ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1861 รายงาน
ตอนที่ 1861 รายงาน
………………..
จนถึงตอนนี้ เมื่อเขานึกถึงภาพเหตุการณ์ที่บนท้องฟ้าและเปลวเพลิงที่ลุกท่วมขึ้นมาอย่างกะทันหัน ในตอนนี้หัวใจของเขาก็สั่นไหวขึ้นมาทันที
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไร เขารู้สึกว่านายท่านมีความสามารถในระดับนั้นจริงๆ!
หนังตาของฉู่หลิวเยว่กระตุก
“เอาล่ะ ถ้าเจ้ามีเวลาคิดเรื่องเหล่านี้ ไม่สู้เอาเวลามาบำเพ็ญเพียรไม่ดีกว่าหรือ! หากพื้นที่มิติของตนเองเกิดปัญหาอันใดขึ้นมา แม้แต่พลังต่อต้านของเจ้ายังไม่มีเลย เมื่อถึงตอนนั้นเจ้าจะมาปวดใจมันก็ไม่ทันแล้ว!”
ซานซานตอบรับอย่างไม่ได้รับความเป็นธรรม
ในที่สุดการมาของเฉินอีก็ทำให้เขาสามารถสงบใจลงได้
ฉู่หลิวเยว่เดินไปนั่งที่เก้าอี้ด้านข้าง มือข้างหนึ่งจับปลายคาง
เดิมทีนางก็ต้องการจะบำเพ็ญเพียรต่อ แต่คำพูดเมื่อครู่นี้ของซานซานกลับกระตุ้นความคิดของนางขึ้นมา
นางไม่ได้เป็นห่วงอันตรายของพื้นที่ขนาดเล็กนั้น
นางเพียงแค่สงสัยว่าพื้นที่ขนาดเล็กกับโล่ของนางนั้นมีความเกี่ยวข้องกันอย่างใด
ไม่เช่นนั้นเหตุใดในตอนนั้นถึงเกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้น?
ฉู่หลิวเยว่กลั้นลมหายใจแล้วรวบรวมสมาธิ นางหลุบตาลงต่ำแล้วจมอยู่ในความคิด
ตอนแรกนางบังเอิญพบโล่สีดำอันนั้นภายในถ้ำของท่าเรือดอกท้อ
แต่ภูเขาลูกนั้นมันอยู่ไกลมากเกินไป แม้กระทั่งชื่อยังไม่มีด้วยซ้ำ
อีกทั้งหลังจากเกิดการต่อสู้หลายสิบครั้ง พวกเขาลูกนั้นก็แทบจะถูกทำลายไปทั้งหมด และไม่มีอยู่อีกต่อไป
ไม่รู้ว่าหากเดินทางไปค้นหาอีกครั้งจะยังสามารถหาเบาะแสอันใดพบอีกหรือไม่…
เมื่อฉู่หลิวเยว่คิดถึงตรงนี้ โล่สีดำก็ถูกเรียกออกมาอีกครั้งหนึ่ง
โล่สีดำโบราณ ดูลึกลับ ยากจะบรรยาย
ถ้าไม่สังเกตดีๆ ก็ยากที่จะแยกแยะ
ฉู่หลิวเยว่พยายามที่จะเรียกพลังของมันออกมา แต่โล่สีดำนั้นไม่มีปฏิกิริยาเลยแม้แต่น้อย
เหมือนกับว่าเหตุการณ์ก่อนหน้านี้เป็นเพียงแค่ภาพมายาเท่านั้น
แต่มันไม่ใช่ภาพมายาอย่างแน่นอน
นิ้วของหรงซิวนั้นยังถูกลวกเป็นแผลอยู่เลย…
หัวใจของฉู่หลิวเยว่สั่นไหวเล็กน้อย จากนั้นก็หันมองทางหรงซิว
เหมือนว่าหรงซิวจะรู้ตัว เขาจะเงยหน้าขึ้นมา
สายตาของพวกเขาทั้งสองคนประสานกัน
ฉู่หลิวเยว่ลุกขึ้นยืนแล้วเดินมาหา
โล่สีดำในมือของนางนั้นหล่นลงมาอย่างกะทันหันโดยนางยังไม่ทันตั้งตัว!
ฉู่หลิวเยว่รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก จึงรีบจับมันเอาไว้ให้มั่น
โล่นี้เหมือนว่าจะหนักขึ้นกว่าเดิมไม่น้อย!
