ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1854 เข้าถ้ำเสือ
ตอนที่ 1854 เข้าถ้ำเสือ
………………..
“หรือว่าเปลวเพลิงเหล่านี้จะออกมาจากยอดเขาหลานชิงจริงๆ?”
มั่วหลินมองไปยังเปลวเพลิงที่ลุกโชนอย่างต่อเนื่องด้วยใบหน้าเย็นชา น้ำเสียงทุ้มต่ำ
“ใต้เท้า ตอนนี้พวกเราจะทำอย่างใดดี?”
คนที่อยู่ด้านหลังมีใบหน้ากังวลและตื่นตระหนก
เดิมทีพวกเขามาที่นี่เพื่อช่วยเหลือผู้คน แต่ตอนนี้ไม่เพียงไม่สามารถช่วยคนเหล่านั้นได้ อีกทั้งยังทำให้เรื่องวุ่นวายมากยิ่งขึ้นไปอีก…
ก่อนหน้านี้คนที่อยู่เบื้องบนได้กำชับกำชามามากมาย ซึ่งทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับยอดเขาหลานชิงจำต้องระมัดระวังเป็นอย่างมาก
แต่ผลสุดท้าย…
ตอนนี้ได้มีไฟป่าลุกลามขึ้นมาแล้ว จึงจะต้องดึงดูดความสนใจของคนจำนวนไม่น้อยแน่นอน
จนสุดท้ายเกรงว่าเรื่องนี้เขาก็น่าจะต้องเป็นคนรับผิดชอบเอง
มั่วหลินกัดฟันกรอด
เขาเองก็ไม่คิดว่าเรื่องมันจะกลายเป็นเช่นนี้ได้
คนเหล่านั้นจะเป็นหรือตายล้วนไม่สำคัญแต่ถ้าหากเปลวเพลิงเหล่านี้ยังคงลุกลามอยู่ตลอด…
เกรงว่าเรื่องนี้เขาก็จะต้องเป็นคนรับผิดชอบเองทั้งหมด…
“กลับเดี๋ยวนี้!”
มั่วหลินรีบตัดสินใจอย่างรวดเร็ว
ความแข็งแกร่งของเปลวเพลิงสีน้ำเงินเหล่านี้ เมื่อครู่พวกเขาก็ได้สัมผัสแล้ว
ต่อให้พวกเขาทั้งหมดจะร่วมมือกัน แต่ก็ไม่สามารถต่อกรกับเปลวเพลิงนี้ได้อย่างแน่นอน
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เขารีบกลับไปขอคำแนะนำก่อนจะดีกว่า
แม้ว่าจะถูกลงโทษ แต่ก็ยังดีกว่าสร้างเรื่องวุ่นวายจนไม่สามารถเก็บกวาดได้
แต่พวกเขานั้นไม่เหมือนกัน
ไม่ต้องคิดก็รู้ว่า หลังจากกลับไปแล้วสิ่งที่รอพวกเขาอยู่นั้นคืออันใด
แต่คำสั่งของมั่วหลินก็เด็ดขาด เขาไม่สามารถฝ่าฝืนได้ จึงทำได้เพียงตอบรับ
“ขอรับ”
มั่วหลินกวาดสายตามอง จากนั้นเขาก็มองไปทางซานซานและคนอื่นๆ
“เถ้าแก่ซาน รบกวนเจ้าไปกับพวกเราด้วย”
เหตุการณ์ในครั้งนี้ส่วนใหญ่นั้นเกี่ยวข้องกับเถ้าแก่ซาน แน่นอนว่าอีกฝ่ายต้องกลับไปอธิบายเรื่องราวพร้อมกับพวกเขา
ซานซานรู้สึกรำคาญใจเป็นอย่างมาก แต่เขาก็รู้ว่าเขาจำเป็นต้องไป ดังนั้นเขาจึงพยักหน้าโดยไม่ได้ลังเล
“เป็นเรื่องสมควรแล้ว ทั้งหมดนี้เป็นเพราะข้ามีฝีมือไม่เพียงพอ ถึงได้…”
เขากล่าวโทษตัวเองอยู่สองสามประโยค เขาพูดไปพลางกระแอมไอไปพลาง
ในสายตาของคนผู้อื่น เขามีใบหน้าซีดขาว สามารถบรรยายได้ว่าซีดเซียว เพราะเมื่อครู่นี้ได้ทุ่มสุดแรง
มั่วหลินขมวดคิ้วขึ้นเป็นปม
“เถ้าแก่ซาน เจ้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่?”
ซานซานรีบส่ายหน้า
“แค่ก…แค่กๆ …ข้าไม่เป็นไร ก็แค่…แค่กๆ …เลือดลมไหลเวียนไม่สะดวก หลังจากกลับไปรักษาตัวสักพัก…ก็น่าจะไม่เป็นอันใดแล้ว”
ขณะที่พูดเขาก็เดินมาที่ข้างกายมั่วหลิน
“ใต้เท้ามั่วหลิน เช่นนั้น…เช่นนั้นพวกเราไปกันเถอะ?”
