ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1844 ในปีนั้น ตอนที่ 1845 สำรวจ
ตอนที่ 1844 ในปีนั้น ตอนที่ 1845 สำรวจ
………………..
ตอนที่ 1844 ในปีนั้น
ซานซานพูดว่า
“เรื่องนี้ไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัว ในแต่ละเดือนข้าสามารถไปที่นั่นได้หลายครั้ง”
ท้ายที่สุดแล้วเขาก็ต้องทำงานหาเงิน อีกทั้งยังต้องบรรณาการให้แก่สำนักกระบี่ทมิฬ หากเขาไม่ทำงานหนัก ถ้าอย่างนั้นก็คงไม่มีทางได้กินอิ่ม
ฉู่หลิวเยว่ให้เขาเลิกร้องไห้คร่ำครวญเพราะความจน
“ถ้าอย่างนั้น พรุ่งนี้ข้าจะไปกับเจ้าด้วย”
ซานซานรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก ดวงตาเบิกกว้างขึ้น
ภายในดวงตาเล็กๆ มีประกายสงสัยใคร่รู้อยู่
“นายท่าน ท่านจะไปที่นั่นอย่างนั้นหรือ?”
ฉู่หลิวเยว่เลิกคิ้วขึ้น
“เหตุใดล่ะ ข้าไปไม่ได้อย่างนั้นหรือ?”
“ไม่ใช่ขอรับไม่ใช่! ข้าแค่รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยเท่านั้น…”
ซานซานกระแอมไอเสียง ก่อนหน้านี้กำลังพูดถึงเรื่องของสำนักกระบี่ทมิฬอยู่โดยไม่ใช่หรือ แล้วเหตุใดถึงกลายมาเป็นเรื่องผาธารใสได้ล่ะ?
ฉู่หลิวเยว่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดพร้อมรอยยิ้ม
“ก่อนหน้านี้ตอนที่ข้ามาที่นี่ ข้าเห็นเพียงว่าผาธารใสเป็นเพียงสถานที่ธรรมดาเท่านั้น แต่ในเมื่อตอนนี้มันกลายเป็นขุมทรัพย์ไปแล้ว ข้าก็อยากจะไปดูเสียหน่อย แล้วอีกอย่างเจ้าพูดไม่ใช่หรือว่าด้านในนั้นมีสมุนไพรล้ำค่าอยู่ไม่น้อย?”
ซานซานพยักหน้า
นายท่านคือเซียนหมอ ดังนั้นจึงรู้สึกสนใจวัตถุดิบวิเศษเป็นอย่างมาก
“เช่นนั้นก็ได้! พรุ่งนี้ข้าจะวางแผนการเดินทางเอง!”
…
หลังจากเฉินอีและคนอื่นๆ เดินจากไปแล้ว ฉู่หลิวเยว่ก็นั่งอยู่เงียบๆ ตามลำพัง
แอ๊ด…
มีคนผลักประตูเข้ามา
ฉู่หลิวเยว่เงยหน้าขึ้นมอง
เสื้อคลุมสีขาวหิมะเหมือนล่องลอยอยู่ในอากาศ
ผู้ที่เข้ามานั้นคือ หรงซิว นั่นเอง
“ดูเหมือนว่าผลประกอบการของวันนี้ค่อนข้างดีนะ”
หรงซิวเดินเข้ามาพร้อมพูดด้วยรอยยิ้มผ่อนคลาย
ฉู่หลิวเยว่หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก
“…จะพูดเช่นนี้ก็ไม่ผิด ที่ข้าเดินทางไปในวันนี้ไม่เพียงแค่ได้รับผลประกอบการดี แต่มีเรื่องที่น่าประหลาดใจเกิดขึ้นด้วย”
แค่พาสือซานไปทะลวงด่าน กลับได้พบความลับอันยิ่งใหญ่ของสำนักกระบี่ทมิฬ ซึ่งถือว่านางนั้นโชคดีเป็นอย่างมาก
นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เล่าเรื่องที่เกิดภายในวันนี้ให้แก่หรงซิวฟัง
หรงซิวที่ได้ยินเรื่องเล่าก็มีสีหน้าราบเรียบตั้งแต่ต้นจนจบ
จนถึงตอนสุดท้าย ริมฝีปากบางของเขาก็ยกยิ้มขึ้น
“กล้าทำเช่นนี้ในที่แห่งนี้ ดูเหมือนว่าความทะเยอทะยานของสำนักกระบี่ทมิฬจะสูงมากเลยทีเดียว”
ฉู่หลิวเยว่มองหน้าเขา และรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
“เจ้า…ดูเหมือนว่าเจ้าจะคาดเดาเอาไว้ได้ก่อนแล้ว?”
