ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1839 ขอโทษ ตอนที่ 1840 อันตราย
ตอนที่ 1839 ขอโทษ ตอนที่ 1840 อันตราย
………………..
ปราณกระบี่กระจายทั่วทั้งบริเวณ แบ่งชั้นเมฆบนท้องฟ้าเป็นสองส่วน
พลังอันไร้รูปร่างพุ่งสูงขึ้น จนแทบจะขวางกั้นพลังจากภายนอกเอาไว้ทั้งหมด
ฉู่หลิวเยว่เก็บกระบี่ลงฝักอย่างราบรื่น ก่อนจะร่อนลงพื้นเบาๆ
เฉินอีก้มศีรษะลงเล็กน้อย
“นายท่านลงมือด้วยตัวเอง นับว่าไม่ใช่เรื่องธรรมดา”
ฉู่หลิวเยว่เลิกคิ้วมองเล็กน้อย
“ข้ารู้ว่าหากเจ้าเป็นคนลงมือก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าข้า คำพูดเช่นนี้ไม่จำเป็นต้องพูดมากหรอก”
เฉินอียืนกรานพูดขึ้นว่า
“ทุกสิ่งที่เฉินอีพูดเป็นความจริง”
ฉู่หลิวเยว่หัวเราะออกมา และคร้านจะสนใจเขาแล้ว
เฉินอีติดตามนางมาหลายปี ปกติแล้วเขาก็ไม่ใช่คนพูดมาก
ยากนักที่จะได้รับคำชมจากเขาสักครั้ง ภายในใจของฉู่หลิวเยว่ก็รู้สึกมีความสุขเช่นกัน
นางกระชับกระบี่ซื่อเซียวภายในมือของตนเอง
ความแข็งแกร่งของนางเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตอนที่ใช้กระบี่ชื่อเซียวก็เข้ามือมากยิ่งขึ้น
นางเงยหน้าขึ้นมอง
เหนือน่านฟ้ายังคงมีปราณกระบี่ของนางทิ้งเอาไว้อยู่สายหนึ่ง จนกลายเป็นม่านกั้นขนาดใหญ่
นี่ก็น่าจะเพียงพอทำให้ยืนหยัดได้สักพักหนึ่ง
ฉู่หลิวเยว่ถอนหายใจออกมาเบาๆ
ความรู้สึกนี้ค่อยๆ ชัดเจนมากยิ่งขึ้น…
ในที่สุดทัณฑ์สวรรค์สายที่ห้าก็ผ่าลงมาโดยไม่ได้รับผลกระทบจากพลังภายนอก!
…
สำนักกระบี่ทมิฬ
ซานซานเพิ่งเดินออกมาจากประตูด้านข้าง
ด้านข้างของเขายังมีชายวัยกลางคนผู้หนึ่งติดตามมาด้วย
ซานซานยืนนิ่งก่อนจะประสานมือทำความเคารพ พร้อมพูดด้วยรอยยิ้มว่า
“รองประมุขมาส่งข้าด้วยตนเอง ผู้น้อยแซ่ซานรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ท่านไม่ต้องส่งข้าแล้ว!”
มั่วอวิ๋นมีรูปร่างกำยำล่ำสัน เพียงแต่แค่ยืนอยู่นิ่งๆ ก็ทำให้รับรู้ได้ถึงพลังที่เปี่ยมล้นแล้ว
เมื่อเขาได้ยินดังนั้นก็หัวเราะขึ้นมาเสียงดัง
“เถ้าแก่ซาน ท่านเกรงใจกันมากเกินไปแล้ว! ผู้เฒ่าอย่างข้ารู้ว่าช่วงนี้ของกำลังขาดแคลน ดังนั้นจึงทำให้ท่านต้องตกอยู่ในที่นั่งลำบาก โดยเฉพาะหญ้าผสานวิญญาณ มันล้วนเป็นของหายาก ลูกน้องหลายคนคงล่วงเกินท่านไป หวังว่าเถ้าแก่ซานจะไม่ถือสา!”
