ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1855 คาดเดา
ตอนที่ 1855 คาดเดา
………………..
“ยินดีต้อนรับใต้เท้ามั่วหลิน!”
ผู้คุ้มกันที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตูก็โค้งคำนับให้แก่มั่วหลินอย่างมีมารยาท
มั่วหลินไม่ได้หยุดฝีเท้าเลยแม้แต่น้อย เขาเพียงพยักหน้าด้วยสีหน้าเย็นชา จากนั้นก็เดินเข้าไปด้านในอย่างรวดเร็ว
ซานซานติดตามอยู่ด้านหลัง
อาจจะเป็นเพราะมีมั่วหลินอยู่ด้วย แม้ว่าผู้คุ้มกันเหล่านั้นจะตกใจเล็กน้อย แต่ก็รีบเก็บสีหน้าของตัวเองอย่างรวดเร็ว และก้มหน้าก้มตาลง
ซานซานกลืนน้ำลายตนเองด้วยความตื่นตระหนก
ช่วงเวลาปีสองปีที่ผ่านมานี้ แม้ว่าเขาจะติดต่อกับสำนักกระบี่ทมิฬมาโดยตลอด แต่น้อยครั้งมากที่จะได้เดินเข้าทางประตูใหญ่
ที่เขาเข้าไปครั้งนี้ เขายังไม่รู้เลยว่าจะต้องเผชิญหน้ากับลมพายุแบบใด และยิ่งไม่รู้ว่าจะได้ออกมาเมื่อไร…
เมื่อนึกถึงนายท่านที่อยู่ด้านหลัง หัวใจของเขาที่เคยเต้นกระหน่ำวุ่นวาย ก็เลยสงบสุขมากยิ่งขึ้น
เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นก็ยกสันเท้าขึ้น
ฉู่หลิวเยว่มองหน้าหรงซิว พวกเขาเดินตรงไปด้านหน้าอย่างไร้เสียง
…
ในตอนที่กำลังจะเดินก้าวข้ามธรณีประตู ฉู่หลิวเยว่ก็สามารถสัมผัสได้ถึงระลอกคลื่นบางอย่างที่เข้ามากระทบกับร่างของนางได้ในทันที
หัวใจของนางตึงเกร็ง คาดไม่ถึงว่าที่แห่งนี้จะมีม่านพลังโปร่งแสงด้วย!
แต่ประเด็นสำคัญเลยก็คือ ก่อนที่นางจะเข้ามาที่นี่ คาดไม่ถึงว่านางจะไม่สามารถสัมผัสได้เลยแม้แต่น้อย!
คนที่วางม่านพลังนี้จะต้องแข็งแกร่งอย่างมากแน่นอน
ฉู่หลิวเยว่เพิ่มความระมัดระวังต่อสำนักกระบี่ทมิฬอีกหลายส่วน
ความคิดเหล่านี้ปรากฏขึ้นมาภายในสมองของนางอย่างกะทันหัน แต่ว่าใบหน้าของนางไม่ได้เผยความผิดปกติออกไปเลยแม้แต่น้อย
ระหว่างทางนั้นนางก็ก้มศีรษะลงเล็กน้อย ทำตัวเหมือนกับเด็กรับใช้ที่ไม่ค่อยได้เจอโลกภายนอกมากนัก พร้อมติดตามซานซานอยู่ด้านหลังอย่างประหม่าและเงียบงัน
การที่ได้มาที่นี่ในวันนี้ถือว่าเป็นเรื่องบังเอิญ แต่ก็เป็นโอกาสที่หาได้ยากยิ่ง ซึ่งสามารถสืบข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับสำนักกระบี่ทมิฬได้พอดี!
เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้น เมฆดำปกคลุมทั่วทั้งท้องฟ้า ทัณฑ์สวรรค์จำนวนนับไม่ถ้วนผ่าลงมาอย่างต่อเนื่อง นางก็รู้สึกมาโดยตลอดว่าสำนักกระบี่ทมิฬแห่งนี้ผิดปกติ
“รองประมุขอยู่ที่ใด? ข้ามีเรื่องสำคัญต้องรายงาน”
ทันทีที่มั่วหลินเดินผ่านเข้าไปในประตูใหญ่ก็มีคนเข้ามาต้อนรับเขาในทันที
เมื่ออีกฝ่ายได้ยินคำพูดของมั่วหลิน และเห็นสีหน้าของมั่วหลิน คนผู้นั้นก็รู้แล้วว่าจะต้องมีเรื่องอันใดที่ร้ายแรงเกิดขึ้น เขาจึงรีบพูดขึ้นมาว่า
“ตอนนี้รองประมุขกำลังฝึกวิชากระบี่อยู่ที่สวนด้านหลัง เดี๋ยวข้าจะไปเรียก…”
“ไม่ต้อง ข้าไปเอง!”
มั่วหลินโบกมือไล่ จากนั้นก็มุ่งหน้าไปทางด้านหลังของเรือในทันที
เรื่องนี้เป็นเรื่องฉุกเฉิน ไม่มีเวลารอมากขนาดนั้น
“ใต้เท้ามั่วหลิน…คนเหล่านี้คือ?”
มีคนเข้ามาขวางทาง แต่เขาก็ไม่กล้าพูดอันใดมาก เพียงแต่ตอนที่เขาหันมองหน้าซานซานและคนอื่นๆ กลับมีสีหน้าลังเลปรากฏขึ้น
แน่นอนว่าเขารู้จักเถ้าแก่ซาน
เพียงแต่ว่า เมื่อวานนี้เขาเพิ่งเดินทางมาไม่ใช่หรือ?
อีกทั้ง…ทุกครั้งที่เขามาที่นี่ เขามักจะมาด้วยตัวคนเดียว ไม่เคยพาคนติดตามมาด้วยเลย
แล้วเหตุใดในวันนี้ถึงพาคนติดตามมาถึงสองคนแล้ว?
ไม่ใช่ว่าใต้เท้ามั่วหลินไม่รู้กฎ ถ้าเช่นนั้นหมายความว่า เขาต้องมีเหตุผลในการพาทั้งสองคนมาที่นี่อย่างแน่นอน…
มั่วหลินชะงักฝีเท้าไปชั่วคราว
“ให้พวกเขาเข้ามาด้วย!”
คนผู้นั้นลังเลไปเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ยังพยักหน้าเห็นด้วย
สวนด้านหลังของสำนักกระบี่ทมิฬ…แม้กระทั่งเขายังไม่เคยไปมาก่อน
หากครั้งนี้จะต้องไปจริงๆ ตัวเขาเองยังคงพูดอันใดได้บ้าง แต่นายท่านกับฝ่าบาท…
ซานซานกัดฟันกรอด มองแผ่นหลังของมั่วหลินที่ยืนอยู่ด้านหน้า ภายในใจก็ด่าบรรพบุรุษของอีกฝ่ายอีกครั้ง
เห็นได้ชัดว่ามั่วหลินผู้นี้ต้องการสร้างปัญหาให้แก่พวกเขา!
