ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1823 ลาภลอย
ตอนที่ 1823 ลาภลอย
………………..
ท่าเรือดอกท้อ คือสถานที่ที่ฉู่หลิวเยว่กับหรงซิวพบกันครั้งแรก
และที่นั่นค่อนข้างพิเศษกว่าที่อื่น
ถึงแม้ว่าจะอยู่ในอาณาบริเวณของอาณาจักรเสิ่นสวี่ แต่พลังของประตูข้ามภพนั้นอ่อนแอมาก พื้นที่ห้วงมิติไม่เสถียร บางครั้งอาจถูกคลื่นความผันผวนในอากาศปะทุใส่เป็นครั้งคราว หากไม่ระวังอาจถึงแก่ความตายได้ ซึ่งถือเป็นอันตรายอย่างยิ่ง
ฉะนั้นแต่ไหนแต่ไรมา จึงไม่มีคนจากตระกูลขุนนางคนใดคอยเฝ้าคุ้มกันเลย
อย่างไรเสีย ชีวิตตัวเองก็ย่อมสำคัญกว่า
หากต้องไปยังสถานที่ที่เต็มไปด้วยภยันตรายตลอดเวลา แต่มิได้อันใดกลับมา เช่นนั้นจะมีประโยชน์อะไร?
และท่าเรือดอกท้อคือสถานที่ดังกล่าว
ที่นั่นไม่มีสมบัติวิเศษหรือโอกาสอันยิ่งใหญ่ใดใด
มีเพียงทิวเขาเลากาและผืนป่าดอกท้ออันกว้างใหญ่ไพศาล
และด้วยเหตุผลบางอย่าง ดอกท้อ ณ ท่าเรือดอกท้อ ไม่ได้ผลิบานหรือร่วงหล่นตามฤดูกาล แต่ระยะเวลาในการออกดอกจะยาวนานมาก บางครั้งอาจยาวนานหลายปี
ด้วยเหตุนี้ ผู้คนจึงตั้งสมยานามที่งดงามให้กับมันว่า ท่าเรือดอกท้อ
แต่กระนั้น ท่าเรือดอกท้อก็ไม่ได้ถูกทิ้งร้าง
ตรงข้ามกัน กลับมีคนจำนวนมากไปที่นั่นเสมอ
เหล่านักเดินทางมากมายที่มายังอาณาจักรเสิ่นสวี่ ครั้นไร้ปัญญาข้ามผ่านประตูเชื่อมภพ ก็ล้วนหันมาทางเลือกใช้ท่าเรือดอกท้อ
เมื่อเทียบกับที่อื่นแล้ว ท่าเรือดอกท้อนั้นแทบไม่มีสิ่งกีดขวางและเข้าออกง่ายมาก
แต่แน่นอนว่าการตัดสินใจเช่นนี้ ก็ไม่ได้หมายความว่าผู้ฝึกตนจักสามารถเข้าสู่อาณาจักรเสิ่นสวี่ได้อย่างราบรื่น
ท่าเรือดอกท้อนั้นเต็มไปด้วยอันตราย คนที่เข้าไปในท่าเรือดอกท้อ ถึงสุดท้ายจะออกมาได้สำเร็จ และกลายเป็นคนของอาณาจักรเสิ่นสวี่เต็มตัว แต่ก็มีเพียงหนึ่งในร้อยเท่านั้น
ที่นั่นเฟื่องฟูไปด้วยพลังแห่งสวรรค์และโลก จึงกล่าวได้ว่าเป็นที่ที่เหมาะสมแก่การบ่มเพาะพลังปราณยิ่ง
แต่เนื่องจากปัญหาห้วงมิติไม่เสถียร และไม่มีใครคิดหาวิธีแก้ปัญหานี้ได้ ท่าเรือดอกท้อจึงค่อยๆ ถูกปล่อยปะละเลย
ในอาณาจักรเสิ่นสวี่แห่งนี้ เหล่ากลุ่มชนชั้นสูงที่สามารถพัฒนาพลังของตน ล้วนต้องมีบรรพตที่มั่นคงและทรงพลังในการฝึกตน
และชัดเจนว่าท่าเรือดอกท้อมิใช่สถานที่เช่นนั้น
กล่าวโดยรวมแล้ว ท่าเรือดอกท้อนั้นอลหม่านและอันตรายมาก ถือเป็นสถานที่ยุ่งวุ่นวายแลซับซ้อนโดยสิ้นเชิง
หลังจากที่ฉู่หลิวเยว่กับหรงซิวออกจากที่นั่นมา พวกเขาก็ไม่เคยกลับไปอีกเลย
“เหตุใดซานซานถึงไปที่นั่นกัน?”
