ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1862 ผู้ชายก็เหมือนกันหมด
ตอนที่ 1862 ผู้ชายก็เหมือนกันหมด
………………..
มั่วหลินสั่นสะท้าน ร่างกายเหมือนถูกแช่แข็ง!
ไม่ว่าอย่างใดเขาก็ไม่สามารถพูดคำพูดที่เหลือออกมาได้อีกแล้ว
เขารีบคุกเข่าลงทันทีโดยไม่ต้องคิด
“ข้าน้อยผิดไปแล้ว! รองประมุขโปรดไว้ชีวิตข้าด้วย!”
เหงื่อเย็นๆ ไหลท่วมหน้าผากและแผ่นหลังของเขา
สายลมที่พัดมาเล็กน้อย ทำให้เขารู้สึกเหมือนเขาตกลงไปในถังน้ำแข็ง!
ในขณะนั้นเขาสามารถมั่นใจได้เลยว่าเขาเห็นจิตสังหารอยู่ในแววตาส่วนลึกของมั่วอวิ๋น!
เขาสามารถลงมือได้อย่างแน่นอน!
มั่วอวิ๋นจ้องมาที่เขาตาเขม็ง
เห็นได้ชัดว่าอากาศที่อยู่โดยรอบมีอุณหภูมิสูงเพราะไอความร้อนจากเปลวไฟเหล่านั้น แต่ในตอนนี้มั่วหลินกลับสามารถสัมผัสได้เพียงความเย็นยะเยือกเท่านั้น
เขารู้สึกหนาวเย็นจนไปถึงขั้วกระดูก!
“มั่วหลิน เจ้าก็ติดตามอยู่ข้างกายข้ามาหลายปีแล้ว จนถึงตอนนี้ ยิ่งเจ้าอยู่ยิ่งถอยหลังลงคลองอย่างนั้นหรือ?”
มั่วอวิ๋นพูดขึ้น น้ำเสียงไม่มีร่องรอยความอบอุ่นเลยแม้แต่น้อย
มั่วหลินตัวสั่นสะท้านราวกับตะแกรงไม้
“รอง…รองประมุข ข้าเพียงแค่…”
เขาแค่พูดเรื่อยเปื่อยออกมาเท่านั้น! ไม่ได้มีความหมายอย่างอื่นซ่อนอยู่เลย!
ใช่แล้ว เขาติดตามมั่วอวิ๋นมานานหลายปี เหตุใดถึงได้พูดอันใดแบบนั้นออกไปได้นะ!
ในวันทั่วไปแล้วมั่วอวิ๋นจะระมัดระวังคำพูดและการกระทำ เขาไม่ต้องการให้สิ่งไม่ดีเข้าไปกระทบสู่โสตประสาทของท่านประมุข
แต่ในวันนี้เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ขึ้นมาแล้ว ภายในใจของมั่วอวิ๋นจะต้องทำทุกวิถีทางให้เรื่องนี้จบ ก่อนที่ท่านประมุขจะรู้เรื่องนี้อย่างแน่นอน
แต่เห็นได้ชัดว่ามั่วอวิ๋นในตอนนี้ ไม่ต้องการฟังคำอธิบายของเขา
เขายกฝ่ามือขึ้นมาในทันที ส่งสัญญาณให้มั่วหลินเงียบปากไป
ตอนนี้ก็วุ่นวายมากพออยู่แล้ว เขาไม่อยากเสียเวลาและพลังงานไปกับเรื่องเหล่านี้อีก
มั่วหลินรู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก
ปฏิกิริยาของมั่วอวิ๋นได้อธิบายความคิดของเขาอย่างกระจ่างแล้ว
ครั้งนี้ เกรงว่า…
หัวใจของมั่วหลินเต้นกระหน่ำอย่างรุนแรง ในตอนนั้นเขารู้สึกเสียใจขึ้นมา
ถ้าสามารถแก้ปัญหานี้ตั้งแต่ในตอนแรก เขาจะตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ได้อย่างใด?
ทั้งหมดนี้…เป็นเพราะซานซานไร้ความสามารถ!
ในตอนนี้มั่วหลินต้องการจะโยนความผิดไปให้ผู้อื่นทั้งหมด
แต่น่าเสียดายที่มั่วอวิ๋นไม่ให้โอกาสเขาพูดเลยแม้แต่คำเดียว
…
จวนเยว่
ฉู่หลิวเยว่และหรงซิวไม่ได้กลับมาทั้งคืน ทุกคนที่อยู่ภายในจวนก็ไม่สามารถพักผ่อนได้อย่างเพียงพอ
ตอนเช้าตรู่ สือซานก็เดินไปที่ด้านหน้าจวน แล้วยังชะเง้อไปที่ประตูใหญ่เป็นบางครั้ง
อวี๋จิ่วเดินถือกระบี่เข้ามา
“สือซานเจ้ามาทำอันใดตั้งแต่เช้าตรู่?”
