ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1860 ความลับของโล่
ตอนที่ 1860 ความลับของโล่
………………..
คนที่มานั้นก็คือเฉินอี!
“คารวะนายท่าน”
เฉินอีโค้งศีรษะคำนับ
ฉู่หลิวเยว่มองหน้าเขาด้วยความประหลาดใจ
“เฉินอี? เจ้า…เจ้าเข้ามาที่นี่ได้อย่างใด?”
สำนักกระบี่ทมิฬมีการคุ้มกันที่เข้มงวด อีกทั้งยังมีผู้คุ้มกันมากมาย หากต้องการจะเข้ามาด้านในอย่างไร้สุ้มไร้เสียง มันยากลำบากเสียกว่าการขึ้นสวรรค์เสียอีก
แต่สิ่งที่ทำให้ฉู่หลิวเยว่รู้สึกหวาดกลัวก็คือ ทั่วทั้งสำนักกระบี่ทมิฬนั้นมีม่านพลังโปร่งแสงครอบคลุมเอาไว้อยู่
แม้กระทั่งนางยังไม่กล้ารับประกันว่าตนเองจะสามารถบุกเข้ามาได้โดยไม่ทำให้ดึงดูดความสนใจ
ใดๆ แต่เฉินอีกลับปรากฏตัวขึ้นมาอย่างกะทันหันเช่นนี้!
“ข้าใช้เล่ห์กลเล็กน้อย”
เฉินอีพูดขึ้นเสียงเรียบ
หลังจากรู้เรื่องราวเหล่านี้แล้ว เขาก็มุ่งหน้ามาที่สำนักกระบี่ทมิฬทันที
เพียงแต่ว่าการที่จะเข้ามาในสำนักกระบี่ทมิฬเป็นเรื่องยากมาก
เขาระมัดระวังและรอบคอบมาโดยตลอด โดยเฉพาะเวลาเช่นนี้ เขาได้ทดลองใช้วิธีมากมาย
หลังจากที่เขาเสียเวลาและพละกำลังมาไม่น้อย ในที่สุดเขาก็สามารถเข้ามาที่นี่ได้
ซานซานยกนิ้วโป้งให้ด้วยความตื่นตะลึง
“พี่ใหญ่! สมแล้วที่เป็นเจ้า!”
เขาอยู่ภายในท่าเรือดอกท้อมานานขนาดนี้ และยังเคยเข้าออกสำนักกระบี่ทมิฬมาหลายครั้ง แต่เมื่อมาถึงจุดนี้ เขาก็ไม่กล้าบุกเข้ามาภายใน แต่คาดไม่ถึงว่าพี่ใหญ่จะเข้ามาได้อย่างง่ายดายเช่นนี้!
สายตาของหรงซิวหันมามองเขาเล็กน้อยด้วยความราบเรียบ ริมฝีปากแดงยกยิ้มขึ้น ก่อนจะหันไปมองทางฉู่หลิวเยว่
“ลูกน้องของเจ้าแข็งแกร่งจริงๆ”
ฉู่หลิวเยว่หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก
นางเองก็ไม่รู้ว่าเฉินอีมีความสามารถถึงขนาดนี้…
แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาถามเรื่องนั้นแล้ว
“เฉินอี เจ้าบุกมาอย่างหุนหันพลันแล่นเช่นนี้ มันอันตรายมากนะ”
ไม่มีใครรู้ว่าภายในสำนักกระบี่ทมิฬนั้นยังมีอันตรายอื่นใดที่ซ่อนอยู่อีก หากพวกเขาพบตัวเฉินอีเข้า…
“นายท่านวางใจได้เลย ข้ามาที่นี่เพื่อมายืนยันความปลอดภัยของท่านและฝ่าบาท นอกจากนี้จะขอแจ้งสถานการณ์ภายนอกให้ท่านทราบ และข้าจะไม่อยู่ที่นี่อีก”
การที่เขาจะเข้ามาที่นี่ได้นั้นก็ต้องใช้ความพยายามอย่างมาก
หากเขาอยู่ที่นี่เป็นเวลานานเกินไป เขาก็ไม่กล้ารับประกันความปลอดภัยของตนเอง
ฉู่หลิวเยว่เห็นว่าเขาวางแผนเช่นนี้ก็เบาใจ
“พวกเราไม่เป็นไร เพียงแค่ถูกมั่วอวิ๋นคุมขังเอาไว้ที่นี่ชั่วคราว ภายในระยะเวลานี้ เขาไม่มีทางทำอันใดพวกเราแน่นอน”
เพียงแต่ถ้าอยากจะออกไปนั้น เกรงว่าจะเป็นเรื่องยากเล็กน้อย
“พี่ใหญ่ ที่ท่านบอกว่าสถานการณ์ภายนอก? ตอนนี้ด้านนอกเป็นอย่างใดหรือ?”
