ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1824 แต่งเขย
ตอนที่ 1824 แต่งเขย
………………..
ซานซานมีพรสวรรค์ด้านจอมยุทธ์ในระดับดีมาก แต่เขาไม่สนใจเรื่องการฝึกฝนสักเท่าไร แม้ต้องเฆี่ยนแส้ลงกลางหลัง เขาก็ไม่ยอมทนนั่งฝึกงกๆ งนๆ เช่นนั้นหรอก
เขาชอบทำธุรกิจมากกว่า
พูดตรงๆ ก็คือชอบหาเงินและเก็บเงิน
ในขณะที่สิบสามผู้พิทักษ์เยว่คนอื่นๆ พเนจรไปฝึกซ้อม เขากลับเป็นคนเดียวที่เดินไปตามตรอกซอกซอยในเมืองหลวงพร้อมลูกคิดในมือ
คราแรกฉู่หลิวเยว่อยากช่วยเขา พาเขากลับเข้าร่องเข้ารอย แต่พอเห็นว่ามันไม่มีประโยชน์ จึงยอมแพ้ไปโดยปริยาย
นอกจากนี้ นางยังมอบทรัพย์สินจำนวนมากภายใต้ชื่อของตนให้ซานซานอีกด้วย
แต่นั่นคือเรื่องที่เกิดขึ้นในราชวงศ์เทียนลิ่งเมื่อหลายปีก่อน
ซานซานเป็นคนฉลาดและสุขุม ยึดถือปรัชญาชีวิตของตัวเอง ไม่ว่าจะพบเจอคนแบบใด ก็สามารถผูกมิตรสหายได้ทั่ว
ดังนั้นเมื่อสิบสามผู้พิทักษ์เยว่ถูกเนรเทศ จนกระจายกระจายไปคนละทาง ฉู่หลิวเยว่จึงเยว่เป็นห่วงสมาชิกคนอื่นๆ มาก แต่พอเป็นซานซานนางกลับโล่งใจ
แม้เขาจะตกอยู่ในสถานการณ์สิ้นหวัง แต่เขาก็สามารถเปลี่ยนเรื่องร้ายให้กลายเป็นดีได้เสมอ
ด้วยเหตุนี้ หลังจากที่เรื่องของฉู่หลิวเยว่เข้าที่เข้าทางลงบ้าง นางจึงไม่ได้ถามไถ่ถึงชีวิตของซานซานสักเท่าไร
คิดไม่ถึงว่าซานซานจะทำให้นางประหลาดใจได้ถึงเพียงนี้
ครั้นมองดูจดหมายในมือ ฉู่หลิวเยว่ก็ตกอยู่ในภวังค์อีกครั้ง
ความของเฉินอีและคนอื่นๆ นางรู้ดีว่าพวกเขาคิดอย่างไร
การกว้านซื้อทรัพย์สินนั้นเป็นเพียงคำสละสลวย
จุดประสงค์จริงๆ แล้ว คือการสร้างฐานอำนาจของตัวเองในอาณาจักรเสิ่นเสิ่นสวี่ต่างหาก!
และมันคือสิ่งที่ฉู่หลิวเยว่คิดมาตลอด
มิเช่นนั้นนางคงไม่เข้าไปโน้มน้าวหลินจือเฟยตั้งแต่แรก
นำมาถึงคำถามง่ายๆ ว่า นางสามารถอยู่ในอาณาจักรเสิ่นสวี่ได้ แต่คนอื่นๆ เล่า?
องค์ไท่จู่ เสด็จพ่อ ท่านพ่อ สิบสามผู้พิทักษ์เยว่…
คนเหล่านี้ใกล้ชิดกับนางมากที่สุด พวกเขาสามารถอยู่เคียงข้างนางได้ตลอดเวลา แต่กลับเหมือนว่าจะไม่มีเหตุผลที่สามารถอยู่ในพระราชวังเมฆาสวรรค์ตลอดได้มากพอ
หากต้องการตั้งหลักแหล่งในอาณาจักรเสิ่นสวี่จริงๆ การพึ่งพาบารมีของตัวเอง เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง!