หรงซิวมักจะไม่แสดงอารมณ์ผ่านสีหน้า แต่การตอบสนองนี้…ดูเหมือนว่ามันจะราบเรียบเกินไปแล้ว
เขาเอียงศีรษะเล็กน้อย ท่าทางคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม
ฉู่หลิวเยว่เบิกตากว้างขึ้นเล็กน้อย
“ดังนั้นเจ้าก็รู้เรื่องเหล่านี้แล้วหรือ?”
หรงซิวส่ายหน้าพร้อมรอยยิ้ม
“แค่ครึ่งหนึ่งเท่านั้น เยี่ยนชิงสามารถสืบได้เพียงว่าวันนี้ของทุกเดือนสำนักกระบี่ทมิฬจะมีการทดสอบคนที่จะเข้าสำนัก แต่หลายครั้งคนเหล่านั้นก็หายตัวไปอย่างไม่ทราบสาเหตุ แต่ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาถูกอีกฝ่ายจัดการอย่างใด”
มุมปากของฉู่หลิวเยว่กระตุกขึ้น
นี่มันแตกต่างจากเรื่องที่นางเล่าอย่างใด?
เหตุผลที่นางรู้เรื่องเหล่านี้อย่างชัดเจน ก็เพราะว่านางเห็นเรื่องทั้งหมดนั้นด้วยตาตนเอง
แต่เยี่ยนชิงแค่ออกไปด้านนอกเพียงครึ่งวันก็สามารถหาข้อมูลเหล่านี้ได้แล้ว ดังนั้นนางจึงรู้สึกว่าอีกฝ่ายสุดยอดมาก
“เขาไปสืบมาได้อย่างใด?”
ฉู่หลิวเยว่รู้สึกสงสัยเป็นอย่างมาก
หรงซิวรินชาให้ตัวเองหนึ่งถ้วย
หมอกสีขาวปกคลุมที่ระหว่างคิ้วของเขาอย่างคลุมเครือ
“ตอนแรกพวกเราก็อยู่ที่นี่มาสักพักหนึ่งแล้วไม่ใช่หรือ?”
ฉู่หลิวเยว่ชะงักไปเล็กน้อย
“เจ้าหมายความว่า…”
หรงซิวยกชาขึ้นมาจิบ
ไม่ว่าเขาจะเคลื่อนไหวอย่างใดก็ดูสง่างาม เลอค่า
กลิ่นหอมจางๆ ของชาอบอวลอยู่ในอากาศ นี่ยังคงเป็นกลิ่นที่นางคุ้นเคย
เขาเงยหน้าขึ้นมองเล็กน้อยและประสานสายตากับฉู่หลิวเยว่
ริมฝีปากบางโค้งขึ้น หางตาประดับด้วยรอยยิ้มสามส่วน
“ข้าทิ้งคนเอาไว้ที่นี่อยู่สองสามคน”
ตอนที่ 1845 สำรวจ
หรงซิวพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
แต่ฉู่หลิวเยว่กลับเข้าใจว่าความหมายของคำพูดเหล่านั้น
ท่าเรือดอกท้อแห่งนี้…มีลูกน้องของหรงซิวอาศัยอยู่!
ฉู่หลิวเยว่รู้สึกตกใจเป็นอย่างแรก ต่อมาก็คิดว่านี่เป็นเรื่องปกติ
ด้วยนิสัยอย่างหรงซิวแล้ว หากเขาไม่ทิ้งลูกน้องเอาไว้ที่นี่ นั่นถึงจะเป็นเรื่องแปลก
หลังจากได้สติกลับคืนมา นางก็ขำขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
“ก่อนหน้านี้เจ้าไม่เคยเล่าให้ข้าฟังเลย?”