ซานซานจับใจความสำคัญ ก่อนจะถามขึ้นมาด้วยความรีบร้อน
เฉินอีชะงักไปเล็กน้อย
“ยอดเขาหลานชิงถูกเผาไหม้จนหมดแล้ว”
…
ทันทีที่สิ้นเสียง ภายในห้องก็ถูกปกคลุมด้วยความเงียบ
เฉินอีอธิบาย
“ในตอนเวลากลางวัน บนยอดเขาหลานชิงมีเปลวเพลิงสายหนึ่งลุกโชนขึ้นมาอย่างกะทันหัน มีคนต้องการจะขึ้นไปสำรวจว่า ที่แห่งนั้นมีของวิเศษปรากฏขึ้นมาหรือไม่ แต่ผลปรากฏว่า เขาก็ถูกเปลวเพลิงกลืนกินจนสูญเสียชีวิตของตนเอง หลังจากมีคนตายไปหลายคนก็แทบจะไม่มีใครเดินทางขึ้นไปอีก แต่หลังจากนั้นมั่วอวิ๋นก็เดินทางมาที่นั่น…”
เมื่อพูดถึงตรงนี้เขาก็เงียบไปชั่วคราว
“แต่มั่วอวิ๋นก็ไม่สามารถจัดการกับเปลวเพลิงเหล่านี้ได้ อีกทั้งเขายังได้รับบาดเจ็บ หลังจากนั้นเปลวเพลิงก็ลุกลามขึ้นมา จนตอนนี้ยอดของหลานชิงแทบจะทั้งลูกถูกล้อมรอบด้วยเปลวเพลิงเหล่านั้น แม้กระทั่งในเมืองก็ยังสามารถมองเห็นเปลวเพลิงสีน้ำเงินนั้นพุ่งทะยานขึ้นท้องฟ้าจากในระยะไกลได้”
ฉู่หลิวเยว่ขมวดคิ้วเล็กน้อย
“สำนักกระบี่ทมิฬไม่ได้ส่งคนอื่นไปอีกอย่างนั้นหรือ?”
เฉินอีพยักหน้า
“หลังจากมั่วอวิ๋นล้มเหลว เขาก็เรียกคนของสำนักกระบี่ทมิฬออกไปไม่น้อย พวกเขาร่วมมือกัน แต่สุดท้ายก็ยังล้มเหลวอยู่ดี อีกทั้งยังมีคนบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก ตอนนี้มั่วอวิ๋นกำลังให้คนเฝ้าที่ยอดเขาหลานชิงอยู่ แต่ก็ยังไม่ได้ลงมืออันใดอีก”
ถ้าไม่ใช่เพราะถูกบีบบังคับจนอับจนหนทาง มั่วอวิ๋นไม่มีทางทำเช่นนี้อย่างแน่นอน
และด้วยสถานการณ์อย่างเช่นตอนนี้มันได้มาสู่จุดตึงเครียดแล้ว
“เปลวเพลิงเหล่านั้นได้ลุกลามไปที่ยอดเขาอื่นหรือไม่?”