นางยังจำคำพูดของคนเหล่านั้น ที่ได้ยินตรงเชิงเขาซู่หมิงได้ชัดเจน
ความคิดเช่นนี้ จริงๆ แล้วคงมีหลายคนที่คิดไม่น้อยเลย?
แต่หลังจากอภิเสษสมรสแล้ว คำพูดเหล่านั้นก็หายไป
อย่างไรก็ตาม นั่นเป็นเพราะนางมีหรงซิว มีเหล่าผู้อาวุโส และที่สำคัญกว่านั้น ก็มีอี้เจาและโหมวเจินที่คอยสนับสนุนนาง
แต่ไม่ใช่เพราะตัวนาง
ก็จริงที่ว่านางในตอนนี้เก่งกาจและมีความสามารถมากกว่าผู้ฝึกตนส่วนใหญ่
เปี่ยมไปด้วยอนาคตสดใสในภายภาคหน้า
แต่ในอาณาจักรเสิ่นสวี่ อำนาจของคนคนหนึ่ง ล้วนถูกจำกัด
เว้นเสียว่าจักเป็นผู้ที่สามารถยืนอยู่บนจุดสูงสุดได้
แต่ยุทธภพนี้มีผู้ฝึกฝนอยู่เป็นแสนล้านคน แล้วใครมันจะกล้าขนาดนามตัวเองว่าเป็นผู้ถูกเลือกกัน?
เมื่อหลายพันปีก่อนองค์ไท่จู่รุ่งโรจน์เพียงใด?
แต่เขานั้นต่อสู้เพียงลำพัง ซึ่งในปัจจุบันอาจเทียบไม่ได้กับพวกคนชั้นสูงจากเผ่าพันธุ์เหล่านั้น
ในเมื่อวางแผนจะตั้งรกรากที่นี่แล้ว เช่นนั้น…ก็ต้องสร้างอาณาเขตของตัวเองขึ้นมา!
เฉินอียืนกุมมือมองนางเงียบๆ
จากนั้นไม่นาน ฉู่หลิวเยว่ก็เก็บจัดหมายไป
“แจ้งสิบสามผู้พิทักษ์เยว่ ในอีกสามวัน เราจะไปท่าเรือดอกท้อกัน”
ยามนี้ก็เย็นมากแล้ว แสงตะวันยามโพล้เพล้เล็ดลอดเข้ามาผ่านช่องหน้าต่าง
หรงซิวเอนกายนอนอยู่บนเก้าอี้หวาย มือหนาถือตำราไว้อย่างมั่นคง
แสงสีส้มนวลละมุน แลดูอบอุ่น เปล่งประกายแคลบแสงสีทอง สะท้อนลงบนอาภรณ์ขาวราวหิมะต้องอัสดงอันเจิดจ้า
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า เขาก็เงยหน้าขึ้น มุมปากเรียวบางยกโค้งขึ้นเล็กน้อย
“กลับมาแล้ว”
ฉู่หลิวเยว่จับกรอบประตูไว้ ครั้นมองเขาเช่นนี้ ในใจก็พลันรู้สึกแปลกๆ ขึ้นมา
นางไม่เคยรู้สึกเช่นนี้มาก่อนเลย
เมื่อยามที่ขาเรียวก้าวข้ามธรณีประตู ก็มีคนรออยู่ในบ้าน และพอเห็นนาง เขาก็หันมายิ้มหวานให้กับพร้อมบอกกันว่า “กลับมาแล้ว”
ราวกับเรื่องวุ่นวายนานาจิตตังที่เกิดขึ้นด้านนอก ถูกปิดกั้นไว้อย่างง่ายดาย ด้วยประโยคนี้ประโยคเดียว
เป็นครั้งแรกที่นางตระหนักได้ชัดเจนว่านางแต่งงานกับหรงซิวแล้ว
ต่อจากนี้ไป พวกเขาจะมีศูนย์รวมใจเดียวกัน นั่นก็คือ “บ้าน”
เมื่อเห็นว่านางไม่ขยับ หรงซิวก็วางตำราในมือลง แล้วเดินไปหา
“เกิดอันใดขึ้น? ไยถึงจมอยู่กับความคิดเช่นนั้น?”
