ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1837 ต่อสู้ ตอนที่ 1838 ปราณกระบี่ไร้เขตแดน
ตอนที่ 1837 ต่อสู้ ตอนที่ 1838 ปราณกระบี่ไร้เขตแดน
………………..
ตอนที่ 1837 ต่อสู้
ฉู่หลิวเยว่เงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่จะเข้าใจว่าเขานั้นกำลังหมายถึงอันใด
ตอนนั้นนางเกือบจะหลุดหัวเราะออกมาเสียงดัง
“ขอโทษนะ ที่เจ้าพูดเมื่อครู่นี้ข้าได้ยินไม่ชัดเจน รบกวนพูดอีกครั้งได้หรือไม่?”
ชายสวมชุดคลุมสีดำจ้องมองนางด้วยแววตาเย็นชา ก่อนจะพูดออกมาทีละคำว่า
“ข้าบอกว่า ให้พวกเจ้าส่งเขามาให้แก่สำนักกระบี่ทมิฬ!”
ประโยคนี้ไม่ใช่ประโยคคำถาม ไม่ใช่การปรึกษาหารือ แต่เป็นคำสั่ง!
มุมปากของฉู่หลิวเยว่ยังคงประดับด้วยรอยยิ้ม แต่ระหว่างคิ้วของนางกลับเย็นชาลงหลายส่วน
น่าสนุกจริงๆ
นางเพิ่งมาถึงท่าเรือดอกท้อได้แค่สามวัน แต่ก็ได้เจอกับคนของสำนักกระบี่ทมิฬถึงสองครั้ง
ครั้งแรก พวกเขาแย่งของของนาง
คิดไม่ถึงว่าครั้งนี้ พวกเขาจะแย่งคนของนาง…
“สือซานเป็นคนของข้า เขาอยู่กับข้ามาตั้งแต่เด็กจนโต เงื่อนไขนี้ เกรงว่าข้าคงจะไม่สามารถตอบรับได้”
ฉู่หลิวเยว่พูดด้วยน้ำเสียงกระจ่างชัดเย็นชา
ชายสวมชุดคลุมสีดำมองนางด้วยความประหลาดใจ เหมือนกับว่ารู้สึกตกใจอย่างมากที่นางพูดเช่นนี้ออกมา
“เจ้าต้องรู้ก่อนว่า การได้เข้าร่วมกับสำนักกระบี่ทมิฬของพวกเรานั้นมันเป็นเกียรติมากขนาดไหน? ภายในท่าเรือดอกท้อมีคนมากมายที่พยายามอย่างมาก แต่ก็ไม่สามารถเหยียบย่างเข้ามาในสำนักกระบี่ทมิฬได้ ตอนนี้พวกเราเป็นคนพูดขึ้นมาเองว่าต้องการเขา ซึ่งนี่ก็เป็นเกียรติสูงสุดของพวกเจ้าแล้ว! เจ้าอย่าทำเป็นคนสมองทึบหน่อยเลย!”
สำหรับฉู่หลิวเยว่แล้ว คำเตือนนี้ก็เหมือนเรื่องน่าตลก
ที่พวกเขาต้องการตัวสือซาน เป็นเพราะเห็นว่าสือซานมีพรสวรรค์ล้ำเลิศไม่ใช่หรือ?
ในตอนแรกอีกฝ่ายมีจิตสังหารพวยพุ่งขึ้นจนเหมือนว่าต้องการจะสังหารชีวิตพวกเขาให้ตายลงในทันที แต่หลังจากได้พบสือซาน เขาก็กลับคำพูด บอกว่าให้ส่งสือซานให้กับเขา แล้วยังพูดว่าการได้เข้าสำนักกระบี่ทมิฬถือเป็นเรื่องโชคดีอย่างมาก…
ถุ้ย!
น่าสนใจจริงๆ!
ฉู่หลิวเยว่เก็บซ่อนความคิดของนาง แต่ใบหน้ายังคงประดับด้วยรอยยิ้มเกรงใจ
“ขอโทษด้วยจริงๆ เจ้าค่ะ ข้าก็ยังคงเลือกที่จะปฏิเสธอยู่”
อุณหภูมิของบรรยากาศในตอนนี้ลดลงไปหลายองศา!