ซานซานรีบพูดขึ้นว่า
“ไม่กล้าๆ! ผู้น้อยแซ่ซานมีวันนี้ได้ก็เพราะสำนักกระบี่ทมิฬ เดิมทีก็เป็นเด็กรับใช้ที่ไม่เข้าใจกฎเกณฑ์ จึงทำให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น…คิดไม่ถึงเลยว่าเรื่องนี้จะไปถึงหูท่าน…”
มั่วอวิ๋นตบไหล่ซานซาน แล้วหัวเราะเสียงดัง
“เถ้าแก่ซานวางใจเถอะ เจ้าเป็นแขกกิตติมศักดิ์ของสำนักกระบี่ทมิฬ พวกเขาทำร้ายคนของเจ้า แล้วจะไม่ให้ข้าลงโทษได้อย่างใด?”
ขณะที่พูดเขาก็หันศีรษะออกไปเล็กน้อย
“ใครก็ได้! นำของขวัญแทนคำขอโทษมาให้เถ้าแก่ซานที!”
บ่าวรับใช้ที่เดินติดตามมาอยู่ไม่ไกลก็รีบสาวเท้ามาด้านหน้า พร้อมส่งกล่องไม้ที่เตรียมเอาไว้นานมอบให้เขา
ซานซานเหลือบสายตามองกล่องนั้น
ความจริงแล้วเขาก็สังเกตเห็นถึงกล่องนี้ตั้งแต่แรกแล้ว
เพียงแต่คิดไม่ถึงว่ามันจะเป็นของขวัญแทนคำขอโทษของเขา?
“เถ้าแก่ซาน นี่คือความจริงใจของสำนักกระบี่ทมิฬ และของขวัญที่แสดงว่าต้องการจะร่วมงานกับเจ้าต่อไป เจ้า…รับเอาไว้เถอะ!”
ใบหน้าที่อ้วนกลมของซานซานสั่นระริกเล็กน้อย จากนั้นเขาก็ยิ้มออกมาจนดวงตาโค้งลง
“นี่ถือว่าเป็นเกียรติของผู้น้อยแช่ซานอย่างมาก! เมื่อเป็นเช่นนี้ผู้น้อยแช่ซานก็ไม่เกรงใจแล้วนะขอรับ!”
เมื่อพูดจบเขาก็รับกล่องไม้กล่องนั้นไป
เห็นได้ชัดว่ามั่วอวิ๋นพอใจกับคำตอบของเขาเป็นอย่างมาก ดังนั้นเขาจึงดึงมือกลับไป
“เถ้าแก่ซานเป็นคนที่ตรงไปตรงมาอย่างมาก ตอนนี้ข้ามีเรื่องที่จะปรึกษาเถ้าแก่ซานอยู่พอดี ช่วงนี้สำนักกระบี่ทมิฬกำลังรับศิษย์เป็นจำนวนมาก จึงต้องใช้สมุนไพรเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก ดังนั้น…ตั้งแต่เดือนหน้าเป็นต้นไป จะขอสมุนไพรเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมสองเท่า เถ้าแก่ซาน คงไม่มีปัญหาอันใดใช่หรือไม่?”
หนังตาของซานซานกระตุกอย่างรุนแรง
เขารู้ว่า ท่าทีของมั่วอวิ๋นที่ผิดปกติจะต้องมีเงื่อนงำอันใดบางอย่างแน่นอน
มั่วอวิ๋นมักจะปฏิบัติต่อเขาด้วยท่าทีหยิ่งผยอง ดวงตาของเขาแทบจะแปะอยู่กลางศีรษะ เขาเคยพูดด้วยน้ำเสียงเช่นนี้ที่ไหนกัน?