…
เมื่อเปรียบเทียบกับความตื่นตระหนกของซานซาน ท่าทางของฉู่หลิวเยว่นั้นดูดีกว่ามาก
ในตอนที่มั่วหลินพูดว่าพวกเขาต้องมาที่นี่ นางก็รู้แล้วว่าวันนี้จะต้องมีเรื่องยุ่งยากเกิดขึ้นมากแน่นอน
แต่พวกเขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว
คนกลุ่มนั้นจึงเดินไปที่สวนด้านหลังเรือนด้วยประการฉะนี้
พื้นที่ของสำนักกระบี่ทมิฬมีขนาดใหญ่กว่าจวนเยว่มาก และดูท่าทางร่ำรวยมากกว่า
แค่คนที่อาศัยอยู่ภายในนั้นมีจำนวนน้อยกว่าที่นางคาดเดาเอาไว้มากนัก
ทั่วทั้งเรือนว่างเปล่า
อย่างน้อยเส้นทางที่พวกเขาเดินผ่านก็เป็นเช่นนี้
ฉู่หลิวเยว่ลอบครุ่นคิดอยู่ภายในใจ
พวกเขาบอกว่าหนึ่งถึงสองปีที่ผ่านมาสำนักกระบี่ทมิฬขยายอำนาจอยู่ตลอด กองกำลังแข็งแกร่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตามหลักการแล้วภายในสถานที่แห่งนี้จะต้องมีคนจำนวนมากสิถึงจะถูก
แต่จากสิ่งที่พวกเขาเห็นนั้น เหมือนว่าจะไม่ได้เป็นแบบนั้นเลย
ยิ่งเดินทางเข้าไปลึกมากเท่าไร นางก็สัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่ตึงเครียดมากขึ้นเท่านั้น
แม้กระทั่งมั่วหลินก็ยังมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาก
ในที่สุดแล้วหลังจากเดินผ่านมาสักพักพวกเขาก็เดินมาถึงประตูใหญ่ของจวนด้านหลังแล้ว
มั่วหลินกำลังจะเดินเข้าไป แต่ทันใดนั้นก็มีคนหนึ่งเดินออกมา
ด้านหลังของเขามีผู้ติดตามมาอีกสองสามคน
ซานซานไม่ได้คุกเข่าลง
ในที่แห่งนี้เขามีสถานะพิเศษ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้
แต่เมื่อเห็นบุคคลผู้นี้มาถึง ท่าทางของเขาก็กระตือรือร้นขึ้นมาในทันที
ฉู่หลิวเยว่รีบกวาดสายตามองอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็หลุบตาลงต่ำ
ดังนั้นนางจึงเห็นเพียงเงาร่างสีดำ ส่วนใบหน้านั้นยังไม่ทันได้มอง
แต่นางรู้ดีว่าคนผู้นี้…คือรองผู้นำของสำนักกระบี่ทมิฬ…มั่วอวิ๋น!
เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้แข็งแกร่งเช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นการเคลื่อนไหวเล็กน้อยขนาดไหนก็อาจจะสามารถเปิดเผยตัวตนของตนเองได้
ดังนั้นนางจึงต้องระมัดระวังเป็นอย่างมาก
หรงซิวที่อยู่ด้านข้างก็คิดอย่างนางเช่นกัน
ทั้งสองคนยืนอยู่ด้านหลัง แทบจะไม่ทิ้งการมีตัวตนของตนเองเลย
ฉู่หลิวเยว่ก็คำนับพร้อมกันด้วย จากนั้นก็ก้มหน้าจ้องที่ปลายเท้าของตนเอง
นางได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้น
“มั่วหลิน? เหตุใดเจ้าถึงรีบมาที่นี่อย่างหุนหันพลันแล่นล่ะ?”
เขาไม่ได้โกรธแต่แรงกดดันแผ่กระจายออกมา ต่อให้เป็นลูกน้องคนสนิท น้ำเสียงของเขาก็ราบเรียบ ลมปราณเย็นชา
มั่วหลินคุกเข่าแล้วกล่าวขอโทษ
“รองประมุข มั่วหลินมีความผิด! โปรดจงลงโทษข้าน้อยด้วย!”
มั่วอวิ๋นมีสีหน้าเย็นชาขึ้นหลายส่วน
“นี่พวกเจ้า…เพิ่งกลับมาจากยอดเขาหลานชิงอย่างนั้นหรือ?”
ทันใดนั้นฉู่หลิวเยว่ก็รู้สึกประหลาดใจขึ้นเล็กน้อย
ฟังจากคำพูดของพวกเขาก่อนหน้านี้ เหมือนว่ามั่วอวิ๋นจะไม่ได้รับรู้ถึงเหตุการณ์เหล่านั้นเลย
ตอนนี้มั่วหลินยังไม่ทันได้พูดอันใด แต่เหตุใดเขาถึงคาดเดาได้ว่าเรื่องนี้จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับยอดเขาหลานชิง?
………………..