พื้นที่แห่งนี้เหมือนถูกแช่แข็งไปในทันที อากาศหนาวเสียดแทงกระดูก
ชายหนุ่มสวมชุดคลุมสีดำโกรธจนหัวเราะออกมา
“เจ้าแน่ใจหรือ?”
“ข้าพูดไปแล้วสองรอบ เจ้ายังได้ยินไม่ชัดเจนอีกหรือ?”
มุมปากของฉู่หลิวเยว่ประดับด้วยรอยยิ้ม ในแววตากลับมีความหมดความอดทนแฝงอยู่
เรื่องแย่งของของนาง นางยังไม่ได้คิดบัญชีเลย ตอนนี้จะมาแย่งคนของนางอีกแล้ว
นี่มันจะรังแกกันเกินไปแล้วนะ!
“เจ้า!”
ชายสวมชุดคลุมสีดำไม่ได้เจอกับคนที่ปฏิบัติด้วยท่าทีแข็งกร้าวมานานมากแล้ว แล้วยังกล้าพูดกับเขาเช่นนี้อีก ในตอนนั้นเขารู้สึกโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ คาดไม่ถึงว่าจะไม่สามารถพูดอันใดออกมาได้แม้แต่คำเดียว
เปรี้ยง!
ในขณะเดียวกันนั้นเอง ทัณฑ์สวรรค์ของทั้งสองฝ่ายที่อยู่บนท้องฟ้าก็ฟาดลงมาพร้อมกัน!
ยิ่งกว่านั้นเป็นเพราะว่าพลังของทั้งสองฝ่ายรุนแรงมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ระยะห่างของเมฆดำทั้งสองกลุ่มก้อนก็หดเล็กลง!
เวลาผ่านไปเพียงแค่ไม่นาน พลังของทั้งสองฝ่ายก็กำลังจะสัมผัสกันและพัวพันเข้าด้วยกันแล้ว!
ซึ่งนี่ไม่ใช่สิ่งที่ดีเลย
นี่เป็นสิ่งที่ฉู่หลิวเยว่รู้สึกเป็นกังวลตั้งแต่ต้น
นางเงยหน้าขึ้นมอง ดวงตามืดดำ
ชายสวมชุดคลุมสีดำก็เห็นเหตุการณ์นี้ แต่เขากลับดูไม่เป็นกังวลเลย ซ้ำยังหัวเราะเสียงเย็นออกมา
“ทัณฑ์สวรรค์ที่พลังจิตวั่งเสิ่นอัญเชิญออกมานั้น จะสามารถเปรียบเทียบกับทัณฑ์สวรรค์ของพวกเราได้อย่างใด? หากพวกเจ้ายังมีท่าทีแข็งกร้าวอย่างนี้ สุดท้ายคนที่จะเสียเปรียบก็จะต้องเป็นฝ่ายพวกเจ้าเอง!”
ไม่ว่าจะเป็นจำนวนของทัณฑ์สวรรค์ หรือระดับความแข็งแกร่ง สือซานไม่สามารถเทียบกับฝั่งนั้นได้จริงๆ
หากจะต้องปะทะกันแล้ว ก็เหมือนเอาไข่ไปกระทบกับหิน
อีกฝ่ายอาจจะไม่ได้รับการรบกวนใดๆ แต่สำหรับสือซานแล้ว มีแนวโน้มว่าจะทะลวงด่านล้มเหลว
เมื่อได้ยินดังนั้นมุมปากของฉู่หลิวเยว่ก็ยกขึ้นอย่างกะทันหัน
“หื้ม อย่างนั้นหรือ?”
ตอนที่ 1838 ปราณกระบี่ไร้เขตแดน
เดิมทีนางไม่อยากจะเข้าไปพัวพันกับอีกฝ่าย ท้ายที่สุดแล้วภูมิหลังของสำนักกระบี่ทมิฬเป็นอย่างใดนั้น นางก็ยังไม่แน่ชัด
แต่หากพวกเขารังแกกันเกินไป เรื่องนี้ก็โทษนางไม่ได้แล้ว
“ข้าไม่มีทางมอบคนผู้นั้นให้พวกเจ้า ส่วนเรื่องทัณฑ์สวรรค์…”
“เหล่าซาน!”