ยิ่งไปกว่านั้นก่อนหน้านี้คนของสำนักกระบี่ทมิฬก็เคยทำร้ายคนของเขามาตั้งหลายครั้ง แต่ไม่มีครั้งไหนที่จะมอบของขวัญเพื่อเป็นการขอโทษอย่างเช่นครั้งนี้เลย
ที่แท้…อีกฝ่ายกำลังรอเชือดเขาอยู่นี่เอง!
สองเท่า…
นั่นเป็นเงินจำนวนเท่าใดกัน!
หัวใจของซานซานเจ็บปวดจนเลือดแทบไหลออกมา
เขาพูดด้วยน้ำเสียงลำบากใจเล็กน้อย
“รองประมุข นี่มัน…ข้าสามารถบริจาคให้แก่สำนักกระบี่ทมิฬได้ หากไม่เป็นจำนวนที่มากเกินไป เช่นนั้นก็ถือว่าเป็นเกียรติของข้าแล้ว แต่นี่มันสองเท่า…ผู้น้อยแซ่ซานไม่สามารถทำได้จริงๆ! นี่มัน…”
รอยยิ้มของมั่วอวิ๋นจางลงไปสามส่วน
“เถ้าแก่ซานยังรู้สึกลำบากใจอยู่หรือ?”
แต่นี่มันยากเกินไปด้วยซ้ำ เข้าใจหรือไม่!
เพียงแค่หญ้าผสานวิญญาณอย่างเดียว เขายังต้องขอยืมจากนายท่านเพื่อรวบรวมให้จนครบ!
หลังจากนี้อีกฝ่ายยังจะต้องการสองเท่า…
เขาจะไปเอาจากที่ไหนมาให้!
แต่แน่นอนว่าเขาไม่กล้าพูดคำพูดเหล่านี้ออกไป รอยยิ้มนั้นก็ดูอ่อนน้อมมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม
“รองประมุขท่านอย่าเพิ่งเข้าใจผิด! ไม่ใช่ว่าผู้น้อยแซ่ซานไม่อยากจะทำให้ท่าน! เพียงแต่ว่าสองเท่านั้นมันเป็นจำนวนมากเกินไป ท่านจะนำโชคลาภของผู้น้อยแซ่ซานไปจนหมดแล้ว และไม่เหลือแล้ว
จริงๆ! ท่านคิดดูสิ หากข้าสามารถเอามันออกมาได้อย่างง่ายดายคงไม่เกิดเหตุการณ์อย่างสองวันก่อนหรอกขอรับ…”
มั่วอวิ๋นจ้องหน้าเขาตาเขม็ง จนทำให้ซานซานเหงื่อออกท่วมทั้งตัว
“เช่นนั้น…ก็เพิ่มอีกครึ่งหนึ่ง! แบบนี้ได้แล้วใช่หรือไม่?”
เลือดจากหัวใจของซานซานก็ยังไหลรินอยู่ดี แต่เขาก็รู้ว่า เขาไม่สามารถเจรจาต่อไปได้อีกแล้ว
เขาจึงทำได้เพียงหัวเราะเสียงเบา
“ได้ขอรับ! ท่านวางใจได้เลย หลังจากนี้ผู้น้อยแซ่ซานจะต้องบุกน้ำลุยไฟทำให้ท่านอย่างไม่ลังเลแน่นอน!”
สีหน้าของมั่วอวิ๋นจึงดีขึ้นมาเล็กน้อย จากนั้นเขาก็กำชับอีกสองประโยค ในที่สุดก็ปล่อยให้ซานซานจากมา
…
ซานซานถือกล่องไม้กล่องนั้น และเดินทางกลับจวนเยว่ตามลำพัง
“พี่สาม กลับมาแล้วหรือ?”
ตอนที่เขาเดินเข้าประตูมาอวี๋จิ่วก็กล่าวทักทาย
“เป็นอย่างใดบ้าง ไม่เป็นไรใช่หรือไม่?”
เมื่อกลับมายังพื้นที่ของตนเอง พบคนของตนเอง หัวใจของซานซานก็สงบลงไม่น้อย
“อวี๋จิ่ว เหตุใดเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะ? มารอข้าหรือ?”
