ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1857 จับตามอง
ตอนที่ 1857 จับตามอง
………………..
ซานซานหน้าเปลี่ยนสี
สิ่งที่เรียกว่ายาสลายลมปราณเป็นโอสถที่มีพิษร้ายแรง
หลังจากที่กินโอสถชนิดนี้ลงไปแล้ว จะไม่ได้เป็นอันตรายร้ายแรงถึงชีวิต แต่ผู้บำเพ็ญเพียรไม่สามารถทำบำเพ็ญเพียรต่อไปได้แล้ว เขาจะติดอยู่ในระดับปัจจุบันนี้ไปตลอดชีวิต
สำหรับผู้บำเพ็ญเพียรแล้ว นี่มันทุกข์ทรมานยิ่งกว่าการตายเสียอีก
อีกทั้งแต่ละเดือนยาสลายลมปราณจะกระจายพิษหนึ่งครั้ง ในตอนที่กระจายพิษนั้น ทั่วทั้งร่างกายจะเจ็บปวด อยู่ไม่สู้ตาย
ขอเพียงแค่ต้องทานยาถอนพิษให้ทันเวลา จากนั้นความเจ็บปวดถึงได้บรรเทาลงไป
แต่สิ่งที่เรียกว่ายาถอนพิษนี้ กลับไม่สามารถล้างพิษที่อยู่ภายในนั้นได้จนหมดสิ้น
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ หากทานยาสลายลมปราณนี้ลงไปแล้ว ก็จะไม่สามารถหาทางรักษาได้ตลอดชีวิต
แม้ว่าจะไม่ได้สังหารพวกเขา แต่ก็เป็นวิธีที่เขาได้รับการทรมานในระยะยาว
“รองประมุข เกรงว่าวิธีเช่นนี้คงจะไม่เหมาะสมกระมัง? โอสถสลายลมปราณนี้…”
เขายังพูดไม่ทันจบ มั่วอวิ๋นก็ขมวดคิ้วขึ้นด้วยความเย็นชา
“เถ้าแก่ซาน ข้าไว้หน้าเจ้าแล้ว เจ้าอย่าทำตัวได้คืบจะเอาศอก ไม่ว่าเรื่องใด…นั่นก็ทำเพื่อตัวของเจ้าเองนะ”
ซานซานตัวสั่นงันงก
ฉู่หลิวเยว่พูดขึ้นมาอย่างกะทันหันว่า
“ข้ายินดีที่จะกินโอสถสลายลมปราณเจ้าค่ะ”
ซานซานรีบหันมองหน้านายท่านของตนเอง
“เจ้า เจ้าแน่ใจหรือ?”
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้า
ก็แค่…โอสถสลายลมปราณเอง
มั่วอวิ๋นหยิบขวดหยกขวดหนึ่งออกมา จากนั้นก็โยนมาให้เขา
ซานซานรีบรับเอาไว้ เมื่อเปิดดูแล้วด้านในมีโอสถสลายวิญญาณอยู่สองเม็ดจริงๆ
เขาลังเลไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ส่งขวดนั้นให้แก่ฉู่หลิวเยว่
ฉู่หลิวเยว่เทโอสถออกมาอย่างไม่ลังเล นางกินเองหนึ่งเม็ด อีกหนึ่งเม็ดก็มอบให้แก่หรงซิว
หรงซิวมองไปทางมือขาวที่ยื่นโอสถมาให้เขา อีกทั้งยังมีโอสถสลายวิญญาณเม็ดสีเขียวนอนอยู่กลางฝ่ามือด้วย จากนั้นหรงซิวก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
เขาไม่รู้จริงๆ ว่าหัวใจของภรรยาตนเองจะยิ่งใหญ่มากเท่าใด อีกทั้งยังเชื่อมั่นในตัวเขามากเกินไปด้วย อย่างยาพิษเม็ดนี้ บอกว่าจะกิน ก็กินอย่างง่ายดายเช่นนั้นเลย…
ริมฝีปากของเขานั้นโค้งขึ้นเล็กน้อยจนไม่สามารถจับสังเกตเห็นได้
ทั้งสองคนกลืนโอสถสลายวิญญาณลงไปแล้ว จากนั้นซานซานก็หันมามองทางมั่วอวิ๋น
“รองประมุข…เรียบร้อยแล้วใช่หรือไม่ขอรับ?”