หรงซิวครุ่นคิดขึ้นมา
“ข้าเองก็คิดไม่ถึงว่าจะสามารถใช้ประโยชน์ได้ในวันนี้ แต่ว่าคนของสำนักกระบี่ทมิฬเป็นคนที่ละเอียดรอบคอบ นั่นคือทั้งหมดที่พวกเขารู้ เดิมทีข้าเองก็คิดจะมาบอกเล่าเรื่องนี้ แต่คิดไม่ถึงว่าพวกเจ้าจะได้ไปปะทะกันโดยตรงแล้ว”
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้า
การที่สืบค้นเรื่องเหล่านี้ได้ก็เป็นเรื่องยากมากแล้ว
ท้ายที่สุดแล้วแม้กระทั่งซานซานที่ติดต่อกับสำนักกระบี่ทมิฬอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ก็ยังรู้เรื่องเหล่านี้เพียงบางส่วนเท่านั้น
หากคนธรรมดาทั่วไปต้องการจะสืบเรื่องราวให้มากขึ้น อาจจะทำให้สำนักกระบี่ทมิฬสงสัยได้
“ข้าคิดว่าพรุ่งนี้ข้าจะไป…ผาธารใส”
ฉู่หลิวเยว่พูดขึ้น
“บางทีเราอาจจะได้เบาะแสที่เกี่ยวกับผาธารใสจากทางนั้นบ้าง”
ไม่ได้อยู่กับนางเพียงวันเดียว ก็เกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นเช่นนี้แล้ว
ยังดีที่นางไม่ได้รับอันตราย
แต่เขาก็ไม่สามารถวางใจได้
ท่าเรือดอกท้อแห่งนี้มีอันตรายอยู่ทุกหนแห่ง
ดังนั้นเขาจะต้องปกป้องคนของเขาเป็นอย่างดี
…
ค่ำคืนหนึ่งผ่านไปโดยที่นางไม่ได้หลับฝัน
เช้าวันรุ่งขึ้น ฉู่หลิวเยว่กับหรงซิวปลอมตัวกันเล็กน้อย และเดินทางติดตามซานซานไปที่ผาธารใสอย่างเงียบเชียบ
บนท้องถนนครึกครื้นเป็นอย่างมาก
ซานซานพาพวกเขาเดินตามซอกซอยที่ไม่มีผู้คน พร้อมมุ่งหน้าไปยังจุดหมาย
ทั้งสามคนเดินทางกันอย่างรวดเร็ว ใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วยาม ก็มาถึงจุดหมายแล้ว
“นายท่าน ฝ่าบาท นั่นก็คือผาธารใส”
ซานซานยืนนิ่งแล้วยกมือชี้ไปด้านหน้า
ฉู่หลิวเยว่กับหรงซิวมองตรงไป
บริเวณไม่ไกลกันนั้นมีเทือกเขาสลับซับซ้อน ยอดเขาเรียงราย
แต่ในตำแหน่งตรงกลางกลับมีภูเขาลูกหนึ่งที่ถูกผ่าออกเป็นสองส่วน
เมื่อเปรียบเทียบกับยอดเขาที่ตั้งตระหง่านอยู่ด้านข้างแล้ว ภูเขาลูกนี้เตี้ยกว่าครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว
อีกทั้งก้อนหินยังเป็นสีดำไหม้เกรียม ไม่มีต้นหญ้าขึ้น ดูแล้วเป็นเพียงสถานที่รกร้างว่างเปล่า
แต่หากมองดีๆ แล้ว กลับมีเส้นทางคดเคี้ยวมุ่งตรงไปที่ด้านใน
ทำให้มองเห็นแสงสว่างปลายทางได้อย่างเลือนราง
ฉู่หลิวเยว่และหรงซิวก็เดินติดตามกันไปอย่างใกล้ชิด
หลังจากเดินไประยะ ฉู่หลิวเยว่ก็กวาดสายตามองรอบข้าง
“คนที่มาที่นี่…เหมือนว่าจะมีจำนวนเยอะมาก”
นางเห็นว่ามีคนเดินผ่านไปมา
เพียงแต่ว่าคนเหล่านั้นเหมือนจะหลีกเลี่ยงเส้นทางเส้นนี้ และหลีกเลี่ยงที่จะมาผาธารใส
ซานซานหันศีรษะกลับมามอง แล้วอธิบายด้วยเสียงหัวเราะว่า
“นายท่าน ท่านคงยังไม่รู้ ตั้งแต่ที่ข้าได้รับโชคจากผาธารใส คนของท่าเรือดอกท้อก็ชอบมาที่นี่เพราะอยากเพลิดเพลินกับความสนุกสนาน และยังหวังว่าจะได้รับโอกาสเช่นเดียวกันกับข้า! เพียงแต่ว่าปีสองปีที่ผ่านมา ทุกคนล้วนไม่ได้รับของวิเศษอันใดเลย คนที่มาที่นี่จึงน้อยลง ตอนนี้ท่านก็เห็นแล้วว่าที่แห่งนี้มีคนอยู่ไม่มาก ต้องบอกก่อนว่าในตอนแรกสถานที่นี้เป็นเพียงแค่ป่ารกร้าง แต่พวกเขาทั้งหมดล้วนมาตามหาขุมทรัพย์!”
