ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1835 เผชิญหน้ากันโดยบังเอิญ
ตอนที่ 1835 เผชิญหน้ากันโดยบังเอิญ
………………..
รูม่านตาของฉู่หลิวเยว่หดเล็กลง!
นางลืมเรื่องนี้ไปจริงๆ!
หรงซิวพูดได้ถูกต้อง โล่สีดำอันนั้นนางได้มาจากท่าเรือดอกท้อแห่งนี้จริงๆ
ตอนนั้นนางแค่รู้สึกว่าของชิ้นนั้นแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก และสะดวกต่อการใช้งาน
แต่หลังจากนั้น นางถึงพบว่าของชิ้นนี้ใช้งานได้ดีกว่าที่นางคิดเสียอีก
ไม่ ไม่เพียงแค่นั้น
จนกระทั่งตอนนี้นางก็ยังไม่รู้ว่า ขีดจำกัดของโล่สีดำชิ้นนี้อยู่ที่ตรงไหน
ระหว่างนี้นางได้เจอเหตุการณ์พลิกผันและเรื่องยุ่งยากมากมาย และยังได้เผชิญหน้ากับความเป็นความตายตั้งไม่รู้กี่ครั้ง
แต่ตราบใดที่นางหยิบโล่สีดำชิ้นนี้ออกมา นางก็ไม่เคยพลาดท่า
ที่นางได้รับบาดเจ็บ สาเหตุหลักก็เป็นเพราะความอดทนของร่างกายนางอ่อนแอเกินไปเอง
แม้ว่าพลังโจมตีจะถูกโล่สีดำนั้นจะลดทอนลงไปเป็นส่วนใหญ่แล้ว แต่ยังถ่ายทอดพลังโจมตีมาสู่นาง
แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าโล่สีดำชิ้นนั้นไม่ดี
เพราะว่าตั้งแต่ต้นจนจบ มันไม่เคยแตกหักมาก่อนเลย
แม้แต่พลังโจมตีที่รุนแรงที่สุดก็ทิ้งเอาไว้ได้แค่เพียงร่องรอยไม่กี่สายเท่านั้น
แตกหัก?
เหมือนว่าจะไม่มีอยู่จริง
ครั้งหนึ่งนางเคยถามองค์ปฐมกษัตริย์เกี่ยวกับโล่สีดำชิ้นนี้ แต่คนที่รอบรู้อย่างองค์ปฐมกษัตริย์ก็ไม่สามารถอธิบายสาเหตุว่าเหตุใดมันถึงแข็งแกร่งเช่นนี้
เมื่อเวลาผ่านมา ฉู่หลิวเยว่จึงเก็บเรื่องเหล่านี้เอาไว้ในใจ
อันที่จริงนางเกือบลืมไปแล้วว่านางได้โล่สีดำชิ้นนี้มาจากท่าเรือดอกท้อ!
ไม่ว่าจะเป็นโล่สีดำอันนั้น หรือว่าผาธารใส สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ที่ที่จะสามารถพบเจอได้ในสถานที่ที่ธรรมดา
หรือว่า…
ทันใดนั้นภายในสมองของฉู่หลิวเยว่ต้องมีประกายสีขาวสว่างวาบออกมา
นางกุมมือของหรงซิวไว้แล้วถามว่า
“ที่คนของสำนักกระบี่ทมิฬยังอยู่ที่นี่เป็นเพราะว่าเขาก็ค้นพบเรื่องนี้แล้วใช่หรือไม่?”
หรงซิวหยุดชะงักไปชั่วคราว
“พูดยาก”
ท้ายที่สุดแล้วตอนนี้พวกเขายังไม่ได้เผชิญหน้ากัน สถานการณ์เป็นอย่างใดนั้นก็ยังไม่แน่ชัด
ฉู่หลิวเยว่เม้มริมฝีปากของตนเอง
“รอให้ซานซานกลับมาจากสำนักกระบี่ทมิฬแล้วค่อยว่ากัน”
…
เวลาสามวันผ่านไปในชั่วพริบตา
ช่วงเช้าวันหนึ่ง ซานซานนำหญ้าผสานวิญญาณไปยังสำนักกระบี่ทมิฬด้วยตัวคนเดียว
สำนักกระบี่ทมิฬมีการคุ้มกันที่เข้มงวด ไม่เคยอนุญาตให้ผู้อื่นเข้าออกได้ตามใจชอบ
ดังนั้นทุกครั้งที่ซานซานมาส่งของ เขาก็จะไปด้วยตัวคนเดียวและไม่มีผู้ติดตามตามไปด้วย
ยังดีที่เขาไม่ได้ทำเช่นนี้เป็นครั้งแรก ฉู่หลิวเยว่นำหญ้าผสานวิญญาณมาเพิ่มให้แก่เขาแล้ว ดังนั้นทุกคนจึงไม่ได้เป็นห่วงมากเท่าใด พวกเขาล้วนจัดการอยู่กับเรื่องของตัวเอง
ตอนที่เฉินอีมาหาฉู่หลิวเยว่ ตอนนั้นนางกำลังดูใบเทียบยาอยู่
“นายท่าน ข้าว่าจะพาสือซานออกไปด้านนอกก่อน”
ฉู่หลิวเยว่เงยหน้าขึ้นมา
“วันนี้หรือ? เกิดเรื่องอันใดขึ้น?”