ฉู่หลิวเยว่มองไปที่ของในมือของนางด้วยความสงสัย
เมื่อครู่นี้ตอนที่นางเรียกออกมา นางถือเอาไว้ด้านหน้าด้วยแขนสองข้าง ความรู้สึกเหล่านั้นจึงไม่ได้ชัดเจนมากเท่าไร
แต่ตอนที่นางลุกขึ้นยืนเมื่อครู่นี้ นางยกมันขึ้นมาด้วยความเคยชิน แต่นางเกือบจะถือเอาไว้ไม่อยู่ จนทำให้มันหล่นลงกับพื้น
นางไม่ได้กะความรู้สึกผิดพลาด
ของชิ้นนี้…หลังจากเกิดเรื่องภายในพื้นที่มิติขนาดเล็กนั้นมันก็เหมือนหนักขึ้นจริงๆ!
น่าแปลกมาก…
ฉู่หลิวเยว่ขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย
ในตอนที่นางได้โล่ชิ้นนี้มา นางก็สามารถใช้มันได้อย่างคล่องมือเป็นอย่างมาก และนางไม่เคยมีความรู้สึกเช่นนี้มาก่อน
หากนางยังรู้สึกว่ามันหนัก…
“เป็นอันใดไปอย่างนั้นหรือ?”
ฉู่หลิวเยว่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะส่ายหน้า
“ไม่มีอันใด ข้าเพียงแค่รู้สึกว่าของสิ่งนี้…มันแตกต่างไปจากเดิม…”
ขณะที่พูดนางก็ยกโล่สีดำอันนั้นขึ้นมา นางจับมือของหรงซิวขึ้นมาอีกครั้ง
รอยไหม้สีแดงบนนิ้วเรียวยาวของหรงซิวสายนั้น จางหายไปแล้ว
มุมปากของเขาโค้งขึ้นเล็กน้อย
“ข้าบอกแล้ว มันแค่แผลเล็กน้อยเท่านั้นไม่ต้องกังวล”
ภายในใจของฉู่หลิวเยว่ยังคงมีความสงสัยปรากฏอยู่
นางเงยหน้าขึ้นแล้วมองเข้าไปในแววตาของหรงซิว
“เจ้าเป็นผู้แข็งแกร่งระดับเทพศักดิ์สิทธิ์แล้ว ตามหลักการแล้ว…เจ้าไม่ควรจะได้รับบาดเจ็บได้ง่ายๆ ลำแสงนั้น มันคืออันใดกันแน่…”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ นางก็เงียบไปอย่างกะทันหัน
เพราะว่าคำตอบนั้น แม้กระทั่งนางก็ยังไม่รู้เช่นกัน
ดวงตาหงส์ของหรงซิวมีประกายแสงสว่างพาดผ่าน เหมือนกับมีระลอกคลื่นปะทุขึ้น แต่มันก็ยังหายวับไปอย่างรวดเร็ว
“หากเจ้ายังคงสงสัยอยู่ รอให้พวกเราออกจากที่นี่ได้ก่อน และค่อยไปที่พื้นที่ขนาดเล็กแห่งนั้นอีกครั้งหนึ่ง ไปดูว่ามันเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่ ดีหรือไม่?”
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้าเบาๆ
บางทีวิธีนี้อาจจะเป็นหนทางที่ดีที่สุดในตอนนี้แล้ว
…
ในคืนนั้น มีคนจำนวนมากในท่าเรือดอกท้อที่นอนไม่หลับ
เพราะว่าเปลวเพลิงสีน้ำเงินนั้นยังคงโหมกระหน่ำอยู่
เมื่อย่ำรุ่งมาถึงอีกครั้ง เปลวไฟเหล่านั้นก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุด คนจำนวนมากก็เริ่มกระวนกระวายกันขึ้นมา
…เปลวเพลิงเหล่านั้นเหมือนว่าจะโหมกระหน่ำมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม เมื่อไรมันถึงจะมอดดับกัน?