มั่วอวิ๋นจึงพยักหน้าขึ้นลง
เขาไม่สามารถสังหารซานซานได้
ในเมื่อเขาต้องการจะปกป้องเด็กรับใช้ทั้งสองคน เช่นนั้นก็เก็บพวกเขาเอาไว้ก่อนชั่วคราว
เขาเชื่อว่าอีกฝ่ายไม่กล้าแพร่งพรายเรื่องเหล่านี้ออกไปอย่างแน่นอน
“เอาล่ะ ในเมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว มั่วหลิน เจ้าตามข้ามา”
มั่วอวิ๋นพูดขึ้นจากนั้นก็วางแผนว่าจะไปที่ยอดเขาหลานชิงด้วยตนเองอีกครั้งหนึ่ง
ซานซานเห็นว่าอีกฝ่ายไม่อยากให้เขาติดตามไปอีกแล้ว ดังนั้นจึงถามขึ้นอย่างลังเลว่า
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ถ้าอย่างนั้น…พวกเราก็ขอตัวกลับก่อนนะขอรับ ไม่รบกวนพวกท่านแล้ว…”
มั่วอวิ๋นพูดขึ้นเสียงเรียบ
“รีบร้อนเหตุใดล่ะ เถ้าแก่ซานครั้งนี้เจ้าช่วยพวกเราถึงได้รับบาดเจ็บขึ้นมา ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็พักรักษาตัวที่นี่สักสองวันเถอะ รอจนร่างกายหายดีแล้วค่อยกลับไปก็ยังไม่สาย อีกทั้งยังมีเด็กรับใช้สองคน พวกเขาจะได้ดูแลเจ้าได้พอดีเลย”
มั่วหลินลุกขึ้นยืน แล้วเช็ดคราบเลือดที่อยู่มุมปาก และรีบติดตามไปอย่างรวดเร็ว
“คือว่า…”
เมื่อเห็นว่าเงาร่างของเขานั้น ซานซานก็กลืนคำพูดที่เหลือลงคอ
เกรงว่าครั้งนี้เขาจะต้องอยู่ในที่แห่งนี้อีกสองสามวันแล้ว จนกว่าปัญหาที่ยอดเขาหลานชิงจะได้รับการจัดการ
เรื่องนี้พูดน่ะมันง่าย แต่กลับทำได้ยากยิ่งนัก!
จากสถานการณ์ที่เขาเคยเห็นมาก่อนหน้านี้แล้ว ต่อให้มั่วอวิ๋นไปด้วยตนเองก็ไม่อาจจะจัดการมันได้อย่างแน่นอน!
หลังจากนั้นไม่นานก็มีคนเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว
“เถ้าแก่ซาน เชิญขอรับ…”
ซานซานจนปัญญา ทำได้แต่เดินตามไป
“พวกเราไปกันเถอะ”
…
ซานซานถูกจัดให้อยู่เรือนไม่ไกลจากมั่วอวิ๋นมากนัก
ส่วนหรงซิวและฉู่หลิวเยว่ก็ถูกขังอยู่ที่นี่
พื้นที่เรือนมีขนาดไม่ใหญ่ แต่ด้านนอกมีคนคุ้มกัน อีกทั้งยังมีคนลาดตระเวนมาที่นี่ในบางครั้งด้วย
อีกฝ่ายปฏิบัติกับเขาราวกับเป็นนักโทษ
ภายในห้องนั้น ซานซานฟังเสียงความเคลื่อนไหวจากด้านนอก แล้วถอนหายใจออกมา
“พวกเขาน่าจะกักบริเวณเราเอาไว้ในนี้…”
ขณะที่พูดเขาก็เงยหน้าไปมองหรงซิวและฉู่หลิวเยว่
“นายท่าน ฝ่าบาท พวกเราควรจะทำอย่างใดดี?”
ตอนที่เข้ามาด้านในนี้ เขาได้วางม่านพลังเอาไว้แล้ว ดังนั้นเขาจึงมั่นใจว่าคนด้านนอกจะไม่ได้ยินเสียงของพวกเขาแน่นอน เขาจึงกล้าพูดเช่นนี้ออกไป
ซานซานมีใบหน้าขื่นขม
“นายท่าน ท่านเลิกเอาข้าไปหยอกล้อได้แล้ว! ตอนนี้ข้ามีแก่ใจจะคิดถึงเรื่องนี้ที่ไหนกันเล่า!”
จวนเยว่ไม่สามารถเปรียบเทียบกับที่นี่ได้ นั่นเป็นเพราะเขาไม่กล้าเปรียบต่างหาก!
ตอนนี้สำนักกระบี่ทมิฬมีอำนาจมากมายขนาดนั้น ต่อให้เขาเป็นคนโง่มากกว่านี้ แต่เขาก็รู้ว่าเมื่อใดที่ควรจะต้องทำตัวถ่อมตนติดดิน
แล้วอีกอย่างต่อให้ตอนนี้มีภูเขาเงินภูเขาทองมากองอยู่ตรงหน้าเขา เขาก็ไม่รู้สึกดีใจหรอก…ชีวิตของเขากำลังแขวนอยู่บนเส้นด้ายนะ!
