ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1825 จับมือ
ตอนที่ 1825 จับมือ
………………..
เวลาสามวันผ่านพ้นไปในชั่วพริบตา
เมื่อรู้ว่าหรงซิวและฉู่หลิวเยว่คิดจะจากพระราชวังเมฆาสวรรค์ มุ่งหน้าไปยังท่าเรือดอกท้อ บรรดาฝูงชนต่างตื่นตกใจเป็นอย่างมาก
ในการนี้ หรงซิวบอกแค่ว่ามันคือเรือนหอของพวกเขาสามีภรรยา บัดนี้อภิเษกสมรสกันแล้ว จึงอยากกลับไปดูเสียหน่อย
คำอธิบายชัดเจนและกล่าวออกมาอย่างเปิดเผยเช่นนี้ จึงไม่มีใครเอ่ยซักไซ้ไล่เลียงถามต่อไปอีก
เพียงแต่…
”เหตุใดเยี่ยนชิงผู้นั้นก็ได้ไปด้วยเล่า!”
เคร้ง!
น้องแปดกำปิ่นในมือหักเป็นสองท่อนด้วยสีหน้าเปี่ยมด้วยไอสังหาร
อวี่จิ่วเก็บกระบี่ไม้ของตนกลับไปอย่างเงียบเชียบ ด้วยกลัวว่านางจะเอากระบี่ของเขามาเป็นที่ระบายอารมณ์แล้วหักมันออกเป็นท่อนๆ อีก
เล่มนี้ไม่ได้ใช้มาหลายวันแล้วด้วย
“พี่แปด ในเมื่อพระโอรสกับนายหญิงของเราเดินทางไปด้วยกัน อย่างไรก็ต้องพาคนไปด้วย เยี่ยนชิงเป็นคนสนิทของเขา นี่ก็เป็นเรื่องปกติมิใช่หรือ?”
อีกอย่าง ที่ท่าเรือดอกท้อนั่นน่ะอันตรายอย่างมาก เป็นที่ที่ปลากับมังกรอยู่ปนกันมั่วไปหมด
พาคนไปเยอะๆ ก็สะดวกดีด้วย!
“ถูกต้อง เทียบกับนายหญิงที่พาพวกเราไปมากขนาดนี้ พระโอรสพาเยี่ยนชิงไปด้วยแค่คนเดียวก็น้อยมากแล้ว แล้วก็ข้าได้ยินมาว่าวรยุทธ์ของเยี่ยนชิงผู้นั้นร้ายกาจไม่เบา ไม่แน่ว่าถึงเวลาจวนตัวก็คงจะช่วยออกแรงช่วยเหลือได้บ้าง”
อู่เหยาเก็บของไปพลาง เอ่ยถามไปพลางว่า
“จริงสิน้องแปด ก่อนหน้านี้ไม่ใช่ว่าเจ้าไปแลกเปลี่ยนวิชากับเขามาหรอกหรือ เป็นอย่างไรบ้าง”
ไม่พูดเรื่องนี้ขึ้นมามันก็ดีอยู่หรอก
แต่ทันทีที่พูดเรื่องนี้ น้องแปดพลันโมโหขึ้นมาทันควัน ภายในแววตาทั้งคู่มีประกายเพลิงระอุปะทุ!
“พี่แปด…ท่าน…เคยลองแล้วหรือ?”
ฉึบ!
น้องแปดเขวี้ยงเศษปิ่นหักในมือออกไปทันที!
เสียงแหวกอากาศดังแว่ว สือฟางรีบก้มหลบจ้าละหวั่น ก่อนหอบเอาผักของตัวเองวิ่งหนีไป
น้องแปดพรูลมหายใจออกมายืดยาว ก่อนจะแค่นหัวเราะเสียงเย็น
“วันนั้นข้ายังไม่ได้สู้กับเขาด้วยซ้ำ!”
เดิมนางคิดจะไปถกหลักการกับอีกฝ่าย แน่นอนว่าหลักการของนางก็คือลงมือนั่นล่ะ
ทว่าพอเจอหน้าเยี่ยนชิง ไม่ว่านางจะทำอย่างไร เขาก็ไม่ยอมลงมือเสียที
ตั้งแต่ต้นจนจบ เขาก็ไม่มีทีท่าว่าจะต่อยตีกับนาง กระทั่งตอบโต้สนทนาก็คร้านจะเอ่ยวาจาด้วย
ในสายตาของเยี่ยนชิง น้องแปดก็เป็นแค่แม่นางน้อยเจ้าอารมณ์เท่านั้น
เขาเป็นคนจิตใจด้านชามาแต่ไหนแต่ไร จึงไม่ได้สนใจการกระทำเหล่านี้ของนาง ทั้งยังคร้านจะเสียเวลากับเรื่องพวกนี้ด้วย
น่าเสียดายที่น้องแปดมองว่า นี่คือการดูถูกดูแคลนนางอย่างเปิดเผย!
