ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1836 แย่งชิง
ตอนที่ 1836 แย่งชิง
………………..
หลังจากฟังคำพูดของเขาแล้ว ฉู่หลิวเยว่ก็จ้องมองไปทางนั้นอย่างตั้งใจ
และครั้งนี้นางก็ได้เห็นเบาะแสจริงๆ
“เจ้าพูดได้ถูกต้อง แม้ว่าทัณฑ์สวรรค์ทั้งสองสายจะผ่าลงไปที่กลางหุบเขาเหมือนกัน แต่ตำแหน่งนั้นไม่เหมือนกัน”
เพราะว่าระยะห่างของพวกเขานั้นไม่ได้ไกลกันมาก กอปรกับทั้งสองคนก็มีพลังที่น่าตกใจ จึงสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน
หากมองผ่านๆ ก็ไม่เห็นถึงสิ่งผิดปกติ
แต่ถ้ามองอย่างละเอียดก็จะสามารถมองเห็นปัญหาได้อย่างง่ายดาย
“แต่ว่าเหมือนระยะห่างของทัณฑ์สวรรค์ทั้งสองสายนั้นจะไม่ได้ห่างไกลกันมาก…”
ฉู่หลิวเยว่ขมวดคิ้วขึ้น
“เหมือนกับว่า…”
เปรี้ยง!
นางยังไม่ทันพูดจบ ทัณฑ์สวรรค์สายที่สามก็ผ่าลงมาในทันที!
ฉู่หลิวเยว่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็หัวเราะออกมาหนึ่งเสียง
“น่าสนใจจริงๆ …”
ทัณฑ์สวรรค์ทั้งสามสายนี้ ดูเหมือนว่าจะโจมตีในสถานที่เดียวกัน แต่ตำแหน่งนั้นแตกต่างกัน
หากเป็นผู้บำเพ็ญเพียรที่ต้องการจะทะลวงด่าน หรือเป็นช่างหลอมอาวุธที่ต้องการอัญเชิญทัณฑ์สวรรค์เพื่อหลอมอาวุธศักดิ์สิทธิ์ ทัณฑ์สวรรค์เหล่านี้ควรจะผ่าลงในตำแหน่งดียวกัน
จะกระจัดกระจายออกไปเช่นนี้ได้อย่างใด?
เรื่องนี้มันละเอียดอ่อนอย่างมาก
“อย่าเพิ่งสนใจเรื่องนั้น”
ฉู่หลิวเยว่ถอนสายตากลับมา หันมามองทางสือซานอีกครั้ง
ทัณฑ์สวรรค์สายที่สองกำลังพุ่งลงมาจากชั้นเมฆ
ดูจากสถานการณ์ของเขาแล้ว ท่าทางไม่เลวเลย
ไม่ว่าสถานการณ์ด้านนั้นจะเป็นอย่างใด นางไม่อนุญาตให้มารบกวนการทะลวงด่านของสือซาน
ระยะห่างของทั้งสองฝ่ายนั้นใกล้กันมาก
พวกเขาล้วนกำลังอัญเชิญทัณฑ์สวรรค์…
ในตอนนี้ฉู่หลิวเยว่หวังแค่เพียงว่าคนทางด้านนั้นจะจัดการเรื่องของตนเองได้อย่างราบรื่นปลอดภัย
หลังจากนั้นไม่นานทัณฑ์สวรรค์สายที่สองจากการทะลวงด่านพลังจิตวั่งเสิ่นก็ผ่าลงมาแล้ว!
ครั้งนี้พลังที่แฝงอยู่ในทัณฑ์สวรรค์แข็งแกร่งกว่าครั้งที่แล้วอย่างเห็นได้ชัด!
