ยวกับนางอยู่ดี
หรงซิวลูบใบหูของนางเบาๆ
“จริงๆ แล้วก็ไม่มีอะไรหรอก แค่หลังจากที่เจ้าจากไป ข้าก็ไปเยี่ยมชมถ้ำปีศาจทมิฬเป็นการส่วนตัว”
ฉู่หลิวเยว่ตากระตุก
ฟังแล้ว…ดูจะไม่ใช่เรื่องดีสักเท่าไร
“นี่คือสาเหตุที่หลายปีมานี้ ถ้ำปีศาจทมิฬซ่อนกายจากโลกภายนอกรึ?”
หรงซิวครุ่นคิดชั่วขณะ
“อาจจะมั้ง ยามนั้นข้าเพียงเล่นงานมั่วสือเซียนปางตาย และสังหารคนของเขาไปสองสามคน แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่เหลือแล้ว ด้วยจุดยืนของพวกเขา โดยรวมแล้วไม่จำเป็นต้อทำถึงขนาดนั้นเลยก็ได้ พอมาดูตอนนี้ นี่ดูเหมือนจะเป็นทางเลือกที่พวกเขาเลือกเองทั้งนั้น”
มุมปากของฉู่หลิวเยว่กระตุกเบาๆ
เล่นงานเจ้าบ้านถึงปางตาย สังหารลูกน้องคนสนิทของเขาไปหลายคน…นั่นมันถ้ำปีศาจทมิฬเชียวนะ! เมื่อเทียบกับตระกูลขุนนางชั้นหนึ่งอื่นๆ ก็ไม่ด้อยกว่ากันเลย!
เรื่องอัศจรรย์พันลึกเช่นนี้ เมื่อออกมาจากปากของหรงซิวแล้ว ดูกลายเป็นเรื่องง่ายดาย มิได้หนักหนาเลยสักนิด
เขานี่มัน…
“แต่ทว่า…เมื่อไม่กี่ปีก่อน ข้ายังจำได้ว่าตอนนั้นเจ้าเป็นเพียงผู้แข็งแกร่งระดับเทพ เจ้าชนะได้อย่างไร?”
สิ่งที่ทำให้หัวใจของฉู่หลิวเยว่สับสนฉงนจิต ความจริงแล้วคือประเด็นนี้
ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ นางไม่เคยรู้ถึงความแข็งแกร่งที่แท้จริงของหรงซิวเลย
เขาดูเหมือน…คนที่สามารถระเบิดพลังในการต่อสู้ขั้นสูงออกมาได้ตลอดเวลา
ท่าทีของหรงซิวเปลี่ยนไปเล็กน้อย พลันเลิกคิ้วขึ้นแล้วหัวเราะเบาๆ
“ความจริงตอนนั้นมันก็แค่เรื่องบังเอิญ ยามข้าไปที่นั่น พวกเขาเหมือนกำลังยุ่งอยู่กับการเตรียมบาง ทั้งมั่วสือเซียนและคนของเขาต่าง ล้วนถูกจำกัดพลังปราณไว้ ไม่สามารถใช้พลังได้เต็มที่ ดังนั้น…”
เสียงทุ้มหยุดชะงัก
“เจ้าเองก็น่าจะเคยได้ยิน ว่าพวกเขามีวิชาการฝึกพรตที่แปลกยิ่ง แม้จะทำให้ขอบเขตพลังปราณและความแข็งแกร่งพัฒนาได้เร็วขึ้น แต่ก็มักจะมีปัญหามากมายตามมา”
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้ารับรู้
เรื่องนี้นางเองก็เคยได้ยินมานานนมแล้ว
ด้วยเหตุนี้ แต่ไหนแต่ไรมา ถ้ำปีศาจทมิฬจึงกลายเป็นที่รังเกียจของตระกูลขุนนางจำนวนมากในอาณาจักรเสินสวี่ เพราะคิดว่า เคล็ดวิชาของพวกเขานั้นชั่วร้ายและขัดต่อกฎของธรรมชาติ
ทว่าใต้หล้านี้ ก็ยังมีผู้ฝึกตนจำนวนนับไม่ถ้วนที่ต้องการใช้ทางลัด
ดังนั้นหลายปีมานี้ ก็ยังมีคนเข้าร่วมกับถ้ำปีศาจทมิฬอยู่ร่ำไป
และสิ่งนี้ยังให้พวกเขาคงความเสถียรของอำนาจไว้ได้เสมอ จนไม่สามารถกำจัดได้ง่ายๆ
บวกกับในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ถ้ำปีศาจทมิฬได้เริ่มซ่อนตัวจากโลกภายนอก ทุกอย่างสงบสุข ทุกคนจึงค่อยๆ เพิกเฉยต่อการมีอยู่ของพวกเขา
แต่สำหรับฉู่หลิวเยว่นั้น กลับคอยเฝ้าระมัดระวังอยู่เสมอ
ถ้ำปีศาจทมิฬต้องการเนื้อเพลงของนาง ไม่ว่าจะเมื่อก่อนหรือตอนนี้…เกรงว่ามีแต่จะเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ
“เจ้ารู้หรือไม่…ว่าตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ใด?”