ฉู่หลิวเยว่ส่ายหัวพัลวัน ก่อนจะเดินไปคว้ามือเขามาจับไว้ ริมฝีปากบางโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้ม
“ข้ากำลังคิดว่า ดีจริงๆ ที่รีบแต่งงานกับเจ้า”
หรงซิวเลิกคิ้วขึ้น ชัดเจนว่าพอใจกับประโยคนี้มาก
“อาการของท่านประมุขเป็นอย่างไรบ้าง?”
ฉู่หลิวเยว่เอ่ยถามขณะเดินเข้าไปข้างใน
“ก็ยังเหมือนเดิม เขาไม่มีทิศทางว่าจะตื่นเลยสักนิด ทำได้เพียงใช้ยาประครองพลังชีวิต”
น้ำเสียงของหรงซิวราบเรียบ
มันคือสิ่งที่เขาคาดการณ์ไว้แล้ว
บางครั้งการอยู่อย่างมีสติครบถ้วนดี ก็เจ็บปวดมากกว่า
ฉู่หลิวเยว่เดินไปที่เก้าอี้หวายแล้วนั่งลง
เก้าอี้หวายตัวนี้มีขนาดกว้างขวาง สามารถรองรับคนสองคนได้ไม่มีปัญหา
หรงซิวเอนตัวพิงพนักข้างๆ นาง
คนทั้งสองพลันตกอยู่ในความเงียบ ไม่จำเป็นต้องพูด พวกเขาก็สามารถสัมผัสได้ถึงความคิดของกันและกัน
ฉู่หลิวเยว่เอนตัวเข้าหาอ้อมแขนของเขา พลางเงยหน้าขึ้นมอง
“หรงซิว ข้าจะไปเที่ยวที่ท่าเรือดอกท้อสองสามวันนะ”
หรงซิวปัดปอยผมออกจากหน้าผากมน พลันประทับจุมพิตลงไปเบาๆ
“หื้ม? เหตุใดจู่ๆ เจ้าถึงคิดจะไปล่ะ?”
หลังจากนั้นฉู่หลิวเยว่ก็เล่าเรื่องที่เกิดกับซานซานให้เขาฟัง รวมทั้งแผนการของนางด้วย
“ถึงฝั่งท่าเรือดอกท้อจักวุ่นวายเพียงใด แต่ในเมื่อซานซานส่งจดมาหมายมา ก็น่าจะเตรียมตัวดีแล้วระดับหนึ่ง”
โดยปกติแล้ว หากสามีภรรยาที่เพิ่งแต่งเข้าเรือนหอ เกิดมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องการปลีกตัวออกไปตั้งถิ่นฐานของตนเอง ก็อาจทำให้อีกคนไม่พอใจได้
แต่ฉู่หลิวเยว่ไม่กังวลเรื่องนี้
เพราะนางไม่มีอะไรบิดบังหรงซิว
นางเชื่อใจหรงซิว และเชื่อว่าหรงซิวเองก็เข้าใจนาง
หลังจากฟังแล้ว หรงซิวก็พยักหน้าทันที
“ตกลง ให้ข้าไปกับเจ้าหรือไม่?”
ฉู่หลิวเยว่ขยับเข้าไปใกล้ พลางยกยิ้มเจ้าเล่ห์
“พระโอรสมิกลัวข้าแยกเรือนหรือ?”
หรงซิวหัวเราะลั่น แผ่นอกหนาสั่นคลอน
เขาจับหน้านางไว้ แล้วกดจูบริมฝีปากนางราวหมั่นเขี้ยว เสียงทุ้มหยอกเอินอย่างเป็นกันเอง
“ต่อให้เจ้าแยกเรือนไป ข้าก็จะแต่งเข้าเป็นเขยบ้านเจ้า ปัญหาอันใดอีกหรือไม่?”
แม้แต่ความตายเขายังไม่กลัว นับประสาอะไรกับเรื่องอื่น?
………………..