ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1859 ไร้เทียมทาน
ตอนที่ 1859 ไร้เทียมทาน
………………..
เมื่อคำพูดนั้นหลุดออกไป เสียงกระซิบกระซาบวุ่นวายก็จางหายไปในทันที
ทุกคนหันกลับไปมองด้วยสีหน้าตื่นตระหนก ในแววตามีความหวาดระแวงและหวาดกลัวในระดับที่แตกต่างกัน
ชื่อของมั่วอวิ๋นเป็นที่เลื่องลือมากในท่าเรือดอกท้อแห่งนี้
ต่อให้คนที่ไม่ชอบสำนักกระบี่ทมิฬ แต่เมื่อเห็นมั่วอวิ๋นก็ยังมีความรู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อย
ท้ายที่สุดแล้วเขาก็แข็งแกร่งมาก
เมื่อเห็นมั่วอวิ๋น หัวใจของคนจำนวนไม่น้อยก็เต้นโครมครามขึ้นมา
แม้ว่าปกติแล้วมั่วอวิ๋นจะจัดการเรื่องน้อยใหญ่ภายในสำนักกระบี่ทมิฬ แต่เขาก็ไม่ค่อยได้เปิดเผยตัวต่อสาธารณชน
แต่ตอนนี้เขากลับมาที่นี่อย่างกะทันหัน ดังนั้นไม่ต้องพูดพวกเขาก็เข้าใจกันเป็นอย่างดี
ความเงียบเข้าปกคลุม
บรรยากาศตึงเครียด
มั่วอวิ๋นสาวเท้าไปด้านหน้าด้วยใบหน้าเย็นชา
เขามองสถานการณ์ภายในยอดเขาหลานชิงอยู่ครู่หนึ่ง
ภูเขาส่วนบนครึ่งหนึ่งถูกแนวเพลิงเส้นหนึ่งขวางกั้นอยู่
เปลวเพลิงสีน้ำเงินพวยพุ่งออกมาจากก้อนหินที่แตกร้าว พร้อมกระโดดโลดเต้นขึ้นมาอย่างมีความสุข
อุณหภูมิรอบข้างเหมือนจะสูงขึ้นกว่าเดิมไม่น้อย
หัวใจของมั่วอวิ๋นกระตุกวูบ
สถานการณ์นี้ร้ายแรงกว่าที่เขาคิดเอาไว้มาก
อีกทั้ง…เปลวเพลิงเหล่านั้นก็ยังลุกลามขึ้นอย่างต่อเนื่อง!
แม้ว่าความเร็วจะไม่นับว่าสูง แต่หากไม่รีบดับมัน เกรงว่าผลลัพธ์จะต้องน่าหวาดกลัวกว่าที่จินตนาการได้แน่นอน!
เมื่อทุกคนเห็นดังนั้นก็รู้ว่าเขากำลังจะลงมือแล้ว ดังนั้นจึงถอยหลังลงไปด้วยความระมัดระวัง
ในขณะเดียวกัน การเคลื่อนไหวของมั่วอวิ๋นก็เป็นไปตามการคาดเดาของพวกเขา
…เปลวเพลิงเหล่านั้นที่อยู่บนยอดเขาหลานชิง มีส่วนเกี่ยวข้องกับสำนักกระบี่ทมิฬจริงๆ ด้วย!
หากด้านล่างซ่อนของวิเศษอันใดเอาไว้จริงๆ …เกรงว่าสำนักกระบี่ทมิฬจะต้องยึดเป็นของตนเองแล้วแน่นอน!
เรื่องนี้ต้องทำให้คนหลายคนไม่พอใจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“สำนักกระบี่ทมิฬนี่เผด็จการจริงๆ เพิ่งจะมาถึง แต่ไม่ทันได้พูดอันใดสักคำก็ลงมือเสียแล้ว…ดูจากท่าทางของเขา หากคนที่ไม่รู้จะคิดว่าที่แห่งนี้เป็นฐานที่มั่นของสำนักกระบี่ทมิฬไปแล้วนะเนี่ย!”
“ชู่ว! เบาเสียงหน่อย! ระวังหายนะจะออกมาจากปากของเจ้า!”
“แค่พูดมันจะเป็นอันใดไป? วันนี้มีคนมาที่นี่ตั้งมากมาย พวกเขาต่างก็เห็นอย่างชัดเจน! หรือว่าพวกเขาจะสามารถปิดตา ปิดปากคนเหล่านี้ทั้งหมดได้อย่างนั้นหรือ?”