อวี๋จิ่วเม้มริมฝีปาก
“ยังคงเป็นพี่ใหญ่และนายท่านที่ดีต่อข้าที่สุด!”
ความรู้สึกมีคนมาห่วงใยเช่นนี้เขาไม่ได้รับมานานมากแล้ว
เขาวางกล่องไม้แล้วนั่งลง ก่อนจะหยิบน้ำชาที่วางอยู่ด้านข้างขึ้นมาจิบ
ทุกครั้งที่เขากลับออกมาจากสำนักกระบี่ทมิฬ เขารู้สึกว่าตนเองกำลังเดินอยู่บนเส้นความเป็นความตาย ลำคอแห้งผากเพราะความกังวล ทั่วทั้งร่างรู้สึกไม่สบายตัว
หลังจากดื่มน้ำติดต่อกันไปสามถ้วย ในที่สุดเขาก็ถอนหายใจออกมา แล้วกัดฟันพูดว่า
“จะไม่เป็นไรได้อย่างใด? คนของสำนักกระบี่ทมิฬนั้นรังแกกันเกินไปแล้วจริงๆ!”
อวี๋จิ่วเดินเข้ามา เมื่อได้ยินดังนั้นสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปในทันที
“มันเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่?”
ซานซานเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ให้เขาฟังอีกรอบ
“…เดิมทีเขาก็ขอเป็นจำนวนมากอยู่แล้ว แต่ตอนนี้ยังจะมาขอเพิ่มอีก! นี่มันจะมาขูดรีดกับข้าจนถึงที่สุดแล้ว!”
อวี๋จิ่วมองเขาด้วยสายตาเห็นอกเห็นใจ
สำหรับพี่สามแล้ว นี่เป็นเรื่องที่ทำให้เขาเจ็บปวดกว่ากรีดเนื้อเขาออกมาเสียอีก
“อยู่ใต้ชายคาบ้านคนอื่นก็จำเป็นจะต้องก้มหัว พี่สาม อดทนเอาไว้ก่อนเถอะ! รอให้นายท่านกลับมา พวกเราค่อยคิดหาหนทางเอาคืนกัน!”
อวี๋จิ่วโน้มน้าวเขาสองประโยค จากนั้นก็บุ้ยปากไปทางกล่องไม้
“พวกเขามอบของขวัญให้แก่เจ้าด้วยหรือ?”
ซานซานแค่นหัวเราะเสียงเย็น
“ไม่ว่าอย่างใดก็ไม่ใช่ของดีอันใดแน่นอน!”
อวี๋จิ่วหัวเราะคิกคัก
ที่ลงกลอนของกล่องนั้นตัดขาดออกมาอย่างไร้เสียง บริเวณรอยตัดก็เรียบกริบเสมอกัน
จากนั้นเขาก็หมุนข้อมือเล็กน้อย และเปิดกล่องไม้ออกมา
“เฮ้ย!”
อวี๋จิ่วรีบถอยหลังลงไปหลายก้าว!
ภายในกล่องไม้นั้นมีหัวมนุษย์วางเรียงกันอยู่หลายหัว!
ตอนที่ 1840 อันตราย
ซานซานลุกขึ้นยืน สีหน้าเปลี่ยนไปมาอยู่หลายครั้ง
อวี๋จิ่วหันกลับไปมอง
“พี่สาม นี่มัน…เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือ? พวกเขาบอกว่าต้องการมอบของขวัญเพื่อแทนคำขอโทษไม่ใช่หรือ แล้วนี่มันคืออันใดกัน?”
จ้องมองศีรษะเหล่านั้นด้วยสายตาเคร่งเครียด
“คนเหล่านี้น่าจะเป็นคนที่ก่อเรื่องในร้านขายโอสถของข้า…คิดไม่ถึงเลยว่าที่มั่วอวิ๋นพูดว่าเป็นของขวัญแทนคำขอโทษจะเป็นชีวิตของคนเหล่านี้…”
อวี๋จิ่วนึกขึ้นมาได้ในทันที
“ที่แท้ก็เป็นพวกเขานี่เอง!”
