ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1850 เปลวเพลิงที่คดเคี้ยว
ตอนที่ 1850 เปลวเพลิงที่คดเคี้ยว
………………..
ซานซานถอนหายใจออกมา
“ท่านไม่เข้าใจเรื่องนี้ ใต้เท้ามั่วหลิน ในความคิดของท่านแล้ว ทั้งสองคนนี้เป็นเพียงแค่เด็กรับใช้ที่ไม่มีค่าไม่มีความสำคัญ แต่สำหรับข้าแล้ว…พวกเขามีความสำคัญยิ่งนัก! ท่านก็รู้ว่าข้ามีกิจการค้าโอสถ การคัดเลือกเด็กรับใช้นั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย หลังจากที่ข้าคัดเลือกอย่างระมัดระวังแล้ว อีกทั้งข้าได้ชี้แนะเรื่องแยกสมุนไพรแก่พวกเขาด้วยตัวเอง และผู้น้อยแซ่ซานก็ทุ่มเแรงกายใจไปไม่น้อย หากเกิดอันใดขึ้นกับพวกเขา ข้าคงขาดทุน…”
ซานซานรู้สึกเศร้าสร้อยเป็นอย่างมาก
“เมื่อนึกถึงตอนแรกที่ผู้น้อยแซ่ซานเพิ่งมาถึงท่าเรือดอกท้อ ข้านั้นรู้สึกยากลำบากขนาดไหน…”
เมื่อเห็นว่าซานซานกำลังคร่ำครวญถึงความยากลำบากที่มีในช่วงเริ่มต้น มุมปากของมั่วหลินก็กระตุกขึ้น
“เอาล่ะ! ในเมื่อเถ้าแก่ซานพูดเช่นนี้แล้ว ถ้าอย่างนั้นจะพาทั้งสองคนนี้ไปด้วยก็ได้!”
หากพวกเขาเชื่อฟังเป็นอย่างดีก็ช่างเถอะ แต่ถ้าก่อเรื่องขึ้นมาแล้วละก็…
ไม่ว่าอย่างใดพวกเขาก็มีหนทางแก้ไขปัญหาอย่างไร้เสียง
เขากับเถ้าแก่ซานผู้นี้ก็นับว่ารู้จักกันเป็นระยะเวลานาน สิ่งที่เขาทนไม่ได้ก็คือการที่อีกฝ่ายต้องมาบ่นนั่นนี่
ในสถานการณ์ที่รีบร้อนเช่นนี้ เขาไม่อยากจะเสียเวลากับเรื่องเล็กน้อยแบบนี้เลย
ซานซานรู้สึกยินดีเป็นอย่างมาก
“ขอบคุณใต้เท้ามั่วหลินที่เข้าใจ!”
มั่วหลินหมดความอดทน
ถ้าไม่ใช่เพราะรองประมุขกำชับเขามาโดยเฉพาะว่าต้องให้สุภาพกับอีกฝ่ายสักหน่อย เขาก็ไม่มีทางอดทนเช่นนี้หรอก
“ไปกันเถอะ!”
เขาไม่ได้สนใจเด็กรับใช้สองคนที่อยู่ด้านหลังอีกแล้ว เขาหมุนตัวแล้วสะกิดปลายเท้าขึ้น พร้อมมุ่งหน้าไปยังยอดเขาหลานชิง
ซานซานกระแอมไอขึ้น
…
ความเร็วของคนกลุ่มนี้สูงมาก
ใช้เวลาประมาณหนึ่งเค่อก็มาถึงยอดเขาหลานชิงแล้ว
มั่วหลินยืนอยู่กลางอากาศ ก่อนจะชี้นิ้วไปด้านหน้า
“เถ้าแก่ซาน พวกเขาติดอยู่ในที่แห่งนั้น”
ซานซานหันไปมองตามสายตานั้น และเขาก็เห็นว่ามีเงาร่างของคนหลายคนอยู่บริเวณไหล่เขา
จริงๆ
แต่ต้นไม้ขึ้นหนารกทึบ บดบังการมองเห็นของเขาเป็นส่วนใหญ่ เขาจึงสามารถมองเห็นได้โครงร่างเท่านั้น กลับไม่สามารถมองเห็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจน
“ยอดเขาหลานชิงแห่งนี้…ก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีอันใด แต่เหตุใดคนเหล่านั้นถึงติดอยู่ภายในได้?”
