ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1843 พ่ายแพ้
ตอนที่ 1843 พ่ายแพ้
………………..
ฉู่หลิวเยว่จ้องมองตาเขม็ง คนผู้นั้นคือกลุ่มคนของสำนักกระบี่ทมิฬที่เดินทางกลับมา
ด้านหลังของพวกเขายังมีชายแปลกหน้าติดตามอยู่หนึ่งคน ร่างกายของเขากำยำล่ำสัน ใบหน้าเย็นชา
ประเด็นสำคัญเลยก็คือ บนร่างกายของเขามีลมปราณที่น่าตกใจ ผู้คนที่อยู่ด้านข้างให้ความเคารพเขาเป็นอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นหัวหน้าคนหนึ่ง
ทันใดนั้นซานซานก็ส่งสายตาให้แก่ฉู่หลิวเยว่ เขาขยับปากอย่างไร้เสียง พร้อมพูดออกมาสองคำว่า
“มั่วอวิ๋น…”
ฉู่หลิวเยว่สามารถเข้าใจได้ในทันที
ที่แท้ก็เป็นมั่วอวิ๋นคนนั้น!
เพียงแต่ว่า…เหตุใดเขาถึงมาอยู่ที่นี่ด้วย?
ความเร็วของเขานั้นสูงอย่างมาก!
มั่วอวิ๋นไม่ได้สังเกตถึงฉู่หลิวเยว่และคนอื่นๆ ที่หลบซ่อนอยู่ตรงนี้เลย
โชคดีที่ทั้งสองฝ่ายยืนกันคนละฟากของหุบเขา ดังนั้นฉู่หลิวเยว่และคนอื่นๆ จึงสามารถมองเห็นสีหน้าและท่าทางของพวกเขาได้อย่างชัดเจน
แน่นอนว่าพวกเขาได้ยินอย่างชัดเจนว่าอีกฝ่ายกำลังคุยอันใดกัน
มั่วอวิ๋นมองลงไปในหุบเขา คิ้วขมวดมุ่น สีหน้าไม่พอใจอย่างมาก
“นี่คือผลการทดสอบของพวกเจ้าในเดือนนี้อย่างนั้นหรือ?”
น้ำเสียงของเขาเย็นชาเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังแฝงด้วยความกดดันเข้มข้น
บนร่างกายของคนอื่นนั้นเต็มไปด้วยบาดแผล แต่เขาไม่กล้าส่งเสียงใดๆ ออกมา
เมื่อได้ยินถึงการซักถามนั้น พวกเขาทั้งหลายก็มีสีหน้าหวาดกลัวมากยิ่งขึ้น
“รองประมุข นี่มัน…คนกลุ่มนี้ไม่ใช่ต้นกล้าที่ดีเท่าไร…”
เพราะความหวาดกลัวจึงทำให้ใบหน้าของเขาซีดขาว
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนที่อยู่ด้านข้างเลย
มั่วอวิ๋นมีสีหน้าเย็นชามากขึ้นกว่าเดิม
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเจ้าก็ทำความสะอาดที่นี่ให้เรียบร้อย! หากใครมาเห็นเข้า…”
คำพูดข่มขู่ของเขาไม่จำเป็นต้องพูดจนจบ คนเหล่านั้นก็เข้าใจเป็นอย่างดี
เหล่าเอ้อร์กับเหล่าซานและคนอื่นๆ ก็สบสายตากันไปมา
เดิมทีเขาอยากจะอธิบายเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ แต่ดูจากสถานการณ์ในตอนนี้แล้ว ไม่ว่าอย่างใดเขาก็ไม่สามารถพูดได้
ระหว่างการทดสอบกลับได้เจอกับผู้อื่น และยังได้เกิดการปะทะกัน สุดท้ายพวกเขาก็เป็นฝ่ายพ่ายแพ้…
ยังดีที่กลุ่มคนเมื่อครู่นี้ไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว ไม่อย่างนั้นพวกเขาก็ไม่สามารถรับประกันชีวิตน้อยๆ ของตนเองได้!
พวกเขาเข้าใจกันเองได้โดยปริยาย จึงกลืนคำพูดเหล่านี้กลับลงไป
“ท่านพูดได้ถูกต้อง! ล้วนเป็นเพราะพวกเราไร้ความสามารถ…จึง…”
มั่วอวิ๋นยกมือขึ้นอย่างหมดความอดทน
หมอกสีดำกลุ่มหนึ่งลอยออกจากกลางฝ่ามือของเขา จากนั้นก็กระจายไปยังหุบเขานั้นอย่างรวดเร็ว!