วันนั้นเขาก็อยู่ด้วย เพียงแต่คนสำนักกระบี่ทมิฬเหล่านั้นสวมชุดดำทั้งร่างกาย ใบหน้าถูกหมวกใบใหญ่ปิดไปมากกว่าครึ่ง ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถมองได้อย่างชัดเจน เมื่อเขาเห็นในครั้งนี้ก็ไม่สามารถจดจำได้
เขาหันไปมองอีกครั้ง เป็นคนเหล่านั้นไม่ผิดตัวแน่
“พี่สาม นี่สำนักกระบี่ทมิฬหมายความว่าอย่างใดกันแน่…พวกเขาลงมือกับคนของตัวเองได้อย่างโหดเหี้ยมไร้ความปรานีขนาดนี้เชียวหรือ?”
อวี๋จิ่วขมวดคิ้วขึ้นมาด้วยความรังเกียจ ก่อนจะปิดกล่องไม้นั้นลง
ในอากาศเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดและกลิ่นเหม็นเน่าจางๆ
ซานซานหัวเราะเสียงเย็น
“อวี๋จิ่ว เจ้าเพิ่งมาถึงจึงยังไม่รู้ว่าคนเหล่านี้เป็นใคร…พวกเขาสามารถโจมตีใครก็ได้ แม้กระทั่งตัวของเขาเอง! เพียงแค่ปลาเน่าไม่กี่ตัว ในสายตาของมั่วอวิ๋นก็ไม่นับว่าเป็นตัวอันใดเลย”
ที่มั่วอวิ๋นทำเช่นนี้ หนึ่งเพื่อทำให้เรื่องที่พวกเขา “เจรจา” กันวันนี้ราบรื่น สองเพื่อเป็นคำเตือนให้แก่เขา
เขารู้อย่างแน่นอนว่า หากเขาให้ซานซานเพิ่มจำนวนสินค้า จะต้องทำให้เขาไม่พอใจอย่างแน่นอน
ดังนั้นเขาจึงส่ง “ของขวัญ” ชิ้นนี้มา
ความหมายนั้นชัดเจนเป็นอย่างมาก ‘หากอยากจะมีชีวิตที่ดี ก็จงเชื่อฟัง’
แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะไม่สามารถสังหารซานซานได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะไม่คุกคามและทำให้ซานซานหวาดกลัว เขายังหวังว่าจะสามารถควบคุมซานซานได้อย่างสมบูรณ์
ภายในเวลาสองปีที่ผ่านมานี้ คนของสำนักกระบี่ทมิฬใช้เล่ห์กลไปไม่น้อย ทั้งส่งสัญญาณในที่ลับและที่แจ้งว่าให้เขาเข้าร่วมกับอีกฝ่าย แต่ซานซานยังหลบเลี่ยงมันอยู่เรื่อยมา
จากนั้นพวกเขาจึงค่อยๆ เลิกพูดเรื่องนี้
แต่ว่าความต้องการที่จะควบคุมเขาก็ยังไม่ได้จางหายไป
ซานซานเดินเข้าไป กลางฝ่ามือของเขามีเปลวเพลิงสีน้ำเงินกลุ่มหนึ่ง!
เปรี้ยง!
กล่องไม้ใบนั้นและศีรษะคนอีกหลายหัวถูกเปลวเพลิงกลืนกินไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากผ่านไปสักพักหนึ่ง เปลวเพลิงเหล่านั้นก็มอดไหม้ไปจนหมดสิ้น
อวี๋จิ่วเหลือบสายตามองเขาด้วยความประหลาดใจและตื่นเต้น
“พี่สาม เจ้านี่ไม่เลวเลย! เจ้าไปฝึกวิชานี้มาตั้งแต่เมื่อใดกัน?”