แต่มั่วหลินกลับไม่ขยับเขยื้อน สายตาของเขาหันมามอง พร้อมมองไปยังฉู่หลิวเยว่กับหรงซิวที่อยู่ไม่ไกล
หัวใจของซานซานกระตุกวูบ ในตอนนั้นเขาก็คิดอันใดขึ้นมาได้อย่างกะทันหัน จากนั้นก็หันไปแล้วตะโกนสั่งสองคนนั้นว่า
“ที่นี่ไม่มีเรื่องของพวกเจ้าแล้ว! พวกเจ้ากลับ…”
“เถ้าแก่ซาน”
ซานซานมีสีหน้าแข็งทื่อ
ในตอนที่เขากำลังอยู่ในสถานการณ์ลำบากใจ ฉู่หลิวเยว่เดินขึ้นมาหนึ่งก้าว จากนั้นก็พยักหน้า
เบาๆ
“เถ้าแก่ ในเมื่อใต้เท้ามั่วหลินพูดขึ้นเช่นนี้แล้ว ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ไปด้วยกันเถอะ”
มือที่กำแน่นทั้งสองข้างของซานซานก็คลายออก เหมือนว่าหัวใจของเขามีอันใดบางอย่างบีบรัดจนแน่น
เฮ้อ!
นายท่านยังไม่ทราบนิสัยของคนสำนักกระบี่ทมิฬเหล่านี้!
สำนักกระบี่เข้าง่าย หากอยากจะออก ยากเสียยิ่งกว่าอันใด!
แต่เมื่อเห็นมั่วหลินยืนหยัดหนักแน่นเช่นนี้แล้ว เขาไม่มีทางปล่อยพวกเราไปง่ายๆ แน่นอน
เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ สีหน้าตึงเครียด แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า
“สำนักกระบี่ทมิฬของพวกเขาไม่ใช่สถานที่ที่พวกเจ้าจะเข้าไปได้ง่ายๆ ! วันนี้ใต้เท้ามั่วหลินไว้หน้าของพวกเจ้าแล้ว! หลังจากที่ไปถึงแล้วเจ้าจะต้องติดตามข้าอย่างใกล้ชิด ระวังคำพูดและกิริยา! หลีกเลี่ยงการล่วงเกินใต้เท้าทุกท่าน! เข้าใจหรือไม่?”
เมื่อพูดจบเขาก็หันหน้าไปมองทางมั่วหลิน
“ใต้เท้า เช่นนั้นพวกเราก็ไปกันเถอะ? ข้าว่าเปลวเพลิงของที่แห่งนี้ลุกลามขึ้นอย่างรวดเร็ว พวกเราจะต้องรีบกลับไปแจ้งสถานการณ์ให้รองประมุขทราบโดยเร็วที่สุด!”
ในที่สุดประโยคนี้ก็ได้พูดแทงใจมั่วหลินแล้ว
เขาพยักหน้า จากนั้นก็มุ่งหน้าไปทางสำนักกระบี่ทมิฬด้วยความรวดเร็ว
ซานซานหันกลับไปขยิบตาให้แก่ฉู่หลิวเยว่และหรงซิว
ทั้งสามคนจึงรีบติดตามไปอย่างเร่งรีบ
…
จวนเยว่
สือฟังไปขุดดินที่สวนหลังบ้าน
น้องแปดไปที่คลังเก็บสมุนไพรของซานซาน
ส่วนสิบสาม หลังจากทะลวงด่านได้แล้ว เขาก็บำเพ็ญเพียรอยู่ภายในห้องของตนเองมาโดยตลอด ดังนั้นตอนนี้จึงไม่ได้อยู่ที่นี่
พรึ่บ!
อวี๋จิ่วออกกระบี่ไปหนึ่งกระบวนท่า คิ้วขมวดมุ่น จากนั้นเขาก็ถือกระบี่บุปผาเอาไว้ในมือ แล้วเก็บกระบี่ลง ก่อนจะหันไปมองทางประตูใหญ่
“พี่ห้า นี่มันป่านนี้แล้ว เหตุใดนายท่านถึงยังไม่กลับมา?”
อู่เหยาหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจออกมายาวๆ
“พี่สามบอกแล้วไม่ใช่หรือว่า วันนี้เขาจะพานายท่านและฝ่าบาทไปที่ผาธารใส พื้นที่มิติแห่งนั้นมีขนาดกว้างมาก หากอยากจะดูพื้นที่ทั้งหมดภายในนั้น เกรงว่าจะต้องใช้เวลาสักพัก คงไม่ได้กลับมาเร็วขนาดนั้นหรอกมั้ง?”