“ไม่มีอันใด สือซานเตรียมตัวจะทะลวงด่าน ข้ากลัวว่าจะทำให้จวนเสียหาย ดังนั้นจึงอยากจะพาเขาออกไปด้านนอก เพื่อหาสถานที่โล่งกว้าง”
ฉู่หลิวเยว่ก็นึกขึ้นมาได้ในทันที
สือซานเตรียมตัวจะทะลวงด่านสู่จอมยุทธระดับเจ็ด
ด้วยพรสวรรค์ของเขาแล้ว ด่านพลังจิตวั่งเสิ่นจะต้องทำให้เกิดความปั่นป่วนอย่างมากแน่นอน
แม้ว่าจวนนี้จะมีขนาดใหญ่ แต่ก็ไม่สามารถทนต่อแรงโจมตีของทัณฑ์สวรรค์ได้
ฉู่หลิวเยว่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
“ข้าจะไปกับเจ้าด้วย”
นางเพียงแค่อยากดูเท่านั้น ว่าพรสวรรค์และฝีมือของสือซานจะอยู่ในระดับไหนแล้ว
เฉินอีก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจกับการตัดสินใจของนาง เขาจึงพยักหน้าเบาๆ
“ขอรับ”
…
ท่าเรือดอกท้อมียอดเขาสูงอยู่เป็นจำนวนมาก
ฉู่หลิวเยว่และเฉินอีพาสือซานไปค้นหายอดเขาที่ห่างไกลและสงบเงียบ
เหมือนว่าหรงซิวกำลังปรึกษาหารือกับเยี่ยนชิงด้วยเรื่องบางอย่างอยู่ ดังนั้นจึงไม่ได้ติดตามมาด้วย
ฉู่หลิวเยว่กวาดสายตามองโดยรอบ
นางไม่ได้มาที่นี่บ่อยนัก
แม้ว่านางกับหรงซิวจะอยู่มาที่แห่งนี้นานแล้ว แต่ท่าเรือดอกท้อก็มีขนาดใหญ่มาก พวกเขาไม่สามารถไปทุกที่ได้
ดังนั้นที่นางมาในครั้งนี้ ความรู้สึกของนางจึงแตกต่างออกไป
“นายท่าน พี่ใหญ่ ข้าจะไปแล้วนะ”
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม
“ไม่ต้องตื่นเต้น พวกเราอยู่ที่นี่แหละ”
ฉู่หลิวเยว่และเฉินอียืนรออยู่ที่ยอดเขาข้างเคียง
เงาร่างของสือซานตกลงบนยอดเขานั้นอย่างแผ่วเบา
ชายหนุ่มรูปร่างผอมเพรียว ท่ามกลางทิวทัศน์เหล่านั้นทำให้เขาดูตัวบางยิ่งกว่าเดิม
ลมจากภูเขาพัดพา ชายเสื้อของเขานั้นปลิวไสวขึ้น
เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นก็นั่งลง หลับตารวบรวมสมาธิ ก่อนจะเริ่มดูดซับพลังแห่งสวรรค์และโลกที่อยู่รอบข้าง
หลังจากนั้นไม่นาน พลังอันเข้มข้นก็พุ่งเข้ามาหาเขาอย่างท่วมท้น
บนท้องฟ้า มีเมฆดำรวมตัว!
เสียงลมฝนดังแว่วมาอย่างเลือนราง!