ตำแหน่งขอบผาล้วนเปลี่ยนเป็นสีดำไหม้เกรียม
ยังดีที่สถานการณ์ของสือซานไม่ได้ย่ำแย่ มั่นคงราวกับหินผา
ฉู่หลิวเยว่รู้สึกวางใจมากยิ่งขึ้น
หลายปีที่ผ่านมานี้ สือซานติดตามเฉินอีและคนอื่นๆ อยู่ตลอด แม้ว่าจะไม่ได้เป็นศิษย์ของเขาอย่างเป็นทางการ แต่ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อเขาแต่อย่างใด
เฉินอีเป็นคนฉลาดอย่างมาก
เขารู้ว่าควรจะชี้แนะอย่างใด
นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าผู้พิทักษ์สิบสามเยว่ที่มีความถนัดไม่เหมือนกัน นิสัยแตกต่างกัน บุคลิกก็ไม่เข้ากัน แต่กลับสามารถอยู่ด้วยกันได้เป็นเวลานานปี
ฉู่หลิวเยว่ไว้วางใจเฉินอีเป็นอย่างมาก
ดูจากสถานการณ์ของสือซานในตอนนี้ นางก็ยิ่งมั่นใจในเรื่องนี้มากยิ่งขึ้น
“การเคลื่อนไหวของฝั่งนั้นเหมือนว่าจะรุนแรงมากยิ่งขึ้น”
เฉินอีพูดขึ้นมาอย่างกะทันหัน
นี่เพิ่งผ่านไปเพียงครู่เดียว บริเวณนั้นก็มีทัณฑ์สวรรค์รวมตัวกันเป็นจำนวนมาก
หากมองผ่านๆ อย่างน้อยก็มีสี่ห้าสาย ซึ่งเหมือนกับงูสีเงินเลื้อยผ่านเมฆา
และแทบจะผ่าลงมาทันทีอย่างไม่ลังเล!
ฉู่หลิวเยว่จ้องมองอยู่ครู่หนึ่ง นางเพียงแค่รู้สึกสับสนมากขึ้นกว่าเดิม
เพราะว่าทัณฑ์สวรรค์เหล่านั้น ก็เหมือนจะโจมตีคนละตำแหน่งกับตอนแรก
นางแทบจะไม่เคยเห็นสถานการณ์แบบนี้มาก่อนเลย
แต่สิ่งที่ทำให้นางรู้สึกเป็นกังวลมากที่สุดก็คือ เมฆดำของทางนั้นพลุ่งพล่านและรุนแรงมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม อีกทั้งยังขยายบริเวณวงกว้างขึ้นกว่าเดิม
หากมันขยายมาทางนี้อีกก็จะต้องส่งผลกระทบต่อสือซานแน่นอน!
ในตอนที่ฉู่หลิวเยว่กำลังครุ่นคิดคิดถึงการแก้ไขปัญหานี้ เงาร่างสีดำเงาหนึ่งก็พุ่งตัวออกมาจากกลางหุบเขาอย่างกะทันหัน และมุ่งหน้ามาทางฉู่หลิวเยว่กับเฉินอีด้วยความเร็ว
เมื่อเห็นเสื้อผ้าของอีกฝ่ายอย่างชัดเจน รูม่านตาของฉู่หลิวเยว่ก็หดเล็กลง!
ชุดคลุมสีดำทั้งกาย หมวกขนาดใหญ่ที่แทบจะปิดบังใบหน้าครึ่งหนึ่ง หน้าอกด้านซ้ายปักสัญลักษณ์หนึ่งเอาไว้ เป็นสัญลักษณ์กระบี่สองอันไขว้กัน ด้านหลังเป็นพระจันทร์สีเลือดส่องสะท้อนแสง!
…คนของสำนักกระบี่ทมิฬ!
เมื่อสัมผัสได้ถึงจิตสังหารที่เข้มข้นของอีกฝ่าย ร่างกายของฉู่หลิวเยว่ตึงเกร็งไปในทันที ผู้ที่มานั้นมีเจตนาร้าย!
เฉินอีหรี่ตาลงเล็กน้อย พร้อมกำหมัดที่อยู่ในแขนเสื้อกรอด
ภายในชั่วพริบตาเดียว ชายสวมชุดดำคนนั้นก็มาอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว
พรึ่บ!
เขาชักดาบหงส์ออกมาจากเอวของเขา
“พวกเจ้าเป็นใครกัน คาดไม่ถึงว่าจะกล้าบุกทะลวงมายังภูเขาสำนักกระบี่ทมิฬ! พวกเจ้าไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วหรืออย่างใด!”
ฉู่หลิวเยว่ขมวดคิ้วขึ้น
เหตุใดนางถึงไม่รู้เลยล่ะ?
สถานที่แห่งนี้แทบจะเป็นดินแดนรกร้างว่างเปล่า เหตุใดถึงกลายเป็นถิ่นของเขาอย่างไม่ทราบสาเหตุได้?
หากเป็นถิ่นของพวกเขาจริงๆ แม้กระทั่งม่านพลังกับสัญลักษณ์ก็ยังไม่มีเลยหรือ?