สือซานส่ายหน้า
“ข้าอยากรอให้นายท่านกลับมา”
อวี๋จิ่วเก็บกระบี่บุปผาลง ก่อนจะพูดขึ้นว่า
สือซานรู้สึกเก้อกระดากเล็กน้อย
“ข้ารู้ แต่ข้ายังรู้สึก…ไม่วางใจ…ดังนั้นข้าจึงอยากจะรออยู่ตรงนี้…หื้ม? พี่เก้า แล้วเหตุใดเจ้าถึงมาอยู่ตรงนี้ล่ะ?”
เขามักจะฝึกวิชากระบี่อยู่ที่ด้านหลังเรือนไม่ใช่หรือ?
อวี๋จิ่วมีสีหน้าราบเรียบ
“ด้านหลังเรือนมันมีขนาดเล็กเกินไป ข้าไม่สามารถฝึกได้ ดังนั้นจึงมาฝึกอยู่ที่นี่”
สือซาน “…”
ด้านหลังเรือนกว้างกว่าที่นี่ตั้งไม่รู้กี่เท่า อยากจะมารอนายท่านก็พูดออกมาตรงๆ ดีกว่า จะหาข้ออ้างงี่เง่าไปเหตุใด…
ในตอนนั้นเอง อู่เหยาก็เดินมาถึงแล้ว
เมื่อเห็นสือซานกับอวี๋จิ่ว เขาก็ชะงักไปเล็กน้อย
สือซานถามขึ้นมาว่า
“พี่ห้า ท่านมาที่นี่เพื่อ…ฝึกยุทธ์หรือ?”
“แค่ก!”
ใบหน้าของอู่เหยามีความอึดอัดฉายชัดขึ้น
“ถูกต้องแล้ว! เป็นเพราะด้านหลังเรือนนั้นแคบเกินไป! ข้าจึงอยากจะยกที่ตรงนั้นให้อวี๋จิ่ว…”
แต่คาดไม่ถึงว่าเจ้าเด็กนี่จะมาถึงก่อนเขา!
อวี๋จิ่วแกว่งดาบไม้ที่อยู่ในมืออย่างภาคภูมิใจ
บางครั้งหากลงมือก่อนก็ได้เปรียบ!
“เอ๋? พวกเจ้าอยู่ที่นี่กันหมดเลยหรือ?”
เสียงของสือฟังดังขึ้นเพราะความประหลาดใจ
ในมือของเขายังถือถังไม้อยู่ อีกทั้งบนไหล่ก็ยังแบกจอบอยู่อันหนึ่ง
หนังตาของสือซานกระตุกขึ้น
“ข้าเห็นว่าด้านหน้าเรือนยังมีที่โล่งกว้างอยู่ ดังนั้นจึงอยากจะปลูกผัก…”
อู่เหยา “…”
อวี๋จิ่ว “…”
สือซาน “…”
มีบ้านไหนที่ปลูกผักด้านหน้าเรือนกันบ้าง?
แต่ว่าสือฟังเมินเฉยกับสายตาของพวกเขาทั้งสามคน จากนั้นก็เดินไปที่ด้านข้างของต้นไม้ต้นหนึ่ง ก่อนที่จะเริ่มขุดดิน
หลังจากผ่านไปสักพักก็ได้รูปร่างที่น่าพอใจแล้ว
อู่เหยาหรี่ตาลงเล็กน้อย “สุดยอด”
อวี๋จิ่วยกนิ้วโป้งให้ “ขอชื่นชม”
สือซาน “…”
ทุกวันนี้เขากำลังเรียนรู้อันใดจากคนเหล่านี้อยู่นะ?
ในตอนนั้นเอง เสียงฝีเท้าสายหนึ่งก็ดังขึ้นจากด้านนอกประตู
พวกเขาชะงักการกระทำทั้งหมดโดยพร้อมเพรียง ก่อนจะเงยหน้าขึ้น
หลังจากนั้นไม่นาน เงาร่างที่เพียวระหงส์งดงามก็เดินเข้ามาในครรลองสายตาของพวกเขา
ทั้งสองฝ่ายประสานสายตากันอยู่ครู่หนึ่ง
น้องแปดรีบถอยหลังลงไปสองสามก้าว พร้อมมองคนเหล่านี้ด้วยแววตาตื่นตะลึง
“พวกเจ้า พวกเจ้ากำลังทำอันใดอยู่อย่างนั้นหรือ?”
เช้าตรู่ขนาดนี้แต่กลับมาทำเรื่องบ้าๆ บอๆ จะไม่ให้ผู้คนตกใจได้อย่างใด!
คนทั้งหลายมองมาที่นางด้วยสายตาพินิจพิเคราะห์
อู่เหยาถามขึ้นมาว่า
“น้องแปดเหตุใดเจ้าถึงเพิ่งกลับมาจากด้านนอกล่ะ?”