อวี๋จิ่วส่ายหน้า
“แต่ก็ไม่น่าจะนานขนาดนี้สิ…ไม่รู้ว่าเหตุใด ในใจของข้าจึงรู้สึกกระวนกระวายขึ้นมาตลอด”
อู่เหยาหัวเราะขึ้นมาหนึ่งเสียง
“นายท่านและฝ่าบาทไม่ได้มาที่ท่าเรือดอกท้อเป็นครั้งแรกนะ อีกทั้งยังมีซานซานอยู่ เจ้าจะกังวลอันใดกันเล่า?”
อวี๋จิ่วเม้มริมฝีปากแน่น
แน่นอนว่าเรื่องเหล่านี้เขาก็รู้
เพียงแต่ว่า…
ภายในใจของเขารู้สึกไม่ดีอยู่ตลอด เหมือนกับว่ามันจะมีอันใดบางอย่างเกิดขึ้น
“พี่ห้า ถ้าอย่างนั้นข้าขอไปดูหน่อยก็แล้วกัน?”
อู่เหยาลังเลไปครู่หนึ่ง
“เจ้ารู้หรือว่าผาธารใสเดินทางไปอย่างไร?”
ท่าเรือดอกท้อกว้างใหญ่ขนาดนี้ ต่อให้เขาจะรู้ทิศทางอย่างคร่าวๆ แต่เทือกเขาสลับซับซ้อน จะต้องเสียเวลาและแรงไปไม่น้อยอย่างแน่นอน
“ไม่ว่าอย่างใดหากมีนายท่านอยู่ ข้าก็น่าจะหาพวกเขาเจอได้โดยเร็ว…”
ขณะที่อวี๋จิ่วกำลังพูดขึ้น สายตาของเขาก็เห็นว่าเฉินอีกำลังเดินออกจากห้องมา เขาจึงรีบทำความเคารพในทันที
“พี่ใหญ่”
อู่เหยาเองก็หันกลับไปมอง
“พี่ใหญ่ เหตุใดท่านถึงออกมาล่ะ?”
เฉินอีไม่ได้ตอบคำถามของทั้งสองคน เขากำลังยืนอยู่ที่ชานระเบียงแล้วเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย สายตามองไปยังท้องฟ้าที่อยู่ในระยะไกล
ดวงตาหรี่ลงเล็กน้อยด้วยความไม่แยแสสนใจ เหมือนกับว่าเขากำลังครุ่นคิดอันใดบางอย่าง
การเคลื่อนไหวเมื่อครู่นี้นั้น…
“เจ้าไม่ต้องไปแล้ว”
เฉินอีพูดขึ้นอย่างกะทันหัน
อวี๋จิ่วชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นเขาก็ตระหนักขึ้นมาได้ว่าเขากำลังพูดถึงเรื่องอันใด
“พี่ใหญ่ นายท่านกำลังกลับมาแล้วหรือ?”
เฉินอีนิ่งเงียบอย่างครุ่นคิด
“…เกรงว่านางคงไม่สามารถกลับมาได้สักพัก”
ในตอนนั้นเอง ใบหน้าของอู่เหยาก็เปลี่ยนสีไปในทันที
หมายความว่าอย่างใดหรือ?
หรือว่านายท่านจะประสบปัญหาอันใดเข้า?
เฉินอีมองหน้าทั้งสองคนแล้วส่ายหน้า
“พวกเขายังต้องอยู่ที่นั่นก่อนชั่วคราว ทำทุกอย่างให้เป็นปกติก็พอ หากมีใครมาสอบถามอันใด ขอเพียงพวกเขายังไม่เข้ามา ก็อย่าเพิ่งลงมือง่ายๆ ข้าจะออกไปข้างนอกสักหน่อย”
เมื่อพูดจบ เขาก็ไม่รอให้ทั้งสองคนถามอันใดอีก เงาร่างของเขาหายไปจากตำแหน่งเดิมในทันที
อวี๋จิ่วและอู่เหยาหันมองหน้ากัน
“ดูจากท่าทางของพี่ใหญ่แล้ว…น่าจะมีเรื่องยุ่งยากเกิดขึ้นจริงๆ”
อู่เหยาเงียบไปครู่หนึ่ง
“วางใจเถอะ นายท่านไม่เป็นฝ่ายเสียเปรียบอย่างแน่นอน พวกเรารออยู่ที่นี่อย่างสบายใจเถอะ!”
…
สำนักกระบี่ทมิฬ
ฉู่หลิวเยว่เงยหน้าขึ้นมองเล็กน้อย นางมองอักษรสามตัวที่อยู่บนป้ายโลหะ
น้ำหนักพู่กันมีพลังซึ่งแฝงจิตสังหารและความน่าเกรงขาม!