“…แต่พูดไปแล้วมันก็ไม่มีประโยชน์อันใด ตอนนี้ท่าเรือดอกท้อทั้งหมด แทบจะเป็นพื้นที่ของสำนักกระบี่ทมิฬแล้วไม่ใช่หรือ…แต่ว่า พวกเรามาดูก่อนเถอะว่ามั่วอวิ๋นจะสามารถจัดการกับเปลวเพลิงเหล่านั้นได้หรือไม่ แล้วค่อยว่ากันอีกที…”
…
เสี้ยววินาทีต่อมา มั่วอวิ๋นก็ชักกระบี่หงส์ออกมาทันที พลังปราณดั้งเดิมอันทรงพลังหลั่งไหลเข้ามาภายใน!
ในตอนนั้นเสียงกระบี่ก็คำรามขึ้น! พร้อมแผ่กระจายทั่วฟ้าดิน!
ครืน!
ลำแสงกระบี่สายหนึ่งฟันลงมาอย่างรุนแรง!
กลางอากาศมีรอยแตกร้าวของมิติสีดำปรากฏเป็นรอยยาว!
พลังอันบ้าคลั่งพวยพุ่งออกมา!
เสียงลมพายุดังขึ้น!
ต้นไม้บนยอดเขาหลานชิงถูกปราณกระบี่กวาดทำลายจนล้มระเนระนาดเป็นพื้นที่ขนาดใหญ่!
ภายในเวลาชั่วพริบตา พลังอันแหลมคมและน่าหวาดกลัว ก็ผ่าลงตรงไหล่เขานั้น!
โครม!
เปลวเพลิงที่ลุกโชนกลุ่มหนึ่งปะทะกับปราณกระบี่อย่างรุนแรง!
ในตอนนั้นเองประกายเพลิงก็กระจายออกไปทั้งสี่ด้าน
พลังที่เหลืออยู่น่าหวาดกลัวและร้อนระอุเป็นอย่างมาก จากนั้นก็แผ่ขยายออกไปโดยรอบ!
ภายในพริบตาเดียว ป่าบนภูเขาครึ่งลูกนั้นก็ปกคลุมด้วยเปลวเพลิงนี้!
หัวใจของมั่วอวิ๋นจมดิ่ง
…พลังของเขานั้นไม่สามารถระงับเปลวเพลิงเหล่านี้ได้จริงๆ!
เมื่อทุกคนที่อยู่รอบข้างเห็นสถานการณ์ดังนั้น แต่ละคนก็แสดงสีหน้าแตกต่างกันออกไป
แม้กระทั่งมั่วอวิ๋นก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเปลวเพลิงเหล่านี้?
หากจะปล่อยให้เปลวเพลิงเหล่านี้ลุกลามต่อไป…เกรงว่ามันจะต้องอันตรายแล้ว!
…
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า
ภายในห้องนั้นปกคลุมด้วยความเงียบเชียบ
ฉู่หลิวเยว่กำลังหลับตาลงทำสมาธิ หรงซิวกำลังนั่งอ่านหนังสือ ทั้งสองคนมีสีหน้าสงบและราบเรียบ
ราวกับว่ากำลังพักผ่อนอยู่ในบ้านของตนเองอย่างใดอย่างนั้น
แต่ในทางกลับกัน ซานซานกลับอยู่ไม่สุข จิตใจไม่สงบสุข มือเท้าอยู่ไม่นิ่ง เขาเดินไปเดินมาภายในห้องอยู่ตลอดเวลา บางครั้งเขาก็ยังชะเง้อหน้าออกไปที่ด้านนอกด้วย
แน่นอนว่าประตูและหน้าต่างของสถานที่แห่งนี้กำลังปิดอยู่ ดังนั้นเขาที่อยู่ภายใน จึงมองไม่เห็นอันใดทั้งสิ้น
อย่างมากที่สุดก็ได้ยินเสียงพูดคุยจากด้านนอกมาบ้าง
เพียงแต่ท้องฟ้ากำลังจะกลายเป็นสีดำ ตั้งแต่ที่พวกเขาเข้ามาที่นี่มันก็ผ่านมาเป็นระยะเวลานานแล้ว ด้านนอกกับไม่มีความเคลื่อนไหวเลยแม้แต่น้อย
ซานซานรู้สึกเป็นกังวลอย่างมาก
“นายท่าน เท้าของข้าไม่เหนื่อย แต่ข้าเหนื่อยใจมาก! ท่านว่าพวกเขาเดินทางออกไปนานขนาดนี้แล้ว พวกเขาก็น่าจะกลับมาได้แล้วกระมัง แล้วเหตุใดตอนนี้ถึงยังไม่ได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวอันใดเลยล่ะ?”