ในตอนนั้นเองเสียงเกรี้ยวกราดของชายผู้หนึ่งก็ดังขึ้นอย่างกะทันหัน
ดวงตาของฉู่หลิวเยว่หรี่ลงเล็กน้อย จากนั้นก็เห็นว่ามีอีกคนหนึ่งพุ่งตัวออกมาจากกลางหุบเขา
“เจ้ากำลังทำบ้าอันใดอยู่? เหตุใดถึงยังไม่กลับมาเสียที?”
ชายคนนั้นไม่ได้เดินทางมาที่นี่ เขาแค่ตะโกนขึ้นเสียงดังจากระยะไกล
“เหล่าเอ้อร์ ทางนี้มีคนกำลังจะทะลวงด่าน! เลยอัญเชิญทัณฑ์สวรรค์ด่านพลังจิตวั่งเสิ่น…”
“ก็แค่จอมยุทธ์ระดับหกไม่ใช่หรือ เหตุใดถึงต้องใช้เวลาจัดการนานขนาดนี้?”
เหมือนว่าเหล่าเอ้อร์จะไม่พอใจเป็นอย่างมาก
“นี่มัน…”
เหล่าซานอยากจะอธิบายว่า เขาเห็นว่าคนที่จะทะลวงด่านนี้เป็นเด็กหนุ่มที่มีพรสวรรค์ไม่เลว จึงต้องเสียเวลาไปบ้าง
“เอาล่ะ! ตอนนี้ไม่ได้มีเวลามากขนาดนั้น! เจ้ารีบกลับมา! ทางนี้คนไม่พอแล้ว!”
ตอนนี้มันเป็นเวลาไหนกันแล้ว!
จะให้มาสนใจเรื่องเหล่านี้ได้อย่างใด!
เหล่าซานทำได้เพียงตอบรับ
“ขอรับ!”
เขาสะกิดปลายเท้าขึ้น จากนั้นก็เหลือบสายตามามองทางฉู่หลิวเยว่ด้วยความล้ำลึก
“ในเมื่อเจ้าไม่ต้องการ…ถ้าอย่างนั้นก็รอเก็บศพของเด็กคนนั้นทีหลังก็แล้วกัน!”
รอจนกระทั่งพวกเขาสามารถอัญเชิญทัณฑ์สวรรค์ได้ทั้งหมด ในตอนนั้นจะมีพื้นที่ให้เด็กคนนั้นทะลวงด่านได้อย่างใด?
เมื่อถึงเวลานั้นก็มีเพียงความตายอย่างเดียวเท่านั้น!
เด็กคนนั้นเป็นต้นกล้าที่ไม่เลวเลย หากอีกฝ่ายมอบมาให้ ไม่แน่ว่าเขาอาจจะได้รับรางวัลไม่น้อย…
น่าเสียดายมาก
ในแววตาของเหล่าซานเต็มไปด้วยความไม่ยินยอมและเคียดแค้น ก่อนจะพุ่งตัวออกมาทันที!
หลังจากนั้นไม่นานเงาร่างของเขาก็หายไปทางด้านหลังยอดเขาแห่งนั้น
ทัณฑ์สวรรค์ยังคงผ่าลงมาอย่างต่อเนื่อง
แต่การเคลื่อนไหวของเขาก็ไม่ได้ชะงักไปเลยแม้แต่น้อย กลับดูเร่งรีบมากยิ่งขึ้นอีกด้วย
“เฉินอี เมื่อครู่นี้คนผู้นั้นพูดว่าทางด้านพวกเขามีคนไม่พอใช่หรือไม่?”
เฉินอีพยักหน้า
“ถูกต้อง”
ถ้าอย่างนั้นก็ยิ่งแปลกกว่าเดิมแล้ว
มันเกิดเรื่องอันใดขึ้นกับฝั่งนั้นกันแน่นะ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่มีทัณฑ์สวรรค์จำนวนมาก แต่เขากลับพูดขึ้นมาว่า “คนไม่พอ” ?
