ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1849 ตื่นตระหนก
ตอนที่ 1849 ตื่นตระหนก
………………..
ซานซานเดินไปที่ริมขอบของม่านพลัง ก่อนจะหันกลับมามองหน้าทั้งสองคน
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้าให้อย่างไร้เสียง
ซานซานถึงได้ยื่นมือออกไป ทันใดนั้นเองเปลวเพลิงสีน้ำเงินกลุ่มหนึ่งก็พวยพุ่งออกมา! แล้วปกคลุมม่านพลังนั้นเอาไว้!
บางทีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นอาจจะส่งผลกระทบมากเกินไป ตอนที่ซานซานยื่นมือออกไปนั้น เขายังรู้สึกว่าหัวใจของเขากำลังแขวนอยู่บนเส้นด้าย
แต่ตอนที่เห็นว่าเปลวเพลิงกำลังลุกไหม้ม่านพลังอย่างปกติ และสามารถเปิดม่านพลังได้อย่างราบรื่น เขาจึงรู้สึกโล่งอกขึ้นมา
ค่อยยังชั่ว…
เหมือนว่าสิ่งที่นายท่านทำเมื่อครู่นี้ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อพื้นที่ขนาดเล็กแห่งนี้
ไม่อย่างนั้นแล้วละก็ เกรงว่าวันนี้พวกเขาคงยากที่จะได้ออกจากที่แห่งนี้ และตอนที่เจอกับบุคคลภายนอก เขาก็ยิ่งไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างใดดี
ซานซานสงบสติอารมณ์ของตนเอง ก่อนจะก้าวเดินออกมาจากช่องว่างระหว่างมิติ!
ฉู่หลิวเยว่และหรงซิวก็เดินติดตามกันออกไปด้วย
หลังจากเงาร่างทั้งสามออกไปแล้ว ม่านพลังก็ปิดลงอีกครั้ง
ภายในพื้นที่มิติขนาดเล็กปกคลุมด้วยความเงียบอีกครั้งแล้ว
…
ซานซานเพิ่งจะออกมา จากนั้นก็เห็นว่ามีคนสองสามคนกำลังยืนรออยู่ด้านนอก
พวกเขาสวมชุดสีดำทั้งร่าง หน้าอกซ้ายปักด้วยสัญลักษณ์กระบี่คู่ล้อมดวงจันทร์
นั่นคือสำนักกระบี่ทมิฬ
อีกทั้งหัวหน้าของคนเหล่านี้ก็เหมือนจะเป็นคนรู้จักของซานซานด้วย
“ใต้เท้ามั่วหลิน ท่านมาที่นี่ได้อย่างใด?”
ในสำนักกระบี่ทมิฬมั่วหลินมีฐานะไม่ต่ำต้อย เขาถือว่าเป็นมือขวาของมั่วอวิ๋น
มีเรื่องหลายเรื่องที่เขาออกหน้าจัดการแทนมั่วอวิ๋น
ดังนั้นเมื่อซานซานเห็นหน้าเขาจึงมีท่าทางกระตือรือร้นเป็นอย่างมาก
มั่วหลินและคนอื่นๆ ที่กำลังรอคอยอย่างหมดความอดทน เมื่อเขาเห็นซานซานออกมา สีหน้าถึงจะอ่อนลงหลายส่วน
“เถ้าแก่ซาน”
มั่วหลินเดินก้าวขึ้นมา
เขาดูเหมือนคนอายุสามสิบกว่า รูปร่างผอมสูง องคาพยพทั้งห้าธรรมดา มีเพียงดวงตาคู่นั้นเท่านั้นที่เย็นชาและเฉียบคม จนสามารถมองเห็นได้ถึงความเฉลียวฉลาดและโหดเหี้ยม
“เมื่อครู่นี้ข้าตะโกนเรียกเจ้าอยู่ตั้งหลายครั้งแต่ไม่ได้ยินเสียงตอบรับเลย พวกเรายังคิดว่าเจ้าน่าจะไม่ได้อยู่ด้านใน”
ขณะที่เขาพูดนั้นมุมปากก็ยกยิ้มขึ้น แต่หางตากลับยังมีความเย็นชาอยู่เช่นเดิม
ซานซานก็ไม่กล้าละเลยเขาแม้แต่น้อย เขาจึงรีบอธิบายพร้อมรอยยิ้มว่า
“ใต้เท้ามั่วหลิน ขอโทษจริงๆ นะขอรับ เมื่อครู่นี้ข้ากำลังจัดการสมุนไพรอยู่จนทำให้ไม่ได้ยินเสียงของท่าน แต่หลังจากที่ข้าได้ยินแล้ว ข้าก็รีบออกมาในทันที ได้โปรดเข้าใจข้าน้อยด้วยนะขอรับ!”