ซานซานถามขึ้นด้วยใบหน้ามึนงง
เขาเห็นว่าคนทั้งหลายนั้นเหมือนว่าจะไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่กลับไม่สามารถลงเขาได้เลยหรือ?
มั่วหลินขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย
“เถ้าแก่ซาน มองให้ดีๆ อีกครั้ง”
ซานซานเห็นว่าเขามีใบหน้าเคร่งขรึมแล้วรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติไป เขาจึงเดินไปด้านหน้าสองก้าว ลองเปลี่ยนมุมที่จะมอง
ในที่สุดครั้งนี้เขาก็สามารถมองเห็นสถานการณ์ของไหล่เขาได้อย่างละเอียดแล้ว
ใบหน้าของเขามีประกายความสงสัยปรากฏขึ้นมาก่อนอย่างแรก จากนั้นก็เหมือนว่าจะคาดเดาอันใดบางอย่างออกแล้ว เขาหันไปมองทางมั่วหลินด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อ
“ใต้เท้ามั่วหลิน นั่นมัน…”
ฉู่หลิวเยว่เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย
นางกับหรงซิวยืนอยู่ในตำแหน่งด้านหลัง จึงไม่สามารถเห็นสถานการณ์ด้านนั้นได้อย่างชัดเจน
ยอดเขาหลานชิงแห่งนี้ดูปกติอย่างมาก ไม่มีอันใดสะดุดตาเป็นพิเศษเลย
แต่คนไม่กี่คนที่อยู่บนพื้นราบบริเวณไหล่เขา กลับไม่สามารถเดินหน้าได้อย่างไม่ทราบสาเหตุ ทั้งนี้พวกเขาก็ไม่ได้เดินไปไหนเลยตั้งแต่ต้นจนจบ
เมื่อมองไปแล้วก็เหมือนว่าเขาติดอยู่บริเวณนั้นจริงๆ …
แต่รอบข้างก็ไม่มีม่านพลังที่กีดขวางอยู่ไว้
“ดูที่เท้าของพวกเขา”
ทันใดนั้นก็มีเสียงเย็นชาดังขึ้นมากระทบโสตประสาทของนาง
เป็นหรงซิวที่เปลี่ยนพลังปราณดั้งเดิมให้กลายเป็นเสียง และพูดให้นางฟังคนเดียว
หัวใจของฉู่หลิวเยว่สั่นไหวไป จากนั้นก็มองตามทิศทางที่เขาชี้แนะ
เมื่อมองไปนางก็เห็นเบาะแสอันใดบางอย่างแล้ว
ตรงหน้าของคนเหล่านั้นเหมือนว่ามีลำแสงสีน้ำเงินประกายสว่างวาบขึ้น
เนื่องจากพวกเขาอยู่ห่างกันค่อนข้างไกล กอปรกับมีต้นไม้บดบังสายตา ดังนั้นจึงไม่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนในทันที
แต่ว่าสีนั้น…นางรู้สึกคุ้นตาเป็นอย่างมาก…
“เช้าวันนี้ พวกเขาทั้งหลายมาฝึกฝนกันอยู่ที่ยอดเขาหลานชิง ตอนแรกก็ยังดีๆ อยู่เลย แต่ไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้นบนภูเขาจึงเกิดสถานการณ์เช่นนี้ขึ้นมาอย่างกะทันหัน แล้วพวกเขาต้องติดอยู่บริเวณนั้น ไปไหนไม่ได้ หลังจากได้รับสัญญาณขอความช่วยเหลือของพวกเขา พวกเราก็รีบมาที่นี่ทันที”
มั่วหลินอธิบายขึ้นมาอย่างคร่าวๆ
“ทางด้านของพวกเราได้ตรวจสอบอย่างละเอียดแล้ว ของสิ่งนั้น…เหมือนว่าจะมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับเถ้าแก่ซาน ดังนั้นพวกเราจึงเชิญเถ้าแก่ซานมาที่นี่ เพื่อดูว่าจะสามารถช่วยอันใดได้หรือไม่”
แม้ว่าน้ำเสียงของมั่วหลินจะราบเรียบเป็นอย่างมาก แต่หลังจากที่ซานซานฟังจบแล้ว มือทั้งสองข้างของเขากลับมีเหงื่อไหลออกมา หัวใจรู้สึกตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก
แม้จะเห็นเพียงครู่เดียว แต่เขาก็สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน ลำแสงสีน้ำเงินที่ปิดกั้นทุกคนอยู่บริเวณไหล่เขานั้น ความจริงแล้วมันคือ แนวไฟสายหนึ่ง!