ฉู่หลิวเยว่ถาม
ไม่ด้วยเพราะอะไร แต่นางสัมผัสได้เสมอว่าหรงซิวรู้อะไรบางอย่าง
“ข้าทำได้แค่ระบุพิกัดคร่าวๆ ของพวกเขาเท่านั้น ส่วนตำแหน่งที่แน่นอน ข้าไม่รู้จริงๆ”
หรงซิวชูมือขึ้น พลางยิ้มตอบตามสัตย์จริง
“แต่มีอยู่คนที่ใกล้ชิดกับพวกเขา ถ้าเขายอมออกโรงเอง…ก็คงหาได้ไม่ยาก”
“ใครรึ?”
ฉู่หลิวเยว่ใคร่รู้นัก
หรงซิวมองนางแวบหนึ่ง
“ผู้อาวุโสห้า”
…
ผู้อาวุโสคนที่ห้า หรือก็คือผู้อาวุโสลำดับห้า
ฉู่หลิวเยว่ตกใจสุดขีด
นางคิดหาความเป็นไปได้ร้อยแปดพันอย่าง แต่ไม่เคยคิดสงสัยเรื่องนี้เลย
“เป็นได้อย่างไร.. เหล่าผู้อาวุโสลำดับห้าล้วนถูกขังอยู่ในทะเลทรายจันทราสีชาด นอกจากพี่เป่าแล้ว เขากับผู้อาวุโสหลานเซียวไม่มีทางหนีออกมาจากแดนภังคะได้ แล้วเหตุใด..”
ที่พี่เป่าสามารถออกมาได้ ก็เพราะเขาใช้ร่างศักดิ์สิทธิ์
หรงซิวชะงักไปนิด แล้วพูดว่า
“ความจริงผู้อาวุโสห้าเกี่ยวข้องกับถ้ำปีศาจทมิฬ”
ฉู่หลิวเยว่ตกตะลึงอยู่พักหนึ่ง
อันที่จริงนางไม่เคยได้ยินพวกเขาพูดถึงเรื่องนี้มาก่อนเลย…
ฉู่หลิวเยว่ขวับกลับไปมอง
“เฉินอี เจ้ามาทำอันใดที่นี่?”
เฉินอีกำหมัดประสานแล้วโค้งคำนับคนทั้งสองตามลำดับ ก่อนจะเอ่ยว่า
“ข้าน้อยมีเรื่องต้องทูลกล่าวท่าน ขอรับ”
ฉู่หลิวเยว่แปลกใจนิดๆ
ยามนี้หรือ?
เฉินอีต้องการพูดอะไรกับนางกัน?
หากเป็นเรื่องสลักสำคัญ เขาน่าจะแจ้งนางตั้งแต่เนิ่นๆ แล้ว และถ้าไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน…
ถ้าไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน เขาย่อมไม่โผล่หน้ามาแน่นอน
หรงซิวระบายยิ้มบางเบา
“เช่นนั้นพวกเจ้าคุยกันก่อนเถิด ข้าไปดูท่านประมุขเสียหน่อย”
เขาเคารพพื้นที่ส่วนตัวของฉู่หลิวเยว่เสมอ
เฉินอีเป็นของนาง แม้นยามนี้พวกเขาจะอยู่ในพระราชวังเมฆาสวรรค์ แต่เขาจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับธุรกงการของนาง โดยไม่ได้รับอนุญาต
ฉู่หลิวเยว่ซาบซึ้งใจ พลางพยักหน้าตอบรับ
หรงซิวขยับปลายเท้า และจากไปอย่างรวดเร็ว
เหลือเพียงฉู่หลิวเยว่และเฉินอีเท่านั้น
ฉู่หลิวเยว่ถามเข้าประเด็นทันที
“เฉินอี เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือ?”
สีหน้าของเฉินอีดูสงบนิ่ง ประกายแสงแล่นผ่านดวงตาเรียวรีและไม่แยแสของเขา
“นายท่าน ไม่นานก่อนหน้านี้ ซานซานได้ส่งข้อความกลับมาว่า ต้องการเชิญท่านกลับไปยังท่าเรือดอกท้อขอรับ”