“ส่วนเรื่องที่เหตุใดเขาถึงต้องหลีกเลี่ยงผาธารใส…นั่นก็เป็นเพราะว่าพวกเขารู้ว่าข้าเป็นเจ้าของของสถานที่แห่งนี้!”
ฉู่หลิวเยว่เหลือบสายตามองเขาแล้วเลิกคิ้วขึ้น แต่กลับพูดแทงใจอย่างไร้ความปรานีว่า
“ไม่ใช่เพราะพวกเขารู้ว่าสถานที่แห่งนี้ถูกสำนักกระบี่ทมิฬจับตามองอยู่หรือ?”
ใบหน้าของซานซานแข็งทื่อไป เขาจึงบ่นพึมพำขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ว่า
“เรื่องนี้ท่านเข้าใจกันเองก็พอแล้ว เหตุใดต้องพูดหักหน้าข้าด้วยเล่า…”
เขารู้สึกขมขื่นมามากพอแล้ว
นายท่านยังเอามีดมาแทงซ้ำอีก
ฉู่หลิวเยว่ส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็มองไปในระยะไกลอีกครั้ง
คนเหล่านั้นกำลังคิดอันใดอยู่คาดเดาได้ไม่ยากเลย
แม้กระทั่งนางกับหรงซิวก็ยังมาที่นี่เพราะสมมุติฐานนั้นไม่ใช่หรือ?
เพียงแต่ไม่รู้ว่า…ครั้งนี้นางจะได้เบาะแสอันใดหรือไม่
…
แต่เพราะว่าทั้งสองคนนั้นได้ปลอมตัวมาเล็กน้อย ดังนั้นคนอื่นที่มองจากในระยะไกล จึงคิดว่าซานซานพาคนติดตามของตนเองมาที่นี่เท่านั้น จึงไม่ได้สนใจอันใดมาก
“เถ้าแก่ซาน เข้าไปในผาธารใสอีกแล้วหรือ?”
“นั่นมันมีเรื่องอันใดน่าแปลกกัน? เดิมทีผาธารใสก็เป็นของเขาอยู่แล้ว มีเดือนไหนบ้างที่เขาไม่ได้มาที่นี่บ่อยๆ?”
“หากข้าจำไม่ผิดละก็ เมื่อวานนี้เป็นวันที่เขาต้องส่งบรรณาการให้แก่สำนักกระบี่ทมิฬ วันนี้เขากลับไม่พักผ่อน แต่มาที่นี่ตั้งแต่เช้าตรู่?”
“…ถ้าเป็นเช่นนั้นมันก็น่าแปลกเล็กน้อย…เถ้าแก่ซานผู้นี้ หากไม่มีผลประโยชน์จะไม่ยอมตื่นแต่เช้า หรือว่าเขารีบร้อนที่จะเก็บสมุนไพรอีก?”
“เจ้าไม่ได้ยินเรื่องก่อนหน้านี้หรือ คนของสำนักกระบี่ทมิฬเดินทางไปสวนสมุนไพรเพื่อเอาสินค้าก่อนเวลา แต่เพราะว่ายังมีของไม่ครบถ้วน เด็กรับใช้คนนั้นจึงถูกแทงจนบาดเจ็บ เมื่อวานเขาไม่ได้ไปแค่ส่งของ แต่ต้องไปขอโทษด้วย! ข้าว่านะที่เถ้าแก่ซานรีบร้อนมาที่นี่ต้องเป็นเพราะถูกคนของสำนักกระบี่ทมิฬกระตุ้นมาแน่นอน!”