ฉู่หลิวเยว่มองไปอย่างตั้งใจ
ด้านหลังชั้นเมฆที่ก่อรวมตัวกันอยู่นั้น เริ่มมีทัณฑ์สวรรค์สีเงินปรากฏขึ้นเลือนรางแล้ว
สือซานก็มีชีพจรเทียนจิงเช่นกัน ไม่รู้ว่าครั้งนี้เขาจะสามารถอัญเชิญได้กี่สาย…
ตอนที่ทะลวงด่านพลังจิตวั่งเสิ่น จำนวนทัณฑ์สวรรค์ที่อัญเชิญออกมาได้ แสดงถึงความแข็งแกร่งของผู้บำเพ็ญเพียรในอนาคต
ดังนั้นสำหรับด่านนี้ ผู้บำเพ็ญเพียรทุกคนจะให้ความสำคัญเป็นพิเศษ
พวกเขาไม่จำเป็นต้องรอนาน
เปรี้ยง!
ทัณฑ์สวรรค์สายหนึ่งฟาดลงมาอย่างกะทันหัน!
พลังบริเวณรอบยอดเขาพวยพุ่ง!
ฉู่หลิวเยว่สะบัดมือของนางขึ้น ด้านหน้าของนางก็มีม่านพลังขวางกั้นเอาไว้ พร้อมปิดกั้นพลังที่บ้าคลั่งเหล่านั้นอย่างไร้เสียง
ตอนนี้พลังแห่งทัณฑ์สวรรค์เหล่านั้นไม่สามารถทำอันตรายนางได้อีกแล้ว
เงาร่างของสือซานถูกลำแสงสีขาวสว่างเจิดจ้าปกคลุม
แต่ฉู่หลิวเยว่ก็ไม่ได้กังวล
เฉินอีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
“น่าจะ…”
เปรี้ยง!
ในตอนนั้นเอง บนท้องฟ้าก็มีเสียงดังกึกก้องกัมปนาทดังขึ้นอีกครั้ง!
ฉู่หลิวเยว่หันหน้าไปมองเฉินอีที่อยู่ด้านข้าง
ไม่รู้ว่าทางนั้นมีเมฆดำมารวมตัวหนาแน่นตั้งแต่เมื่อใด
อีกทั้งดูจากลักษณะท่าทางเหมือนจะมีทัณฑ์สวรรค์ฟาดลงมาอีกแล้ว!
“มีคนอื่นบำเพ็ญเพียรอยู่แถวนี้อีกหรือไม่?”
ฉู่หลิวเยว่รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
นี่มันจะบังเอิญเกินไปหรือไม่?
ตอนนี้เป็นเวลาเช้าตรู่
อีกทั้งเพื่อให้สือซานได้ทะลวงด่านอย่างราบรื่น พวกเราจึงเลือกที่สงบและห่างไกลผู้คน
คาดไม่ถึงว่าจะได้มาเจอกับคนอื่นเช่นนี้? อีกทั้งเหมือนว่าอีกฝ่ายก็จะทะลวงด่านเหมือนกัน?
หลังจากนั้นไม่นานฉู่หลิวเยว่ก็พบว่าพลังในการทะลวงด่านของเขานั้นสูงกว่าของพวกเราด้วยซ้ำ
“ดูเหมือนว่าผู้บำเพ็ญเพียรคนนั้นจะมีระดับไม่ต่ำด้วย…”
ฉู่หลิวเยว่บ่นพึมพำ
เปรี้ยง!
ทัณฑ์สวรรค์ที่พันกันราวกับอสรพิษสีเงินฟาดลงมาจากฟากฟ้าอย่างรุนแรง!
เพียงแต่ว่าทัณฑ์สวรรค์เหล่านั้นไม่ได้ตกลงมาด้านล่าง แต่เหมือนกับจะผ่าลงไปในหุบเขาของยอดเขาเหล่านั้น
เปรี้ยง!
ต่อมาก็เป็นสายที่สอง!
ฉู่หลิวเยว่รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
ความเร็วของทัณฑ์สวรรค์ที่ผ่าลงมานั้นรวดเร็วกว่าปกติ
เฉินอีจ้องมองท้องฟ้าที่อยู่ในระยะไกล แล้วขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย
ฉู่หลิวเยว่เห็นสีหน้าของเขา แล้วถามขึ้นมาว่า
“มีอันใดผิดปกติหรือ?”
เฉินอีพยักหน้า แล้วชี้ไปทางนั้นพร้อมพูดขึ้นว่า
“นายท่านดูให้ละเอียดสิขอรับ ทัณฑ์สวรรค์สองสายที่ฟาดลงทางนั้น มันไม่เหมือนกันเลย”