ฉู่หลิวเยว่เหลือบสายตามองเขาอย่างหมดคำพูด
“ต่อให้พวกเขากลับมาแล้ว พวกเราก็อาจจะไม่ได้ยินเสียง เจ้าจะร้อนรนไปเหตุใดกัน”
“ไม่ใช่ ข้าหมายความว่า หลังจากมั่วอวิ๋นกลับมาจากยอดเขาหลานชิงแล้ว ก็น่าจะมาหาพวกเราบ้างไม่ใช่หรือ? อย่างเช่น ให้ใครบางคนมาถามเรื่องอันใดบางอย่าง…”
หรืออาจจะเป็นเรื่องอย่างการปล่อยพวกเราออกไป แต่ว่าเรื่องนี้เขาก็ไม่กล้าคิด
แต่นี่เขากลับไม่มีปฏิกิริยาอันใดเลย ดังนั้นเขาจึงรู้สึกระแวงเป็นอย่างมาก เมื่อเขารู้สึกเช่นนี้มักจะมีอันใดเกิดขึ้นมาอยู่เสมอ
“ท่านคิดว่าปัญหาทางยอดเขาหลานชิงนั้น ตอนนี้พวกเขาจะจัดการได้หรือไม่?”
ฉู่หลิวเยว่หัวเราะออกมาหนึ่งเสียง
“หากจัดการได้แล้ว แต่พวกเขาก็ไม่อยากจะป่าวประกาศเรื่องนี้ออกไป การที่เขาจะกักขังพวกเราเอาไว้ที่นี่เป็นระยะเวลาสองสามวันก็เป็นเรื่องปกติแล้ว แต่หากยังจัดการไม่ได้…แน่นอนว่าพวกเขาก็จะไม่สนใจใยดีพวกเราอีกต่อไป”
ซานซานลูบใบหน้าของตนเอง
คำพูดของนายท่าน ไม่ต่างอันใดจากการไม่ได้พูดเลย
“เจ้าจะกังวลไปก็ไม่มีประโยชน์ หากมีเวลาแล้ว สู้เอามาฝึกฝนไม่ดีกว่าหรือ”
ฉู่หลิวเยว่เชิดคางขึ้นเล็กน้อย
“หากฝีมือของเจ้าแข็งแกร่งมากพอ ไม่แน่ว่าวันนี้เจ้าอาจจะสามารถจัดการเปลวเพลิงเหล่านั้นได้ก็ได้”
ไม่พูดเรื่องนี้ก็ไม่เป็นไร แต่เมื่อพูดขึ้นซานซานก็ยิ่งรู้สึกเสียใจกว่าเดิม
เขาคิดอยู่เสมอว่าระดับพลังของเขาในตอนนี้ก็เพียงพอแล้ว เหตุใดต้องฝึกฝนอย่างหนักด้วยล่ะ?
แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้กลับตบหน้าเขาอย่างแรง
แม้กระทั่งนายท่านของตนเองก็แทบจะไม่สามารถปกป้องได้แล้ว เรื่องนี้เขาควรจะไตร่ตรองอีกครั้งจริงๆ!
“สิ่งที่นายท่านพูดก็ถูกต้อง”
ซานซานตอบรับอย่างเกียจคร้าน
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้าอย่างพึงพอใจ
เดิมทีแล้วซานซานก็มีพรสวรรค์ไม่เลวเลย หากทุ่มเทอีกสักหน่อย เขาไม่มีทางด้อยไปกว่าผู้พิทักษ์สิบสามเยว่คนอื่นเลย
นางทอดสายตาออกไปด้านนอก
ตอนนี้ท้องฟ้ากลายเป็นสีดำแล้ว
แต่นางยังไม่สามารถออกไปได้ เกรงว่าคนในจวนเยว่จะเป็นกังวลกันแล้ว…
ตอนที่ฉู่หลิวเยว่กำลังคิดว่าจะส่งข้อความกลับไปอย่างใดดี ทันใดนั้นก็มีระลอกคลื่นปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่า!
จากนั้นเงาร่างสีเขียวก็เดินออกมาจากกลางระลอกคลื่นนั้น!
………………..