“น่าจะเป็นเช่นนั้น…คิดไปแล้วเขาก็ดวงซวยเสียจริง กว่าจะได้รับโอกาสเช่นนั้น แต่ตอนนี้กลับต้องมาแบ่งปันให้คนอื่น อีกทั้งยังมอบให้โดยไม่ได้เงินตอบแทน…ไม่ว่าจะเป็นใครก็ทนไม่ได้ทั้งนั้น?”
“แล้วอย่างใดเล่า? อย่าว่าแต่เขาเลย ทั่วทั้งท่าเรือดอกท้อมีใครบ้างที่กล้าหือกับคนของสำนักกระบี่ทมิฬ? ช่างเถอะ! ระวังหายนะจะออกจากปากเจ้า! พวกเราคิดถึงเรื่องตนเองก็พอแล้ว!”
อย่างน้อยเถ้าแก่ซานก็มีผาธารใสเป็นของตนเอง แล้วพวกเขาล่ะมีอันใด?
…
เสียงกระซิบกระซาบทุกชนิดกระทบกับโสตประสาท
ภายในใจของฉู่หลิวเยว่สั่นไหวเล็กน้อย จากนั้นก็หันไปมองซานซานที่อยู่ด้านหน้า
หากเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นกับผู้อื่น พวกเขาคงทนไม่ไหวไปตั้งนานแล้ว
แต่ซานซานนั้นแตกต่างกันออกไป
ความสามารถของเขาในด้านนี้แทบจะเป็นสุดยอด
เมื่อพิจารณาจากจดหมายที่เขาเขียนมาให้ก่อนหน้านี้ ไม่มีร่องรอยของความโศกเศร้าเสียใจให้ผู้อื่นสัมผัสได้เลย
เขาเป็นคนใจกว้างมาก
หากพูดง่ายๆ ก็คือใจใหญ่
โชคดีที่เขายังอยู่ที่นี่…
“นายท่าน นายท่าน?”
ซานซานยืนนิ่งพร้อมหันกลับมามองทางฉู่หลิวเยว่ จากนั้นก็พบว่านายท่านของตนเองนั้นกำลังเหม่อลอยไป
ฉู่หลิวเยว่เงยหน้าขึ้นมองเล็กน้อย แล้วเหลือบสายตามองทางเขา
ซานซานกุมหน้าอกของตนเอง
“นายท่านมองข้าเช่นนี้…มันหมายความว่าอย่างใดกันแน่?”
ฉู่หลิวเยว่หัวเราะเสียงเย็น
“ข้าเพียงแค่กำลังคิดว่า เจ้านี่โชคดีจริงๆ เลย”
เมื่อได้ยินดังนั้น ซานซานก็รู้สึกมีความสุขขึ้นมากะทันหัน
เขาชอบที่คนอื่นชื่นชมยกย่องเขาแบบนี้มากที่สุด
“นั่นน่ะสิ! ท่านดูสิ…นี่คือพื้นที่มิติขนาดเล็กที่ข้าเคยบอกท่านไปก่อนหน้านี้!”
ฉู่หลิวเยว่มองตามนิ้วชี้ของเขาไป
บริเวณตรงหน้าไม่ไกลกันนั้นมีทะเลสาบขนาดเล็กแห่งนี้อยู่
เหนือทะเลสาบปกคลุมด้วยม่านพลังโปร่งแสงจางๆ
นั่นคือแสงสว่างที่พวกเขาเห็นจากด้านนอก
เมื่อเงยหน้าขึ้นไปมองก็เห็นผาธารใสที่ถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน ลำแสงสายหนึ่งจากบนท้องฟ้าตกกระทบลงมาด้านล่าง
ซานซานสาวเท้าขึ้นไปหนึ่งก้าว กลางฝ่ามือมีเปลวเพลิงสีน้ำเงินปรากฏขึ้น
พรึ่บ!
เปลวเพลิงพวยพุ่ง ม่านพลังถูกเปิดออกในทันที!
ซานซานสาวเท้าเข้าไปด้านใน
ฉู่หลิวเยว่และหรงซิวหันมามองหน้ากัน ก่อนจะติดตามไป
ม่านพลังถูกปิดลง
เงาร่างของทั้งสามคนจางหายไปในทันที