ภายในชั่วพริบตาหมอกดำกลุ่มนั้นก็ปกคลุมทั่วภาพเหตุการณ์ที่คละคลุ้งด้วยกลิ่นคาวเลือดที่รุนแรงจนมิด!
พรึ่บ…
เสียงที่เล็ดลอดออกมาทำให้หนังศีรษะของคนด้านชา
ฉู่หลิวเยว่ที่ได้ยินดังนั้นก็กลั้นลมหายใจลงอย่างไม่รู้ตัว ดวงตาก็ยังจดจ้องไปที่หุบเขาด้านล่างตาเขม็ง
หลังจากผ่านไปสักพัก หมอกสีดำนั้นก็จางหายไป
หัวใจของฉู่หลิวเยว่ก็ตึงเครียดขึ้นมา คาดไม่ถึงว่าศพเหล่านั้นจะหายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว! แม้กระทั่งคราบเลือดที่อยู่บนพื้นนั้นก็ถูกทำความสะอาดจนหมดจด!
เพียงแค่ชั่วพริบตาเดียว นอกจากร่องรอยของทัณฑ์สวรรค์แล้ว แทบจะไม่หลงเหลือเบาะแสอันใดเอาไว้เลย
“เอาล่ะ ครั้งนี้ข้าจะปล่อยพวกเจ้าไป แต่อย่ามีครั้งหน้าอีกเด็ดขาด!”
“ขอรับ!”
เมื่อมั่นใจว่าร่องรอยที่อยู่ในหุบเขานั้นถูกทำความสะอาดจนหมดจดแล้ว มั่วอวิ๋นถึงได้หมุนตัวเดินจากไป
เหล่าเอ้อร์ เหล่าซาน และคนอื่นๆ ก็รีบติดตามไปในทันที
ตั้งแต่ต้นจนจบ พวกเขาไม่ได้สังเกตถึงฉู่หลิวเยว่ที่ซ่อนตัวอยู่ฝั่งตรงข้ามเลย
หลังจากเงาร่างของพวกเขาจางหายไปแล้ว ฉู่หลิวเยว่ก็เหลือบสายตาไปมองในหุบเขาเป็นครั้งสุดท้าย
“กลับกันก่อนเถอะ”
…
จวนเยว่
ภายในห้องหนังสือ มีเพียงความเงียบปกคลุม
หลังจากที่ฉู่หลิวเยว่นั่งลงแล้ว สีหน้าของนางก็มืดครึ้ม ขนตายาวของนางหลุบต่ำลงเล็กน้อย ราวกับกำลังพิจารณาอันใดบางอย่างอยู่
เฉินอีและคนอื่นๆ ยืนรออยู่ตรงหน้าของนางอย่างเงียบเชียบ
หลังจากผ่านไปสักพัก ฉู่หลิวเยว่ก็พูดขึ้นมาว่า
“พวกเขากำลังค้นหาผู้บำเพ็ญเพียรที่มีพรสวรรค์โดดเด่น”
นี่ไม่ใช่ประโยคคำถาม แต่นี่เป็นประโยคบอกเล่า
เพราะว่าพวกนางตัดสินจากสิ่งที่เห็นทั้งหมดนั้น และทุกอย่างคือความจริง
“มิน่าล่ะก่อนหน้านี้ที่พวกเขาอยากจะพาสือซานไป…”
ฉู่หลิวเยว่หรี่ตาลงเล็กน้อย
อีกทั้งพวกเขายังรีบร้อน และยังพาลแบบไม่มีเหตุผลขนาดนั้น
เห็นได้ชัดว่าพวกเขาสนใจคนหนุ่มที่มีพรสวรรค์อย่างสือซานเป็นอย่างมาก
ดูจากท่าทางความชำนาญของพวกเขาแล้ว เห็นได้ชัดว่าพวกเขาทำเรื่องเหล่านี้มาเป็นระยะเวลานาน
แม้ว่าเขาจะรู้สึกทนกับสำนักกระบี่ทมิฬไม่ไหว และอยากจะตัดขาดความสัมพันธ์กับพวกเขาจนทนไม่ไหว แต่ตอนนี้เขายังไม่รู้รายละเอียดเบื้องลึกเบื้องหลังของอีกฝ่าย หากจะให้ก่อเรื่องโดยไม่ไตร่ตรองก่อน อาจจะทำให้สถานการณ์ของเขาแย่มากยิ่งขึ้น
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้า จากนั้นก็วางความคิดทั้งหมดแล้วหันไปมองทางเฉินอี
“เฉินอี ช่วงเวลาที่เราไม่ได้เจอกันนี้เหมือนว่าเจ้าจะก้าวหน้าขึ้นไม่น้อยเลยนะ”
เฉินอีพยักหน้าเล็กน้อย