ฉู่หลิวเยว่ขมวดคิ้วครุ่นคิด
ในเวลานี้มีระยะขอบของเมฆดำสองกลุ่มที่อยู่บนท้องฟ้ากำลังจะสัมผัสกันแล้ว
สถานการณ์ของสือซานนั้นไม่สามารถเทียบกับอีกฝ่ายได้เลย
เมื่อหันไปมองแล้ว สือซานก็เป็นเพียงแค่หนึ่งส่วนสิบของอีกฝ่ายเท่านั้น
ด้วยสถานการณ์เช่นนี้ พลังทัณฑ์สวรรค์ที่สือซานอัญเชิญมาอาจจะต้องถูกอีกฝ่ายกลืนกิน
และนี่เป็นเหตุผลว่าเหตุใดชายผู้นั้นถึงพูดเตือนฉู่หลิวเยว่เช่นนี้
…นี่เป็นการต่อสู้อย่างไม่ต้องสงสัย
ฉู่หลิวเยว่หันมองทางสือซาน
เขากำลังจะรับทัณฑ์สวรรค์สายที่สี่แล้ว
ภายในเปลวเพลิงที่สว่างไสวสามารถมองเห็นเขาที่สวมเสื้อผ้าขาดวิ่นได้อย่างเลือนราง อีกทั้งยังมีคราบเลือดประปราย
เห็นได้ชัดว่า สำหรับเขาแล้ว ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนที่ยากลำบากอย่างมาก
หากเขาได้รับผลกระทบจากภายนอกในเวลานี้…
เปรี้ยง!
ทัณฑ์สวรรค์ที่ฟาดลงมาที่ทวีคูณความน่าสะพรึงกลัวมากยิ่งขึ้น
เมฆดำหนาทึบและพวยพุ่งออกมาอย่างบ้าคลั่ง บดบังท้องฟ้าและดวงอาทิตย์
ภายใต้ผลกระทบจากภายนอก คาดไม่ถึงว่าทัณฑ์สวรรค์จะถูกดูดซับไป
ซึ่งมันไม่สามารถเป็นเช่นนี้ต่อไปได้
ฉู่หลิวเยว่ตัดสินใจอย่างแน่วแน่แล้ว
รอจนกระทั่งชั้นเมฆของอีกฝ่ายจะปกคลุมและดูดกลืนทัณฑ์สวรรค์ของสือซาน เช่นนี้มันก็สายเกินไปแล้ว!
เฉินอีสาวเท้าออกมาหนึ่งก้าว
“นายท่าน ถ้าอย่างนั้นข้า…”
“เจ้าเฝ้าสือซานให้ดี”
สีหน้าของฉู่หลิวเยว่สงบนิ่ง ดวงตาดำขลับราวกับน้ำหมึกเหมือนมีลำแสงที่หนาวเย็นสว่างวาบ!
พรึ่บ!
กระบี่ด้ามยาวปรากฏขึ้นกลางฝ่ามือของนางอย่างกะทันหัน!
วินาทีต่อมา นางสะกิดปลายเท้า เงาร่างเพรียวบางพุ่งตัวขึ้นไปกลางอากาศอย่างรวดเร็วราวกับลูกธนูดีดออกจากแหล่ง!
ท่าร่างตัวเบา กระโปรงปลิวไสว ผมสยายไปตามสายลม
ในยามที่ฟ้าดินมืดมิด เหมือนกับนกสีครามชิงเหนี่ยวที่กำลังลุกเป็นไฟกระโจนเข้าไปในชั้นเมฆสีดำอย่างไม่ลังเล!
ภายในเวลาชั่วพริบตาเดียว นางก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย!
เฉินอีขมวดคิ้วขึ้น แต่หลังจากนั้นไม่นานร่างกายเขาก็ผ่อนคลาย ฝีเท้าไม่ขยับเขยื้อน
ความเงียบเข้าปกคลุมในช่วงเวลาสั้นๆ
จากนั้นลำแสงกระบี่ก็แยกเมฆดำหนาทึบออก!
“กระบี่ชื่อเซียว…ตัด!”
เงาร่างของฉู่หลิวเยว่ปรากฏขึ้นอีกครั้ง!
เดิมทีชั้นเมฆที่กำลังจะผสานรวมตัวกันก็แยกออกจากกันอย่างรุนแรง!
เมฆสีดำถูกแบ่งออกเป็นสองข้างโดยมีนางเป็นศูนย์กลาง!
เฉินอีเงยหน้าขึ้นมองไปยังเงาร่างสีแดงที่อยู่กลางท้องฟ้า ก่อนจะหรี่ตาลงเล็กน้อย
เขาสามารถมองเห็นรูปร่างผอมเพรียวของนางอย่างชัดเจน ด้านหลังคือกลุ่มเมฆดำจำนวนมาก ด้านหน้าคือปราณกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วน!
นางกลายเป็นสีสันหนึ่งเดียวในฟ้าดินแห่งนี้!