พวกเขาหน้าเปลี่ยนสีไปพร้อมกัน
พวกเขารอนายท่านกลับมาอย่างขมขื่น! แต่น้องแปดกลับออกไปเยี่ยมมาแล้วอย่างนั้นหรือ?
“เมื่อวานพี่ใหญ่พูดแล้วไม่ใช่หรือว่าให้พวกเรารออยู่ที่นี่?”
อู่เหยาขมวดคิ้วมุ่น
น้องแปดฝีเท้าแผ่วเบา รอยยิ้มเหมือนกับนางมาร
“พี่ห้า แน่นอนว่าข้ากับพวกเจ้านั้นไม่เหมือนกันนะ! คำพูดของพี่ใหญ่ใช้กับพวกเจ้าได้ แต่ใช้กับข้าไม่ได้หรอก!”
แม้ว่าปกติแล้วเฉินอีจะเข้มงวดเป็นอย่างมาก แต่เมื่อเปรียบเทียบกับคนอื่นแล้ว เขาก็ผ่อนปรนกับนางไม่น้อยเลย
“อีกทั้งเมื่อวานนี้ตอนที่ข้าออกไป พี่ใหญ่ก็รับรู้ด้วยนะ ใช่หรือไม่พี่ใหญ่?”
ขณะที่พูด น้องแปดก็โบกมือให้แก่คนที่อยู่ด้านหลังของพวกเขา
ตอนที่พวกเขาหันกลับไปมอง ก็เห็นว่าเฉินอีมายืนอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อใดไม่ทราบ
เมื่อได้ยินคำพูดของน้องแปด เขาก็พยักหน้าเบาๆ อย่างเห็นด้วย
สือฟังถามขึ้นอย่างสงสัย
“พี่แปด พี่ใหญ่ให้เจ้าออกไปมีภารกิจอันใดหรือไม่?”
น้องแปดกะพริบตาปริบๆ รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้า
“ข้าเพียงแค่ไปสืบข่าวมาเท่านั้น สำนักกระบี่ทมิฬนั้นเป็นเหมือนกับผนังทองแดงกำแพงเหล็ก แต่ว่าคนที่รับผิดชอบเฝ้ายามนั้นล้วนเป็นผู้ชายทั้งหมด ผู้ชายนี่แหละน้า…ล้วนหัวงูเหมือนกันหมด…พี่ใหญ่ ข้าไม่ได้หมายถึงท่านนะ!”
นางพูดขึ้นเช่นนั้น แต่เมินเฉยกับผู้ชายที่เหลือทั้งหมด จากนั้นนางก็เดินเข้าไปด้านในพร้อมกล่าวอย่างเกียจคร้านว่า
“คืนนี้แม่นางอย่างข้ารู้สึกเหน็ดเหนื่อยจริงๆ …เฮ้อ!”
นางยังไม่ทันพูดจบ ในตอนที่นางกำลังเอียงตัว หางตาของนางก็เหลือบเห็นชายหนุ่มรูปร่างกำยำล่ำสันจนนางเกือบจะชนกับเขาอยู่แล้ว
นางตกใจจนรีบหยุดยืนนิ่ง
หลังจากเห็นอย่างชัดเจนแล้วว่านี่เป็นใบหน้าเย็นชาที่คุ้นเคย น้องแปดก็ถอนหายใจออกมาอย่าง
โล่งอก พร้อมถลึงตามองเขา
“ใต้เท้าเยี่ยนชิง นี่ท่านเป็นอันใดไปน่ะ! มาแอบฟังคนอื่นพูดที่มุมกำแพงอย่างนี้มันสนุกมากนักหรือ?”
เยี่ยนชิงพูดขึ้นเสียงเรียบ
“ข้ายืนอยู่ที่นี่นานกว่าหนึ่งเค่อแล้ว ข้ามาเร็วกว่าทุกท่านที่อยู่ที่นี่เสียอีก ดังนั้นจึงไม่ได้ตั้งใจจะแอบฟัง”
น้องแปดคร้านที่จะสนใจเขา นางจึงบิดขี้เกียจแล้วหรี่สายตาลง
“เอาล่ะ วันนี้แม่นางอย่างข้าเหนื่อยล้ามากแล้ว ดังนั้นจึงจะไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเจ้า…ข้าเหนื่อยมากที่จะต้องรับมือกับผู้ชายพวกนั้น”
สีหน้าของเยี่ยนชิงเปลี่ยนเป็นอ่อนลง ริมฝีปากขยับ เหมือนเขาต้องการจะพูดอันใดบางอย่าง แต่ก็ไม่ได้พูดออกมา
เมื่อเขาเหลือบสายตาไปก็เห็นเอวเล็กคอดขาวที่โผล่ออกมา ขาวจนแสบตา
เขารีบเบี่ยงสายตาออกไปในทันที
กลิ่นหอมถูกสายลมหอบพัดออกมา
เขาลังเลไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็หมุนตัวไปจับข้อมือของนางเอาไว้
“แม่นางแปด”
………………..