“เถ้าแก่ซาน?”
เมื่อเห็นว่าซานซานมีท่าทางลังเลและหยุดชะงักไป มั่วหลินก็เรียกเขาอีกครั้ง
ซานซานจึงดึงสติกลับมา พร้อมเช็ดเหงื่อบริเวณหน้าผากของตนเอง
“ใต้เท้ามั่วหลิน ไม่ว่าอย่างใดก็ตามข้าขออธิบายให้ท่านฟังเสียก่อน…ข้าไม่รู้เรื่องอันใดเกี่ยวกับสถานการณ์บนยอดเขาชิงหลานแห่งนี้เลย! ก่อนหน้านี้พวกเราอยู่ในพื้นที่มิติขนาดเล็กมาโดยตลอด ไม่มีเวลาและพลังมาทำเรื่องของทางนี้แน่นอน…”
มั่วหลินยกมือขึ้น ส่งสัญญาณว่าเขาไม่จำเป็นต้องพูดแล้ว
“เรื่องนี้พวกเราเชื่อเถ้าแก่ซาน ก่อนหน้านี้พวกเขาก็เคยพูดมาแล้วว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นมันกะทันหันเป็นอย่างมาก เถ้าแก่ซานน่าจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ดังนั้นเถ้าแก่ซานไม่จำเป็นต้องกังวล พวกเราไม่มีทางโยนความผิดให้แก่เจ้าโดยไม่มีเหตุผลแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นพวกเรายังต้องขอความช่วยเหลือจากเจ้าต่างหาก”
ใบหน้าของมั่วหลินไร้อารมณ์ ฟังไม่ออกว่าน้ำเสียงนั้นเป็นของจริงหรือของปลอม
ซานซานกัดฟันกรอด
เรื่องนี้ไม่สามารถอธิบายให้ชัดเจนเพียงแค่ประโยคหรือสองประโยค
ดูเหมือนว่าขอเพียงแค่นำตัวพวกเขาออกมาได้ ถึงจะมีโอกาสล้างมลทิน…
“เช่นนั้นข้าจะลองไปดู”
ซานซานพูดขึ้น ก่อนจะมุ่งหน้าไปทางนั้น
หลังจากที่เดินเข้าไปสองก้าว เขาก็รีบหันกลับมาแล้วพูดขึ้นว่า
“ทุกท่านมาพร้อมกันเถอะ มีข้าอยู่ อย่างน้อยก็สามารถรับประกันความปลอดภัยได้ หากเข้าไปใกล้สักหน่อย ไม่แน่ว่าอาจจะสามารถหาเบาะแสอันใดบางอย่างเพิ่มได้”
เดิมทีมั่วหลินก็ไม่ได้คิดว่าจะยืนรออยู่ด้านข้างเช่นนี้อยู่แล้ว เมื่อได้ยินดังนั้นเขาก็พยักหน้า ก่อนจะติดตามไป
คนอื่นๆ ของสำนักกระบี่ทมิฬก็ติดตามมาด้วยเช่นกัน
สายตาของซานซานมองไปทางฉู่หลิวเยว่และหรงซิว และพูดเร่งขึ้นอย่างไม่เป็นทางการว่า
“พวกเจ้าก็ตามมาด้วย”
เมื่อพูดจบ เขาก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะหมุนตัวมุ่งหน้าไปทางไหล่เขาแห่งนั้น
…
เมื่ออยู่ในระยะใกล้ขึ้นมากกว่าเดิม ก็สามารถเห็นอันใดได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม
เมื่อเดินผ่านต้นไม้รกทึบ ในที่สุดก็สามารถมองเหตุการณ์ตรงหน้าได้อย่างชัดเจน และก็เป็นอย่างที่คาดการณ์เอาไว้ตั้งแต่แรก ภายในใจของฉู่หลิวเยว่รู้สึกตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง
เปลวเพลิงสีน้ำเงินสายนั้นถูกฝังอยู่ชั้นดิน และตอนนี้มันกำลังลุกไหม้อย่างไร้เสียง!
………………..