หรงซิวถามขึ้นมาอย่างกะทันหัน
เฉินอีครุ่นคิด จากนั้นก็ส่ายหน้า
“สำหรับในเรื่องนี้ ข้ายังไม่ค่อยชัดเจนมากเท่าไร แต่ดูจากตำแหน่งของเปลวเพลิงเหล่านั้นแล้ว ดังนั้นจึงคิดว่าน่าจะยังไม่ลุกลาม”
แววตาของหรงซิวเหมือนเข้าใจอันใดบางอย่างขึ้น ท่าทางของเขาไม่ได้ดูประหลาดใจเลย
ถ้าเป็นไฟป่าทั่วไป เพียงครู่เดียวก็จะต้องลุกลามเป็นไฟลามทุ่งแล้ว
แต่ว่าบนยอดเขาหลานชิงนั้นกลับไม่ใช่เปลวเพลิงธรรมดา แน่นอนว่าสถานการณ์นั้นแตกต่างกันออกไป
ตอนนี้พวกเขายังไม่สามารถออกจากสำนักกระบี่ทมิฬได้ ไม่เช่นนั้นจะเป็นการสร้างปัญหามากยิ่งขึ้นกว่าเดิม
เฉินอีพยักหน้า
“ขอรับ นายท่าน ฝ่าบาทรักษาตัวด้วย เฉินอีขอตัวลา”
เมื่อพูดจบเงาร่างของเขาก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย!
“เฮ้! พี่ใหญ่…”
ซานซานรีบตะโกนขึ้นมา แต่คนผู้นั้นกลับหายตัวไปแล้ว
“…ช่วยข้าดูแลร้านด้วย…”
ซานซานพูดครึ่งประโยคที่เหลือออกมาด้วยเสียงต่ำ
เมื่อเกิดปัญหาเช่นนี้ขึ้น เกรงว่าเขาอาจจะไม่สามารถหาเงินไปได้อีกหลายวัน!
ในสายตาของพี่ใหญ่มีเพียงแค่นายท่านและฝ่าบาท แต่ไม่มีเขาอยู่เลย…
เรื่องนี้มันน่าเสียใจจริงๆ!
“เฮ้อ นายท่าน ท่านคิดว่าเมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นคนในท่าเรือดอกท้อก็จะบาดเจ็บเพิ่มมากขึ้นใช่หรือไม่? ดังนั้นความต้องการใช้สมุนไพรก็จะเพิ่มมากขึ้น…”
ถ้าอย่างนั้นเขาควรจะขึ้นราคาหรือไม่…
ฉู่หลิวเยว่เหลือบสายตามองเขา แล้วกล่าวเตือนเขาว่า
“ใช่แล้ว คนที่ต้องการมากที่สุดน่าจะเป็นสำนักกระบี่ทมิฬมั้ง?”
กว่าซานซานจะรู้สึกตื่นเต้นยินดีขึ้นมาก็ยากลำบาก แต่เมื่อได้ยินดังนั้นเขาก็เป็นลมลงไปอีกครั้ง
“นายท่าน ท่านจะให้ข้ามีความสุขไม่ได้เลยหรือ?”
เมื่ออยู่ในจุดนี้แล้วตัวของเขานั้นก็อนาถอย่างมากแล้ว!
ฉู่หลิวเยว่ครุ่นคิดอย่างตั้งใจ
“ตอนนี้เรื่องที่เจ้าควรจะดีใจมากที่สุดน่าจะเป็น…เปลวเพลิงเหล่านั้นไม่มีทางลุกลามไปยังพื้นที่มิติขนาดเล็กของเจ้าแห่งนั้น”
แม้ว่าระยะห่างของผาธารใสกับยอดเขาหลานชิงจะไม่ได้ห่างไกลกันมากนัก แต่เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ก่อนหน้านี้ เปลวเพลิงที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันนั้นก็มีความเกรงใจซานซานอยู่หลายส่วน
แล้วคงจะไว้หน้าเขาอยู่บ้าง
มุมปากของซานซานยกขึ้นแล้วพูดว่า
“เปลวเพลิงเหล่านั้นไม่สามารถทำลายพื้นที่มิติข้าได้ แต่หากเป็นท่านมันก็ไม่แน่!”
………………..