เมื่อครู่นี้ตอนที่นางเดินผ่านเข้ามา นางไม่เห็นแม้กระทั่งเวรยามรักษาการณ์เลยสักคน
“พวกเรามาถึงที่นี่นานขนาดนี้แล้ว หากที่แห่งนี้เป็นที่ของพวกเจ้าจริงๆ ก็น่าจะต้องมีคนขวางพวกเราเอาไว้ตั้งแต่แรกสิ?”
ฉู่หลิวเยว่ถามกลับ
อีกฝ่ายนั้นคิดไม่ถึงว่าฉู่หลิวเยว่จะใจกล้ามากขนาดนี้ หลังจากได้ยินชื่อสำนักกระบี่ทมิฬแล้ว ก็ยังกล้าทำตัวกำเริบเสิบสานโต้เถียงกลับเช่นนี้อีก
เรื่องนี้จึงทำให้เขาพูดไม่ออกไปชั่วขณะ
ที่แห่งนี้ไม่นับว่าเป็นถิ่นของเขาจริงๆ นั่นแหละ
เพียงแต่เมื่อครู่นี้เขาเพิ่งเห็นว่าที่นี่มีคนอยู่ เขาจึงออกมาไล่อีกฝ่ายให้จากไป
แววตาของเขาดำมืดยิ่งกว่าเดิม สายตาฟาดฟันลงมาที่ร่างกายของฉู่หลิวเยว่กับเฉินอีราวกับกระบี่
“พวกเจ้า…เพิ่งมาใหม่หรือ?”
หากเป็นคนที่อาศัยอยู่ในท่าเรือดอกท้อมาซักระยะหนึ่งแล้ว ไม่มีทางพูดจากับเขาด้วยท่าทางเช่นนี้เด็ดขาด
มีเพียงแค่คนมาใหม่ที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอันใดเลยเท่านั้น
ดวงตาของฉู่หลิวเยว่เย็นชาลงเล็กน้อย
น้ำเสียงและสายตาของอีกฝ่ายทำให้นางรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก
“เหตุใด มาใหม่แล้วไม่มีสิทธิ์อยู่ที่นี่อย่างนั้นหรือ?”
ริมฝีปากแดงของฉู่หลิวเยว่ยกยิ้มขึ้นอย่างเย็นยะเยือก
“พวกเราเป็นน้ำบ่อไม่ยุ่งกับน้ำคลอง ต่างฝ่ายต่างอยู่กันอย่างสันติ แบบนั้นมันไม่ดีหรือ? เหตุใดเจ้าจำเป็นจะต้องสังหารคนให้ตายอย่างนั้นเลยหรือ? เจ้าก็เห็นแล้วไม่ใช่หรือ คนของเรากำลังจะทะลวงด่านอยู่ ในเวลาแบบนี้ห้ามรบกวนเป็นอันขาด”
ใครกล้ามาขัดจังหวะตอนที่สือซานบำเพ็ญเพียร นางจะไม่มีทางละเว้นเด็ดขาด!
เมื่อได้ยินคำพูดของนาง ลมปราณของชายสวมชุดคลุมสีดำก็พุ่งสูงขึ้น ทันใดนั้นความเย็นยะเยือกก็เข้าคืบคลาน!
อุณหภูมิรอบข้างลดต่ำลงหลายองศา จนทำให้คนรู้สึกสั่นสะท้านขึ้นมา
ฉู่หลิวเยว่ก็เริ่มโคจรพลังปราณดั้งเดิมของตนเอง
หลังจากนั้นสายตาของเขาก็หันไปมองทางสือซาน
“ด่านพลังจิตวั่งเสิ่น…”
เขาพูดพึมพำเสียงต่ำ
“ดูเหมือนว่าจะมีพรสวรรค์ไม่เลว…”
ไม่รู้ว่าเหตุใดแต่เสียงทุ้มต่ำของเขาทำให้ฉู่หลิวเยว่รู้สึกไม่สบายใจอย่างมาก!
สายตาของเขา…
นางขมวดคิ้วขึ้น
ตอนที่นางกำลังจะเชิญอีกฝ่ายให้ออกไป ชายคนนั้นก็ยกปลายดาบชี้ไปทางสือซานอย่างกะทันหัน
ภายในน้ำเสียงที่เย็นเยียบยังแฝงด้วยความกระหายเลือดและตื่นเต้น
“ส่งเขามาให้ข้า แล้ววันนี้ข้าจะปล่อยพวกเจ้าไป!”
………………..