มือที่กำแน่นของเฉินอีคลายออก ภายในดวงตาที่เงียบสงบไม่แยแสสนใจมีรอยยิ้มจางๆ ปรากฏขึ้น
นายท่าน…ก็ยังคงเป็นนายท่านจริงๆ
…
ทิศทางการเคลื่อนไหวกระบี่ของฉู่หลิวเยว่ได้ดึงดูดความสนใจของคนสำนักกระบี่ทมิฬในทันที
“ทางนั้นเกิดอันใดขึ้นอีกแล้ว?”
เหล่าเอ้อร์เงยหน้าขึ้นมองคิ้วขมวดขึ้นเป็นปม
“คาดไม่ถึงว่าแม่นางคนนั้นจะแยกเมฆออกจากกันจริงๆ?”
หลังจากมองเห็นสถานการณ์ของฝั่งนั้นอย่างชัดเจน ในที่สุดเขาก็เปล่งเสียงออกมา ภายในน้ำเสียงนั้นแฝงด้วยการไม่อยากจะเชื่อ
เหล่าซานที่เพิ่งกลับมาก็รู้สึกตกใจมากเช่นกัน
ไม่ถูกต้อง!
นี่ไม่เหมือนกับสิ่งที่เขาคิดไว้เลย!
พวกเขาอัญเชิญทัณฑ์สวรรค์มากมายขนาดนี้ ตามหลักการแล้วอีกฝ่ายไม่น่าจะสามารถเผชิญหน้ากับพวกเขาอย่างซึ่งๆ หน้าได้
แต่ในตอนนี้ แม่นางคนนั้น…
“แม่นางคนนั้นเป็นใครมาจากไหน?”
เหล่าเอ้อร์ยังคงจ้องมองไปทางนั้น แล้วถามขึ้นอย่างกังวล
“ข้า ข้าไม่รู้…”
เมื่อสัมผัสได้ถึงลมปราณที่เปลี่ยนแปลงไปบนร่างกายของเขา หัวใจของเหล่าซานก็สั่นไหวขึ้นมา ความรู้สึกผิดพวยพุ่งมากขึ้น
เสียงตบดังลั่นขึ้น
เหล่าซานโดนทำร้ายจนร่างกายเซไป กลิ่นคาวเลือดที่เข้มข้นกระจายทั่วบริเวณซอกฟันและริมฝีปากของเขา
แต่เขาก็ไม่กล้าหลบ แม้กระทั่งเสียงร้องเพราะความเจ็บปวดก็ยังไม่กล้าส่งเสียงออกมา
“พี่รองระงับโทสะด้วย!”
เหล่าเอ้อร์หัวเราะเสียงเย็น
“ไม่รู้? แล้วเมื่อครู่นี้เจ้าไปทำอันใดที่นั่นอยู่ตั้งนานสองนาน!”
เหล่าซานใบหน้าแดงก่ำ พูดอันใดไม่ออก
เดิมทีเขาไม่ได้เห็นอีกฝ่ายอยู่ในสายตาเลย ดังนั้นแม้กระทั่งชื่อและที่มาก็ไม่ได้ถามด้วยซ้ำ
ตั้งแต่ต้นจนจบ เขาก็แค่โต้เถียงกับอีกฝ่ายไปมาเท่านั้น
เดิมทีเขาคิดว่าครั้งนี้อีกฝ่ายจะต้องตายอย่างแน่นอน
แต่ใครจะรู้เล่าว่าแม่นางคนนั้นจะมีฝีมือแข็งแกร่งขนาดนี้?
เหล่าเอ้อร์หันกลับไปมองอีกครั้ง ชั้นเมฆที่อยู่บนท้องฟ้าถูกแยกออกจากกันอย่างสิ้นเชิง
เสียงคำรามและครวญครางจากความเจ็บปวดดังมาจากหุบเขาด้านล่าง
เหล่าเอ้อร์มองไปด้วยสายตาเย็นชา และระงับความคิดที่จะไปดู
“ทำต่อไป!”
ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเขา…
ส่วนฐานะของแม่นางคนนั้น เขาค่อยกลับไปตรวจสอบอีกครั้งหนึ่ง!
เมื่อเหล่าซานรอดพ้นจากหายนะ ในใจก็ยินดีเป็นอย่างมาก จึงรีบตอบรับว่า
“ขอรับ!”