ซานซานมีพรสวรรค์ไม่เลว แต่ก็จำกัดอยู่ในฝ่ายจอมยุทธ์เท่านั้น
การเปลี่ยนพลังดั้งเดิมให้เป็นเปลวเพลิงนั้น มีแต่เซียนหมอเท่านั้นถึงจะทำได้
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ใบหน้าของซานซานก็เผยความยินดีออกมา เขาถูฝ่ามือที่เต็มไปด้วยเนื้อของตนเอง
ในคราแรกเขาได้พบว่าเขามีความสัมพันธ์บางอย่างกับพื้นที่มิติขนาดเล็กนั้น หลังจากสามารถเข้าออกได้ตามใจชอบ จากนั้นไม่นานเขาก็พบว่าในร่างกายของตนเองมีเปลวไฟเพิ่มขึ้นหนึ่งกลุ่ม
เมื่อมีเปลวไฟกลุ่มนี้ เขาก็สามารถกลายเป็นเซียนหมอได้ด้วย
แม้ว่าตอนนี้เขาจะมีระดับไม่สูง แต่เขาก็เข้าใจเรื่องโอสถไม่มากก็น้อย
และด้วยเหตุนี้เขาจึงอ่อนไหวกับวัตถุดิบวิเศษและโอสถมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม ดังนั้นธุรกิจของเขาจึงเฟื่องฟูมากขึ้น
และนี่ก็เป็นไพ่ไม้ตายของเขาใบหนึ่ง
อวี๋จิ่วกล่าวชื่นชม
“เหมือนว่าหุบเขาดอกท้อแห่งนี้จะเป็นบ่อเงินบ่อทองของพี่สามจริงๆ! มิน่าล่ะท่านจึงมีชีวิตดีได้ขนาดนี้!”
ซานซานหัวเราะขึ้นมา จากนั้นนึกอันใดบางอย่างขึ้นมาได้ ในแววตามีความมืดดำจางๆ ปกคลุมอยู่หนึ่งชั้น
“น่าเสียดาย ถ้าคนของสำนักกระบี่ทมิฬยืนอยู่เหนือหัวของข้า ข้าก็ต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบากแล้ว…จริงสิ นายท่านกับพี่ใหญ่ไปที่ไหนกันหรือ?”
อวี๋จิ่วเก็บดาบไม้ในมือลง จากนั้นก็บอกทิศทางหนึ่งอย่างคร่าวๆ
ซานซานที่กำลังจะเตรียมตัวนั่งลง เมื่อได้ยินดังนั้นเขาก็ลุกพรวดขึ้นมาในทันที
“เจ้าบอกว่าพวกเขาไปที่ไหนนะ?”
อวี๋จิ่วมองเขาด้วยความประหลาดใจ
“ข้า…ข้าเพียงแค่บอกว่าพวกเขาเดินไปทางตะวันตกเฉียงใต้ แต่ตำแหน่งที่ละเอียดแน่ชัด ข้าก็ไม่ทราบเช่นกัน สือซานกำลังจะทะลวงด่าน อีกทั้งยังเป็นด่านพลังจิตวั่งเสิ่น นายท่านกลัวว่าหากอยู่ทางนี้จะมีการเคลื่อนไหวที่รุนแรงเกินไป ดังนั้นจึงบอกว่าจะไปลองดูแถวนั้น…”
“แย่แล้ว!”
ซานซานเหงื่อแตกพลั่กอย่างกะทันหัน
เขารีบร้อนวิ่งออกไปที่ด้านนอก
อวี๋จิ่วรีบคว้าตัวของเขาเอาไว้
ซานซานรีบเดินออกไปอย่างเร่งร้อน เขาเพิ่งเดินไปได้สองก้าว จากนั้นก็หันกลับมามองอวี๋จิ่วแล้วพูดว่า
“เจ้าไม่ต้องตามมานะ เฝ้าอยู่ที่จวนก็พอแล้ว!”