ดังนั้นความจงเกลียดจงชังต่อเขาจึงผูกรัดทบเงื่อนโดยสมบูรณ์
อู่เหยาเองไม่แปลกใจเท่าไรนัก จึงกล่าวกลั้วหัวเราะว่า
“เจ้าเป็นคนของนายหญิง หากเขาตีเจ้า เจ้าเอากลับไปฟ้องนายหญิงแล้วจะทำอย่างไร? ข้าว่าเยี่ยนชิงผู้นี้ฉลาดไม่เบา”
สตรีน่ะเป็นผู้ที่ไม่ควรยุแหย่ด้วยที่สุดแล้ว
น้องแปดหรี่ตาลงอย่างอันตราย จากนั้นก็คลี่รอยยิ้มเย้ายวนชวนหลงออกมาทันควัน
“อย่างไรซะระหว่างทางไปมีโอกาสตั้งมากมาย คิดหรือว่าข้าจะกลัวเขา!”
เฉินอีผลักประตูเข้ามา
“ไปกันได้แล้ว”
“ขอรับเจ้าค่ะ!”
ต่อให้การเดินทางจะราบรื่นไร้อุปสรรค อย่างน้อยที่สุดก็ยังใช้เวลาหลายสิบวัน
ระหว่างทาง ความเร็วของพวกเขาไม่ได้เชื่องช้าเลย
ในคราแรกฉู่หลิวเยว่เป็นกังวลเรื่องสิบสามผู้พิทักษ์เยว่อยู่ไม่น้อย อย่างไรเสียการรีบร้อนออกเดินทางฉุกละหุกเช่นนี้ก็กินพลังไม่ใช่น้อย
ทว่าในไม่ช้า นางก็พบว่าตัวเองคิดมากไป
กระทั่งผู้ที่มีระดับขั้นพลังปราณต่ำเตี้ยที่สุดอย่างเจ้าสิบสามก็มิได้คล้อยตามหลังแต่อย่างใด
เพราะแบบนี้ฉู่หลิวเยว่จึงค่อนข้างประหลาดใจ ทว่าเมื่อคิดกลับกัน หลายสิบปีมานี้สิบสามผู้พิทักษ์เยว่ต่างแยกย้ายกระจัดกระจายไปตามทาง เมื่อคิดแบบนี้ได้นางก็สงบใจลง
แม้ระดับขั้นพลังปราณของคนพวกนี้จะมีการพัฒนามากขึ้นเมื่อเทียบกับแต่ก่อน ทว่าการเติบโตที่ว่าแท้จริงแล้วมิได้เห็นได้ชัดเจน
แต่ไม่รู้เหตุใด ฉู่หลิวเยว่ยังรู้สึกว่าความสามารถในแต่ละด้านของพวกเขาเองก็เพิ่มขึ้นมามากเช่นกัน
เพราะมัวแต่เร่งรีบเดินทาง ดังนั้นฉู่หลิวเยว่เองก็ยังไม่ได้ไถ่ถามอย่างละเอียดถี่ถ้วน
ประมาณสิบสามวันหลังจากนั้น คณะเดินทางก็มาถึงท่าเรือดอกท้อในที่สุด
…
เมื่อออกมาจากค่ายกลเคลื่อนย้ายแล้วมองออกไป ก็พบกับพื้นที่โล่งเตียนอันเปล่าเปลี่ยว
บนพื้นที่ราบนั้นเผยให้เห็นผืนดินที่แตกระแหงและร่องเหวที่เรียงตัวเป็นระนาบแนวนอน
ม่านแสงโปร่งใสขนาดมหึมาที่กางจากฟ้าปกคลุมลงมาปรากฏให้เห็น ณ เบื้องหน้าพวกเขา
จุดจบอีกฟากหนึ่งของม่านแสงคือภาพทิวทัศน์ที่แตกต่างกับด้านนี้โดยสิ้นเชิง
ดอกท้อสีชมพูแผ่ขยายกระจายไปทั่วแนวเทือกเขาอันมีลักษณะเป็นลูกคลื่นที่เชื่อมต่อกันจนเป็นพื้นที่ขนาดใหญ่
เป็นภาพฉากที่มีชีวิตชีวายิ่งนัก
เพียงแค่มองออกไปเช่นนี้ก็ทำให้ปักใจเชื่อได้ยากนักว่าที่นั่นจะเป็นสถานที่อันตรายยิ่ง
ในตอนนั้นเอง แท้จริงแล้วบนค่ายกลเคลื่อนย้ายหาได้มีแต่คณะเดินทางของฉู่หลิวเยว่และหรงซิวไม่