“แต่ว่ามันเป็นเพียงแค่การป้องกันตัวเล็กน้อยเท่านั้น ทำให้นายท่านต้องหัวเราะเยาะแล้ว”
ใบหน้าของฉู่หลิวเยว่คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม
“อย่างที่คาดเอาไว้เลย มั่วอวิ๋นผู้นั้นน่าจะอยู่ในระดับเทพศักดิ์สิทธิ์ ส่วนคนที่เหลือนั้นน่าจะอยู่ในระดับเทพขั้นสูง สามารถหลบเลี่ยงสายตาจากพวกเขาได้…เฉินอี ไม่ว่าเรื่องอันใดเจ้าก็ดีไปหมด แต่มีเพียงเรื่องเดียวเท่านั้น เจ้าถ่อมตัวมากเกินไป”
เฉินอีคลายคิ้วที่ขมวดออก ใบหน้ากลับมาไม่แยแสตามปกติ
“การปกป้องนายท่านเป็นหน้าที่ของข้า”
นี่เป็นสิ่งที่เขาควรจะต้องทำอยู่แล้ว
ฉู่หลิวเยว่ลูบปลายคางของตนเอง
ไม่ว่าอย่างใดนางก็เถียงเขาไม่ชนะ
บางครั้งความสามารถของเฉินอีก็ทำให้นางรู้สึกตื่นตาตื่นใจเป็นอย่างมาก
“นายท่าน เพื่อชีวิตของตัวพวกเขาเอง พวกเขาน่าจะไม่พูดว่าวันนี้เกิดเรื่องอันใดขึ้นบ้าง ในจุดนี้ ท่านสามารถวางใจได้ชั่วคราว”
ซานซานถูมือตัวเองแล้วพูดขึ้น
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้า
ซานซานเป็นคนที่รู้จักอีกฝ่ายดีที่สุด ในเมื่อเขาพูดออกมาเช่นนี้แล้ว น่าจะเชื่อถือได้อยู่แปดเก้าส่วน
อีกทั้งเดิมทีนางก็คิดเช่นนั้นอยู่เหมือนกัน
แม้ว่าเรื่องนี้อาจจะถูกค้นพบในภายหลัง แต่ก็ยังสามารถปิดบังได้ชั่วคราว ซึ่งมันมีประโยชน์ต่อพวกเขามากกว่า
เห็นได้ชัดว่าคนของสำนักกระบี่ทมิฬไม่ต้องการให้คนภายนอกรู้เรื่องเหล่านี้
“เรื่องนี้สามารถเก็บเป็นความลับได้ชั่วคราว ไม่ว่าใครก็ห้ามแพร่งพรายออกไป แต่หากเมื่อใดที่ค้นพบว่ามีอันใดบางอย่างผิดปกติ ให้รีบมารายงานทันที”
“ขอรับ!”
พวกเขาทั้งหลายตอบรับโดยพร้อมเพรียง
ฉู่หลิวเยว่ครุ่นคิดอยู่สักพักหนึ่ง จากนั้นก็เปลี่ยนหัวข้อไปถามเรื่องหญ้าผสานวิญญาณที่เขานำไปส่งอีกฝ่ายในวันนี้
หากไม่พูดเรื่องนี้ขึ้นมาก็ช่างเถอะ แต่พอพูดเรื่องนี้ขึ้นมา เขารู้สึกเหมือนเอามีดมาแทงที่หัวใจ
เขาเล่าเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นให้ฉู่หลิวเยว่ฟังอย่างละเอียด ความเจ็บช้ำและเสียใจถาโถม คำพูดแต่ละคำเหมือนมีหยาดเลือดและหยาดน้ำตาไหลริน
“…นายท่าน ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นของของนายท่าน! แต่ที่พวกเขาทำเช่นนี้เท่ากับว่าพวกเขาได้ขุดสมบัติของนายท่านออกไปจนหมดสิ้นเลยไม่ใช่หรือ?”
ฉู่หลิวเยว่เหลือบสายตามองเขาด้วยรอยยิ้ม
“เอาล่ะ เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องย้ำเตือนข้า หลังจากนี้ข้าจะทวงคืนกลับมาทั้งหมด”
หลังจากครุ่นคิดอยู่สักพักหนึ่ง นางก็พูดขึ้นว่า
“เจ้าจะไปที่ผาธารใสอีกครั้งเมื่อใด?”