“เมื่อครู่นี้ท่านเพิ่งกินโอสถสลายวิญญาณไป ท่านไม่ตื่นเต้นร้อนรนหน่อยหรือ? และฝ่าบาทก็ยัง…”
ซานซานรู้สึกผิดเป็นอย่างมาก
“ต้องโทษที่ข้าไม่มีประโยชน์…”
“ไม่เป็นไร”
ฉู่หลิวเยว่ส่ายหน้าอย่างไม่ใส่ใจ ริมฝีปากโค้งขึ้นเล็กน้อย
เมื่อเปรียบเทียบกับยาพิษที่นางเคยกินไปแล้ว นางไม่จำเป็นต้องกังวลกับพิษของโอสถสลายวิญญาณนี้เลยด้วยซ้ำ
ส่วนหรงซิวนั้น…ทั้งความแข็งแกร่งและไพ่ไม้ตายที่เขามีอยู่แข็งแกร่งกว่านางแน่นอน ดังนั้นจึงไม่มีอันใดต้องกังวล
เมื่อสังเกตเห็นสีหน้าของนาง หรงซิวก็หัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้
“เยว่เออร์เจ้าไม่เป็นห่วงสามีของตนเองเลยหรือไร…”
ฉู่หลิวเยว่กะพริบตาปริบๆ
“หากแม้กระทั่งเรื่องแค่นี้ยังไม่สามารถจัดการได้ เช่นนั้นก็เกินไปแล้ว”
ผู้ชายของนาง นางรู้จักดีที่สุด
หรงซิวได้ยินดังนั้นก็ครุ่นคิดอยู่สักพัก จากนั้นก็รู้สึกว่าสิ่งที่นางพูดมานั้นมีเหตุผล
เขาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะเอนตัวพิงเก้าอี้ ใบหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม
“หากอยากจะทำให้เยว่เออร์เป็นทุกข์นั้นเป็นเรื่องที่ยากอย่างมาก”
ซานซานที่ถูกเมิน “…”
นี่มันเวลาไหนกันแล้ว แต่พวกท่านทั้งสองคนก็ยังเกี้ยวพาราสีกันอยู่เลย?
รบกวนท่านช่วยเห็นใจคนที่กังวลแทนพวกท่านมาตลอดทั้งทางด้วยเถอะ!
เมื่อเห็นใบหน้าคับแค้นใจของซานซาน ในที่สุดฉู่หลิวเยว่ก็พูดปลอบใจเขาอย่างเห็นอกเห็นใจหนึ่งประโยค
“รีบร้อนเหตุใดเล่า เจ้าคือขุมทรัพย์ของสำนักกระบี่ทมิฬนะ พวกเขาไม่ทำอันใดเจ้าอย่างแน่นอน”
ซานซานพูดขึ้นด้วยเสียงมืดครึ้มว่า
“ข้าเป็นห่วงท่านกับฝ่าบาทต่างหาก!”
ฉู่หลิวเยว่เหลือบสายตามองเขา
“เป็นห่วงพวกข้าหรือ? ซานซาน เจ้าไม่คิดหรือว่านี่เป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นเลย?”
ซานซานแทบจะหายใจไม่ออก
ฉู่หลิวเยว่กล่าวด้วยรอยยิ้ม
“วางใจเถอะ ตอนที่พวกเรามาที่นี่ยังไม่มีเงาของสำนักกระบี่ทมิฬเลย พวกเราจะหวาดกลัวต่อการต่อสู้เล็กน้อยของพวกเขาได้อย่างใด?”
เมื่อได้ยินนางพูดเช่นนั้น ในที่สุดซานซานก็วางใจลงได้ แต่เขาก็ยังรู้สึกตื่นตระหนกอยู่เล็กน้อย
“แต่ว่า…นายท่านตอนนี้ไม่ใช่เมื่อหลายปีก่อนหน้านี้แล้วนะ…การเคลื่อนไหวทุกอย่างล้วนอยู่ใต้จมูกของเขา…”
“เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ตอนนี้พวกเราก็น่าจะอยู่ใต้ตาของพวกเขาไม่ใช่หรือ?”
ฉู่หลิวเยว่เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยแล้วหัวเราะเบาๆ เป็นการขัดจังหวะคำพูดของเขา
ซานซานชะงักไปเล็กน้อย
“ท่านหมายความว่า…”
“ข้าไม่ได้หมายถึงอันใด รอให้พวกเขากลับมาจากยอดเขาหลานชิงก่อน ค่อยว่ากันก็ยังไม่สาย”
ฉู่หลิวเยว่ลูบคางของตนเอง
“ยอดเขาหลานชิง…พวกเขาจับตามองไว้ตั้งนานแล้วหรือ?”