ฉู่หลิวเยว่ตกใจมาก
“เรื่องนี้ไยเจ้าถึงไม่บอกข้าแต่เนิ่นๆ?”
เฉินอีแค่นยิ้มจางๆ
“นี่คือเส้นทางที่เขาเลือกเอง ข้าเตือนเขาแล้วคราหนึ่ง แต่ด้วยนิสัยของเขา ท่านเองน่าจะรู้ดี ไม่กี่ปีมานี้เขาใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ที่ท่าเรือดอกท้อ และส่งจดหมายกลับมาเป็นครั้งคราว กล่าวโดยรวมแล้วเขามีชีวิตอยู่ดี ข้าจึงปล่อยเลยตามเลย และที่ก่อนหน้านี้ข้าไม่บอกท่าน เพราะเป็นช่วงที่ท่านง่วนอยู่กับงานอภิเษกสมรส ข้าจึงคิดว่ารอให้งานสิ้นสุดลงแล้วค่อยบอกท่านจะดีกว่า อีกทั้ง มันก็มิใช่เรื่องเร่งด่วนกระไร แต่ประเด็นก็คือ…ท่านอ่านจดหมายฉบับนี้เสียก่อน แล้วจักเข้าใจขอรับ”
เขาหยิบจดหมายฉบับหนึ่งที่ซ่อนอยู่ในอกเสื้ออกมา
มันเป็นจดหมายที่หนามาก
ฉู่หลิวเยว่รับมันมา พลันเปิดซองจดหมาย และเห็นแผ่นกระดาษนับไม่ถ้วนหล่นออกมา
นางกวาดสายตามองคร่าวๆ ตัวอักษรเล็กๆ อัดแน่นเรียงรายเต็มหน้ากระดาษ
ฉู่หลิวเยว่เพียงเห็นก็พลันรู้สึกเวียนหัว และอดเอ็ดเบาๆ ไม่ได้ว่า
“ผ่านมาตั้งหลายปี นิสัยใช้คำฟุ่มเฟือยเช่นนี้ ไยเขาจักไม่หัดแก้ไขเสียทีนา?”
นางและสิบสามผู้พิทักษ์เยว่ ต่างมีวิถีการส่งสารที่เป็นเอกลักษณ์ของตน
โดยทั่วไปแล้วพวกเขามักจะไม่ค่อยเขียนจดหมาย
ไม่ว่าจะเรื่องน้อยใหญ่อันใด ก็เขียนเล่าเสียหมด
จดหมายของเขานั้น ไม่เคยน้อยกว่าห้าหน้าเลยสักครั้ง
ว่าแล้วก็น่าขัน
“เขาก็เป็นแบบนี้ตลอด ท่านเองก็รู้”
ฉู่หลิวเยว่จัดเรียงจดหมายให้ดีๆ และอ่านอย่างละเอียด
นี่คือลายมือของซานซานจริงๆ
ขณะที่ไล่สายตาอ่าน สีหน้าของฉู่หลิวเยว่สลับสับเปลี่ยนไปเรื่อยๆ กลายเป็นจริงจังมากขึ้น
ก่อนจะอ้าปากค้างเมื่อเห็นบรรทัดสุดท้าย
“นี่มัน…ซานซานไปทำอันใดที่ท่าเรือดอกท้อกันแน่?”
เฉินอีเงยหน้าขึ้นแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม
“ที่ซานซานคิดบัญชีเก่งเช่นนี้ก็เพราะถูกนายท่านขัดเกลาด้วยตัวเองหนา ท่านมองไม่ออกจริงหรือว่าเขาคิดทำการใด?”
แน่นอนว่าฉู่หลิวเยว่มองออก!