…
“รองประมุข กลุ่มคนที่เพิ่งส่งไปเมื่อครู่นี้ ก็…”
มีทหารคนหนึ่งเข้ามารายงาน ใบหน้าเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง
สายตาของมั่วอวิ๋นจดจ้องไปทางยอดเขาหลานชิงตาเขม็ง มือทั้งสองข้างกำหมัดกรอด ใบหน้าเขียวคล้ำ
เมื่อนับรวมกลุ่มเมื่อครู่นี้แล้ว สำนักกระบี่ทมิฬได้ส่งคนไปสามกลุ่ม แต่พวกเขาล้วนเสียชีวิตทั้งหมด
ประเด็นสำคัญก็คือ ในคนจำนวนนั้นมีคนจำนวนไม่น้อยที่เป็นคนสำคัญภายในสำนักกระบี่ทมิฬ
เรียกได้ว่าครั้งนี้พวกเขาขาดทุนย่อยยับ
แต่ว่าสถานการณ์ของทางมั่วอวิ๋นก็ไม่ได้ดีกว่ากันตรงที่ใด
สภาพของเขาก็ยุ่งเหยิงจนตรอกเป็นอย่างมาก ไหล่ซ้ายเปรอะเปื้อนด้วยคราบเลือด ชายเสื้อผูกเปลวเพลิงเผาไหม้
นี่เป็นอาการบาดเจ็บหลังจากที่เขาพยายามระงับเปลวเพลิงเหล่านั้น
“รองประมุข เกรงว่าพวกเราจะไม่สามารถส่งคนไปได้อีกแล้ว…หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ก็จะมีแต่คนไปไม่มีคนกลับ สำหรับพวกเราแล้วนี่มันไม่มีประโยชน์อันใดเลย!”
ในที่สุดมั่วหลินที่ยืนอยู่ด้านข้างก็รวบรวมความกล้าและห้ามปรามเขาขึ้นมา
เขารู้ว่ารองประมุขต้องการจัดการปัญหานี้ให้ได้เร็วที่สุด แต่ประเด็นสำคัญก็คือ…สถานการณ์เช่นนี้มันอยู่เหนือความคาดหมายของพวกเขามาก!
หากยังส่งคนไปอย่างสุ่มสี่สุ่มห้าอีก นอกจากจะทำให้ลูกน้องต้องตายมากขึ้น มันก็ไม่ได้มีประโยชน์อันใดเลย!
ดังนั้นแม้เขาจะรู้ว่ามั่วอวิ๋นคงไม่มีความสุขที่ได้ยินคำพูดเหล่านี้ แต่มั่วหลินก็พูดออกไปแล้ว
คนที่มารายงานรีบคล้อยตามอย่างเห็นด้วย
“ใช่ขอรับ! รองประมุข ไม่ใช่ว่าข้าหวาดกลัว ไม่กล้าเข้าไป แต่เรื่องเหล่านี้…หากพวกเรายังทำเช่นนี้ต่อไปมันคงไม่ใช่วิธีการที่ดี…หรือว่าพวกเราลองหาหนทางอื่น…”
คนผู้นั้นมีใบหน้าซีดขาวในทันที
“ไม่ๆ! ผู้น้อยไม่ได้มีเจตนาจะล่วงเกิน! ผู้น้อยเพียงแค่รู้สึกว่า…ว่า…”
เสียงของเขาค่อยๆ เบาลง
เพราะว่าเขาเองก็ไม่รู้ว่าควรจะต้องทำอย่างใด
มั่วอวิ๋นสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ระงับโทสะที่อยู่ภายในลง
ความจริงแล้วสิ่งที่พวกเขาพูดนั้น ใช่ว่าเขาจะไม่รู้เลย?
เพียงแต่ว่ายอดเขาหลานชิงแห่งนี้สำคัญมากเกินกว่า เขามองเห็นประกายเพลิงปกคลุมทั่วทั้งท้องฟ้า เปลวเพลิงลุกไหม้ในใจเขา จนเขาไม่สามารถสงบใจลงได้
ความเจ็บปวดบนร่างกายของเขาแผ่กระจายออกมา ย้ำเตือนให้มั่วอวิ๋นทราบว่า ในตอนนี้เขาไม่สามารถใช้ไม้แข็งต่อต้านไปต่อได้แล้ว
“สั่งการลงไป! ให้คนถอยทัพลงมาทั้งหมด!”
มั่วอวิ๋นพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา
ตอนนี้สิ่งที่พวกเขาทำได้ ก็คงมีเพียงรอดูสถานการณ์ต่อไป…
ในที่สุดมั่วหลินและทหารอีกคนก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
“ขอรับ!”
คนที่มารายงานผู้นั้นก็รีบพุ่งตัวออกไปอย่างรวดเร็ว
มั่วหลินมองหน้ามั่วอวิ๋นอย่างลังเล
“รองประมุข หรือว่า…พวกเราควรจะรายงานให้ท่านประมุขทราบ?”
มั่วอวิ๋นหันขวับกลับมามองในทันที สายตาเต็มไปด้วยความเย็นชาและตึงเครียด!