อวี๋จิ่วลังเลไปครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็พยักหน้า
“พี่สามระวังตัวด้วย!”
ซานซานโบกมือ จากนั้นก็เดินจากไปโดยไม่หันกลับมามอง
เขาจะไม่รีบได้หรือ?
วันนี้ของทุกเดือน ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถเข้าไปที่นั่นได้!
เรื่องสำคัญขนาดนี้ คาดไม่ถึงว่าเขาลืมแจ้งให้นายท่านทราบ!
เขานี่สมควรตายจริงๆ!
ซานซานรู้สึกผิดไปพลาง พร้อมมุ่งหน้าไปยังทิศทางที่อวี๋จิ่วแจ้งด้วยความเร็วเต็มกำลัง!
…
เวลาแห่งการรอคอย มักผ่านไปอย่างเชื่องช้า
ฉู่หลิวเยว่และเฉินอียืนอยู่กลางอากาศ พวกเขากำลังรอให้สือซานทะลวงด่านพลังจิตวั่งเสิ่นได้สำเร็จ
เขาอัญเชิญทัณฑ์สวรรค์มาได้เจ็ดสายแล้ว
แน่นอนว่าเพื่อการรับทัณฑ์สวรรค์เหล่านี้ ก็มีราคาที่ต้องจ่ายมหาศาล
บนยอดเขาแห่งนั้น สือซานคุกเข่าอยู่ที่พื้น มือทั้งสองข้างกำดินที่ขรุขระไว้จนแน่น ปลายนิ้วมีคราบเลือดไหลริน
ร่างกายผอมบางของเขาสั่นสะท้าน สามารถมองเห็นอย่างชัดเจนว่า ตอนนี้เขากำลังทนรับความเจ็บปวดอย่างมหาศาล
ฉู่หลิวเยว่เหลือบสายตามองท้องฟ้า
ด้านหลังของชั้นเมฆมีทัณฑ์สวรรค์สายที่แปดปรากฏขึ้นอย่างคลุมเครือ
หากสือซานไม่สามารถเอาชีวิตรอดจากทัณฑ์สวรรค์สายที่เจ็ด ถ้าเช่นนั้นสายที่แปดนี้ ก็จะจางหายไปเองในทันที
เขานี่สมควรตายจริงๆ!
ซานซานรู้สึกผิดไปพลาง พร้อมมุ่งหน้าไปยังทิศทางที่อวี๋จิ่วแจ้งด้วยความเร็วเต็มกำลัง!
…
เวลาแห่งการรอคอย มักผ่านไปอย่างเชื่องช้า
ฉู่หลิวเยว่และเฉินอียืนอยู่กลางอากาศ พวกเขากำลังรอให้สือซานทะลวงด่านพลังจิตวั่งเสิ่นได้สำเร็จ
เขาอัญเชิญทัณฑ์สวรรค์มาได้เจ็ดสายแล้ว
แน่นอนว่าเพื่อการรับทัณฑ์สวรรค์เหล่านี้ ก็มีราคาที่ต้องจ่ายมหาศาล
บนยอดเขาแห่งนั้น สือซานคุกเข่าอยู่ที่พื้น มือทั้งสองข้างกำดินที่ขรุขระไว้จนแน่น ปลายนิ้วมีคราบเลือดไหลริน
ร่างกายผอมบางของเขาสั่นสะท้าน สามารถมองเห็นอย่างชัดเจนว่า ตอนนี้เขากำลังทนรับความเจ็บปวดอย่างมหาศาล
ฉู่หลิวเยว่เหลือบสายตามองท้องฟ้า
ด้านหลังของชั้นเมฆมีทัณฑ์สวรรค์สายที่แปดปรากฏขึ้นอย่างคลุมเครือ
หากสือซานไม่สามารถเอาชีวิตรอดจากทัณฑ์สวรรค์สายที่เจ็ด ถ้าเช่นนั้นสายที่แปดนี้ ก็จะจางหายไปเองในทันที
ด่านนี้สือซานต้องใช้ระยะเวลานานเป็นอย่างมาก
ฉู่หลิวเยว่จึงรู้สึกเป็นกังวลเล็กน้อย
“เฉินอี สือซานเขาจะรอดหรือไม่?”