ด้านหน้าจดหมายฉบับนี้ เขียนด้วยเนื้อความปกติมาก มีเพียงอธิบายว่าแต่ละเดือนเขากินอยู่อย่างไร และคิดถึงนายท่านแลพวกพ้องสิบสามผู้พิทักษ์เยว่มากแค่ไหน
แต่ด้านหลังกลับเต็มไปด้วยตัวเลขนับร้อยพัน
ฉู่หลิวเยว่อ่านมันอีกครั้งราวไม่เชื่อ ก่อนจะพบว่าแท้จริงแล้วมันคือเลยบัญชีประเภทต่างๆ!
ความจริงแล้วซานซานเปิดร้านในท่าเรือดอกท้อ และสิ่งที่ถูกบันทึกไว้ในจดหมายฉบับนี้ ก็คือมูลค่าการซื้อขายและกำไรของร้าน!
เมื่อมองไปที่ยังตัวเลขสุดท้ายที่เกินออกมา ก็จำต้องอ้าปากพะงาบเพราะมูลค่าเหล่านั้น ในหัวของฉู่หลิวเยว่ขาวดพลนไปชั่วขณะ
“นี่เขาไปเปิดร้านหรือไปปล้นกันแน่?”
ต้องรู้ว่าตอนนี้ฉู่หลวิเยว่เองก็ถือเป็นคนรวยล้นฟ้า
คราแรกนางได้รับเงินจำนวนมากจากบรรพบุรุษของต จากนั้นหรงซิวก็ส่งแหวนเฉียนคุนให้นางอีก
ยามนี้มูลค่าสุทธิในครอบครองของนาง ถือว่าดีเลิศกว่าผู้ใดในอาณาจักรเสิ่นสวี่เชียวนะ
แต่การที่มันทำให้นางตกใจได้มากขนาดนี้ แสดงให้เห็นว่าตัวเลขบนจดหมายนั้นน่ากลัวเพียงใด
แต่ที่น่าหงุดหงิดก็คือ ดูเหมือนซานซานจะรู้ว่าเฉินอีและคนอื่นๆ มาที่พระราชวังเมฆาสวรรค์ เพื่อเข้าร่วมพิธีอภิเสษของนาง และรู้ด้วยว่าเฉินอีจะต้องมอบหมายนี้ให้นาง ดังนั้นสุดท้ายเขาจึงเขียนเล่าเรื่องราวนี้แก่นาง
เนื้อความโดยคร่าวก็คือ ท่าเรือดอกท้ออยู่ห่างจากพระราชวังเมฆาสวรรค์มาก เขาอาจไปที่นั่นได้ในช่วงเวลาสั้นๆ
อีกทั้งช่วงนี้ธุรกิจในร้านยังไม่ดีนัก เดือนนี้เขาทำเงินได้น้อย เขารู้สึกผิดมากและวางแผนที่จะทำงานหนักขึ้นเพื่อเพิ่มผลกำไร
ท้ายที่สุด เขาจึงขอให้นางเดินทางไปตรวจสอบและชื่นชมความสำเร็จของเขา
ครั้นอ่านถึงสองสามประโยคสุดท้าย ดวงตาของฉู่หลิวเยว่พลันกระตุกยิบ
นี่หรือที่ว่าน้อย…
นี่หรือที่ว่ากิจการไม่ดี…
หลายปีมานี้ซานซานพบเจอกับอะไรที่ท่าเรื่อดอกท้อบ้างเนี่ย!
“ซานซานบอกว่า ตอนนี้ท่านได้ตกลงปลงใจใช้ชีวิตในอาณาจักรเสิ่นสวี่แล้ว เช่นนั้นท่านควรหาซื้อที่ทางไว้บางส่วนด้วย เขาได้เลือกสถานที่ไว้สองสามแห่งแล้ว ท่านโปรดตัดสินใจเลือกตามอัธยาศัย แต่หากท่านมีประสงค์อื่น ก็แล้วแต่ความต้องการของท่านเถิด”
เฉินอีก้มศีรษะลงเล็กน้อยด้วยท่าทีเคารพนับถือ
ฉู่หลิวเยว่ถึงกับยกมือก่ายหน้าผาก ไม่พูดอะไรสักพัก
สมองถึงกับรวน
ไอ้ความรู้สึกโดนเงินฟาดหัวนี่มันน่าปวดหัวจริงๆ