มั่วหลินกวาดสายตามองเขาอยู่ครู่หนึ่ง
ใบหน้ากลมเกลี้ยงของซานซานมีสีแดงแซมอยู่ บนหน้าผากก็มีเม็ดเหงื่อผุดพราย ลมหายใจหอบถี่ ดูเหมือนว่าเขาจะรีบออกมาจริงๆ
เพียงแต่เขาไม่รู้ว่าที่ซานซานมีท่าทางเช่นนี้ เป็นเพราะว่าเขากำลังตกใจกับท่าทางของนายท่านเมื่อครู่นี้ต่างหาก
เมื่อซานซานเห็นมีท่าทางเช่นนี้ ความไม่พอใจของมั่วหลินก็จางหายไปไม่น้อยเลยทีเดียว ความเย็นชาภายในดวงตาก็ค่อยๆ จางไป
“หึๆ เถ้าแก่ซานไม่ต้องตื่นตระหนก ครั้งนี้เป็นพวกเราที่หุนหันพลันแล่นมากเกินไป หากข้ามารบกวนท่าน ต้องขออภัยจริงๆ”
ใบหน้าของซานซานประดับด้วยรอยยิ้มกระตือรือร้น แต่ภายในใจกลับด่าบรรพบุรุษสิบแปดชั่วโคตรของอีกฝ่ายแล้ว
ขออภัยอย่างนั้นหรือ?
แต่เขาไม่เห็นท่าทางสำนึกผิดของอีกฝ่ายเลย!
เรื่องที่ไม่ควรทำก็ทำมาหมดแล้ว ในเวลานี้กลับมาพูดว่า “ขออภัย” แบบนี้มันเหมือนเป็นการถอดกางเกงแล้วผายลม…ไม่ใช่เรื่องจำเป็นเลย!
“ใต้เท้ามั่วหลินงานยุ่งมากอยู่แล้ว แล้วเหตุใดวันนี้ถึงมีเวลามาหาข้าที่นี่ได้? มีเรื่องสำคัญอันใดหรือ?”
ซานซานอยากจะรีบออกไปให้เร็วที่สุด ดังนั้นเขาจึงใช้คำพูดที่มีมารยาทอย่างมาก
มั่วหลินกล่าวว่า
“ความจริงแล้วก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด เพียงแต่คนของพวกเราพบว่า…”
เขายังพูดไม่ทันจบ แต่สายตาก็หันไปมองทางหรงซิวและฉู่หลิวเยว่ที่เพิ่งเดินติดตามซานซานออกมา
“สองคนนี้คือ…”
ในแววตาของเขาเผยความสงสัย
ซานซานจึงรีบพูดขึ้นมาว่า
“ทั้งสองคนนี้คือเด็กรับใช้ในร้านยาของข้า ใต้เท้ามั่วหลินไม่รู้จักก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติแล้ว”
ตอนที่พวกเขาออกมา ฉู่หลิวเยว่และหรงซิวตั้งใจปลอมตัวโดยเฉพาะ อย่างน้อยหากดูจากรูปลักษณ์ภายนอกแล้ว ทุกอย่างดูธรรมดาเป็นอย่างมาก
มั่วหลินขมวดคิ้วขึ้น
ปกติแล้วซานซานก็จะพาคนของตนเองติดตามมาด้วยเป็นประจำ เรื่องนี้ไม่มีอันใดน่าแปลกใจ
แต่ไม่รู้เหตุใด เขากลับรู้สึกว่าเด็กรับใช้สองคนนี้…มีอันใดบางอย่างที่แตกต่างไป
ส่วนแตกต่างไปที่ตรงไหนนั้น เขากลับพูดไม่ออก
เขากวาดสายตามองอย่างสงสัยอีกครั้ง
ซานซานก้าวขึ้นมาหนึ่งก้าวเพื่อบดบังสายตาจากมั่วหลินอย่างเป็นธรรมชาติ จากนั้นเขาก็ถูมือไปมาพร้อมรอยยิ้ม
“ต้องขอโทษใต้เท้ามั่วหลินมากจริงๆ นะขอรับ เด็กทั้งสองคนนี้เป็นเด็กใหม่ ไม่ค่อยเข้าใจกฎเกณฑ์ หากล่วงเกินท่านที่ใด หวังว่าท่านจะให้อภัยด้วยนะขอรับ! ฮ่าๆ!”