เฉินอีพยักหน้าด้วยสีหน้าราบเรียบ
“แน่นอน”
ฉู่หลิวเยว่เหลือบสายตามองเขา จากนั้นก็เห็นว่าเขายังมีสีหน้าราบเรียบไม่แยแสสนใจเช่นเดิม
“เจ้ามั่นใจขนาดนั้นเชียว?”
เฉินอีเหมือนจะหัวเราะออกมา
เขาลำบากมาหลายปีขนาดนี้จะต้องไม่สูญเปล่าอย่างแน่นอน
เมื่อได้ยินดังนั้น หัวใจของฉู่หลิวเยว่ก็สงบลงมาก
เฉินอีกับสือซานใช้เวลาอยู่ด้วยกันมานานกว่านาง ดังนั้นเขาจะต้องรู้จักอีกฝ่ายดีกว่านางแน่นอน
ในเมื่อเขายืนยันเช่นนี้ ถ้าเช่นนั้นก็คงจะไม่มีปัญหาอันใด
เพียงแต่ว่า…
นางที่อยู่ในฐานะผู้ชม ได้แต่มองดูอยู่ที่นี่เช่นนี้กลับรู้สึกปวดใจเป็นอย่างมาก
ภายในใจของนางเห็นว่าสือซานเป็นเพียงแค่เด็กคนหนึ่งมาตลอด
ตอนที่นางผ่านด่านพลังจิตวั่งเสิ่น บนตัวของนางก็มีไพ่ไม้ตายอยู่จำนวนไม่น้อย
แต่ว่าสือซาน…กลับต่อต้านอย่างหนัก!
ทันใดนั้นสือซานที่คุกเข่าอยู่บนพื้นก็ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวขึ้นมาแล้ว!
เขากำลังคำรามเสียงต่ำหนึ่งเสียง พร้อมแฝงไปด้วยอารมณ์ที่ซับซ้อนเป็นอย่างมาก
เจ็บปวด ทรมาน ยืนหยัด แน่วแน่ …
ตอนที่เขาลุกขึ้นยืน ลำแสงสีเงินที่อยู่รอบตัวเขาก็แตกกระจายกลายเป็นประกายแสงจำนวนนับไม่ถ้วน!
ทัณฑ์สวรรค์สายที่เจ็ด…แตกสลายแล้ว!
ฉู่หลิวเยว่รู้สึกมีความสุขเป็นอย่างมาก หลังจากนั้นทัณฑ์สวรรค์สายที่แปดก็ผ่าลงมาในทันที!
เปรี้ยง!
เสียงดังสนั่นหวั่นไหว!
เงาร่างของสือซานถูกลำแสงกลืนกินไปอีกครั้ง!
ฉู่หลิวเยว่กลับขมวดคิ้วขึ้นอีกครั้ง
เสียงนั้น…มันดังเกินไปหรือไม่…
ไม่ถูกต้อง!
สิ่งนั้นมาจากเมฆดำกลุ่มใหญ่ที่รวมตัวอยู่ด้านหลังของเขา!
ฉู่หลิวเยว่เงยหน้าขึ้นไปมอง ทันใดนั้นนางก็ต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจ!
ภายในเมฆดำกลุ่มนั้นเหมือนว่ากำลังจะระเบิดพลังขึ้นมาอย่างกะทันหัน!
ในตอนนั้นเองเมฆสีดำก็ไหลวนรอบทัณฑ์สวรรค์สีเงิน ก่อนจะกระจายไปรอบข้างอย่างยุ่งเหยิง!
ผลกระทบจากพลังโจมตีอันยิ่งใหญ่สายหนึ่งก็พุ่งมาทางพวกเขาโดยตรง!
………………..