ค่ายกลเคลื่อนย้ายอันนี้มีขนาดใหญ่มาก แม้อายุการใช้งานจะมาก ทั้งมีร่องรอยของหลายปีที่แล้วทิ้งไว้ แต่มันยังคงใช้งานได้ค่อนข้างดีทีเดียว
ครั้งนี้ฉู่หลิวเยว่พาสิบสามผู้พิทักษ์เยว่มาไม่กี่คน ด้านหรงซิวเองก็พาแค่เยี่ยนชิงมาคนเดียว
ทว่าทั้งหมดนี้ก็นับได้เก้าคนแล้ว จู่ๆ มาปรากฏตัวในที่แห่งนี้ จึงค่อนข้างเป็นจุดดึงดูดสายตาทีเดียว
ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ รังสีของพวกเขากลุ่มนี้ก็นับว่าออกจะไม่ธรรมดา
คนที่ยังพอมีสายตาเฉียบแหลมอยู่บ้างล้วนแต่ดูออกว่าพวกเขามีพื้นเพสูงศักดิ์ มิใช่คนธรรมดาสามัญอย่างแน่นอน
ไอรัศมีที่ปกคลุมทั่วร่างเช่นนี้เองก็มีแต่พวกตระกูลชั้นสูงแนวหน้าเท่านั้นถึงจะบ่มเพาะคนประเภทนี้ออกมาได้
ยามสายตาที่แฝงแววประเมินตรวจสอบและความสงสัยใคร่รู้ของคนเหล่านั้นจับจ้องมา ฉู่หลิวเยว่เองก็กวาดสายตามองโดยรอบอย่างเรียบนิ่ง
ในบรรดาคนเหล่านี้ มีลมปราณอันแกร่งกล้าจนปิดไม่มิดที่ดึงดูดความสนใจนางอยู่หลายสาย
ไอเย็นเยียบสายหนึ่งพลันแล่นปราดขึ้นมาจากปลายเท้า!
ทว่าในตอนที่ฉู่หลิวเยว่คิดจะตรวจสอบดูให้ละเอียด ความรู้สึกถึงภัยคุกคามสายนั้นก็หายวับไปแล้ว
สายตาหลากหลายคู่ที่จับจ้องมาเองก็หายวูบไปในเวลาเดียวกัน มิอาจจับเบาะแสจากไหนได้อีก
ฉู่หลิวเยว่มองไปรอบๆ อย่างนิ่งเฉยคราหนึ่ง
เพียงแต่กลุ่มคนเหล่านั้นที่อยู่โดยรอบทยอยพากันเบนสายตากลับไปอย่างรวดเร็ว
ความจริง ผู้ที่เลือกมาท่าเรือดอกท้อล้วนแต่ไม่ใช่บุคคลธรรมดาสามัญ
ในทุกๆ วันล้วนแต่มีคนทุกประเภทที่แวะเวียนมาถึงที่นี่
มีทั้งคุณชายจากตระกูลตกอับ ทั้งอาชญากรโฉดจอมโหดเหี้ยม
มีทั้งแม่นางผู้เลอโฉม และมีทั้งผู้อาวุโสที่เจนจัดต่อโลก
ดังนั้นแล้ว แม้การปรากฏตัวของพวกฉู่หลิวเยว่จะดึงดูดสายตาของคนพวกนี้ แต่ก็ทำได้แค่ในช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้น
จุดประสงค์แรกสุดของทุกคนที่มาที่นี่คือเข้าไปในท่าเรือดอกท้อและมีชีวิตรอดให้ได้!
“ไปกันเถอะ”
หรงซิวเชิดหน้าขึ้นน้อยๆ จับมือฉู่หลิวเยว่เอาไว้แล้วก้าวเดินไปข้างหน้า
คณะเดินทางทั้งหมดจึงพากันเดินตาม
ค่ายกลเคลื่อนย้ายอยู่ไม่ไกลจากม่านแสง ดังนั้นพวกเขาใช้เวลาไม่นานก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าม่านแสงแล้ว
ฉู่หลิวเยว่พรูลมหายใจออกมาเบาๆ
ไม่คิดเลยว่าชีวิตนี้ นางจะได้กลับมาที่นี่อีกครั้งหนึ่ง