“เถ้าแก่ซาน ความจริงแล้วที่พวกเรามาในวันนี้เพราะอยากจะขอความช่วยเหลือจากเจ้า”
ซานซานชะงักไปเล็กน้อย
“ใต้เท้ามั่วหลินเชิญพูดมาได้เลย”
มั่วหลินยกมือแล้วชี้ไปที่ยอดเขาที่อยู่ไม่ไกล
“คนของพวกเราไม่กี่คนถูกขังอยู่ภายในยอดเขาหลานชิง ตอนนี้ไม่สามารถออกมาได้ เกรงว่าต้องรบกวนให้เถ้าแก่ซานไปช่วยเหลือหน่อยขอรับ”
เมื่อได้ยินดังนั้น ซานซานก็ชะงักไปแล้วเบิกตากว้าง ก่อนจะชี้นิ้วมายังตัวเอง
“ข้าหรือ?”
คนของพวกเขาติดอยู่ในยอดเขาหลานชิง พวกเขาไปช่วยเองก็ได้แล้วไม่ใช่หรือ เหตุใดถึงต้องถ่อมาที่นี่เพื่อมาหาเขาด้วยล่ะ?
หรือว่ามั่วหลินถูกลาเตะสมองมาจึงได้โง่แบบนี้?
ฉู่หลิวเยว่และหรงซิวที่อยู่ด้านข้างก็ยังคงเงียบกริบ พวกเขาเข้าใจกันเองโดยปริยายว่าจะต้องลดการมีอยู่ของตนเองให้เจือจางมากที่สุด
แต่คำพูดเหล่านั้นเขาก็ได้ยินอย่างชัดเจน
เมื่อได้ยินดังนั้นหัวใจของฉู่หลิวเยว่ก็สั่นไหวไปเล็กน้อย
คนของสำนักกระบี่ทมิฬมีฝีมือแข็งแกร่งกว่าซานซานมากนัก
แต่เพียงเพราะเรื่องนี้กลับต้องมาตามหาซานซาน ดังนั้นจึงมีเพียงความเป็นไปได้สองอย่างเท่านั้น
หนึ่ง พวกเขาแค่ต้องการหาข้ออ้างและให้ซานซานไปยังยอดเขาหลานชิง
ข้ออ้างนี้มันจะโง่เกินไปหน่อยหรือไม่
แต่คนของสำนักกระบี่ทมิฬไม่น่าจะโง่ขนาดนั้นหรอกมั้ง
สอง พวกเขาต้องการให้ซานซานไปช่วยเหลือจริงๆ …อีกทั้งการช่วยเหลือในครั้งนี้ มีเพียงแต่ซานซานเท่านั้นที่สามารถช่วยได้
หากเป็นเช่นนี้จริงๆ เรื่องนี้ก็น่าสนใจอย่างมากแล้ว
มั่วหลินกลับยกมือห้ามเขาอย่างกะทันหัน
“ช้าก่อน”
หัวใจของซานซานกระตุกวูบ
“มีอันใดหรือ?”
มั่วหลินยกคางขึ้น
“เถ้าแก่ซานไปกับพวกเราตามลำพังก็พอแล้ว ส่วนสองคนนั้น…”
เขาให้อีกฝ่ายรออยู่ที่นี่ก่อน
ซานซานรู้สึกลำบากใจเป็นอย่างมาก
เขารู้สึกลำบากใจจริงๆ
พื้นที่มิติขนาดเล็กนี้เหมือนกับเบี้ยต่อรอง เขาจึงไม่กลัวว่าอีกฝ่ายจะทำอันใดกับเขา
แต่เขาไปที่นั่นคนเดียวละก็ แล้วหากนายท่านและฝ่าบาทที่รออยู่ที่นี่เกิดอันใดขึ้นจะทำอย่างใด?
หากมันเกิดเรื่องเข้าล่ะ?
“ใต้เท้ามั่วหลิน คือว่า…เด็กทั้งสองคนนี้เป็นเด็กรับใช้ของข้า หากให้พวกเขาอยู่ที่นี่ตามลำพัง ข้าก็รู้สึกไม่วางใจ! พาพวกเขาไปด้วยดีหรือไม่? ข้ารับประกันว่าพวกเขาทั้งสองจะไม่ก่อเรื่องวุ่นวายใจแก่ท่านแน่นอน!”
มั่วหลินหรี่ตาลงอย่างกะทันหัน
“แค่เด็กรับใช้สองคน เถ้าแก่ซานจะตื่นตระหนกไปเหตุใด?”
………………..