ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1877 ฐานะ
ตอนที่ 1877 ฐานะ
………………..
ซานซานสะอึกออกมา
เขาเองก็รู้ว่าที่มั่วอวิ๋นมาที่นี่เพราะต้องการมาหานายท่าน
แต่…
“รองประมุขมั่วเดินทางมาเยี่ยมเยือน ข้าเสียมารยาทแล้วที่ไม่ได้ทำการต้อนรับ ต้องขออภัยจริงๆ”
ในตอนนั้นเอง เสียงที่กระจ่างใสแฝงด้วยรอยยิ้มสายหนึ่งก็ดังขึ้นมา
มั่วอวิ๋นเหมือนกับสามารถตระหนักอะไรได้บางอย่าง ดังนั้นจึงเงยหน้าขึ้นไปมอง
เงาร่างทั้งสองกำลังเดินเข้ามาจากทางประตู
ผู้ที่พูดนั้นเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง สวมชุดสีแดงทั้งร่าง เผยให้เห็นรูปร่างเพรียวระหงงดงาม ผมสีดำขลับถูกมัดเอาไว้อย่างเรียบง่าย สะอาดสะอ้านตาเป็นอย่างมาก
ใบหน้าพริ้งเพรา เป็นความงามที่ไม่มีใครเทียบเทียม
แต่สิ่งที่ทำให้ผู้คนใจสั่นสะท้านเลยก็คือ ดวงตาที่เหมือนกับหยกสีดำขลับนั้นลึกซึ้งและเงียบงัน เพียงแค่กะพริบตา ก็เหมือนกับมีดวงดาวนับพันนับหมื่นดวงส่องสว่างอยู่ภายใน
ในตอนนั้นเอง ริมฝีปากแดงของนางก็ยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย
ทันทีที่เข้ามา แทบจะทำให้บรรยากาศรอบข้างมัวหมองไปในทันที
นอกจากนั้นยังมีชายคนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างกายของนาง
เขาสวมชุดสีขาว ซึ่งขาวกว่าหิมะ งดงามโดดเด่น ราวกับเซียนตกสวรรค์
ใบหน้าสูงส่งราวกับมาร ความสูงศักดิ์ฝังอยู่ในกระดูก เพียงแค่ยืนอยู่ตรงนั้น ก็แทบทำให้ผู้คนละสายตาไม่ได้
ทั้งสองคนนี้จะต้องเป็นคนระดับแนวหน้าแน่นอน เมื่อยืนอยู่ในบริเวณาเดียวกัน เขาก็สามารถดึงความสนใจของทุกผู้คนไปได้อย่างง่ายดาย
มั่วอวิ๋นจ้องทั้งสองคนตาเขม็ง พร้อมค่อยๆ กำหมัดแน่นขึ้น
แต่ตอนนี้เมื่อมาเห็นทั้งสองคนนี้ ความรู้สึกเหล่านั้นก็รุนแรงมากยิ่งขึ้น!
แต่ไม่รู้ว่าทำไมภายในใจของเขาจึงเกิดความรู้สึกแปลกประหลาดบางอย่างขึ้นมา
เหมือนกับว่า…เขาเคยเห็นทั้งสองคนนี้ที่ไหนมาก่อน…
“พวกเจ้าคือ…”
ในตอนที่เขากำลังจะพูด เงาร่างจากด้านนอกก็พุ่งเข้ามาอย่างกะทันหัน
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าที่รีบร้อน ฉู่หลิวเยว่กับหรงซิวก็หันกลับไปมองโดยพร้อมเพรียง
ผู้ที่มาใหม่นั้นคือ เยี่ยนชิง
แต่ในเวลานั้นเอง ใบหน้าของเขาที่เคยนิ่งเรียบเหมือนภูเขาน้ำแข็งมาโดยตลอด กลับขมวดคิ้วขึ้นมา อีกทั้งยังแฝงไปด้วยความตื่นตระหนกและเป็นกังวล
ภายในใจของฉู่หลิวเยว่มีความไม่สบายใจพวยพุ่งขึ้นมา
เยี่ยนชิงเป็นคนเงียบขรึมมาโดยตลอด น้อยครั้งมากที่จะเผยสีหน้าเช่นนี้ออกมา
หรือว่าจะเกิดเรื่องแล้ว?
“ฝ่าบาท มีคนมาขอรับ”
เยี่ยนชิงเดินเข้ามาแล้วพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ
คนที่อยู่ภายในบริเวณนั้นล้วนแสดงสีหน้าตกใจทันที
ใครกันที่จะมาจวนเยว่ในเวลานี้?
อีกทั้งดูจากสถานการณ์แล้ว…เหมือนว่าจะไม่ได้มาดี
หรงซิวหรี่ดวงตาหงส์ลง
“ใคร?”
เยี่ยนชิงประสานหมัดด้วยมือทั้งสองข้าง
“ตระกูลหนาน”
ในตอนนี้หนานอวี่สิงเพิ่งจะพาคนมาที่ท่าเรือดอกท้อ
และคนที่เดินทางมากับเขานั้นยังมีผู้อาวุโสอีกแปดคน รวมถึง…ลั่วเหยี่ยนด้วย
แม้ว่าตระกูลหนานจะมีจำนวนไม่น้อย และการส่งผู้อาวุโสออกมาพร้อมกันครั้งเดียวแปดคน ความจริงแล้วก็นับว่าไม่มาก
ยิ่งไปกว่านั้นท่าเรือดอกท้อยังเป็นสถานที่ที่ห่างไกลกว่าหมื่นลี้!
“ที่แท้ที่นี่ก็คือท่าเรือดอกท้อ…”
หนานอวี่สิงเดินไปพลาง พร้อมใช้สายตากวาดสำรวจไปพลาง
สายตาของเขานั้นเย็นชาอย่างมาก ดวงตาของเขามีสีเลือดแอบแฝงอยู่หลายส่วน จนทำให้ผู้ที่มองมารู้สึกไม่สบายใจ
แต่ที่ทำให้ตกใจยิ่งกว่านั้นก็คือ ลมปราณบนร่างกายของเขา
เพียงแค่ในระยะเวลาสั้นๆ ความแข็งแกร่งของร่างกายเขาไม่เพียงแต่จะฟื้นคืนเท่านั้น เขายังสามารถทะลวงด่านกลายเป็นผู้แข็งแกร่งระดับเทพศักดิ์สิทธิ์โดยตรง!
แม้ว่าคนที่เดินผ่านไปผ่านมาจะไม่รู้จักเขา แต่ก็สามารถสัมผัสได้ว่าไม่ควรยั่วโมโหคนเหล่านี้ ดังนั้นจึงรีบหลีกหนีถอยห่างออกมา
ช่วงนี้ภายในท่าเรือดอกท้อมีเรื่องเกิดมากมาย คนธรรมดาไม่กล้าเข้าไปมีส่วนร่วมแน่นอน
“พวกเขาช่างเลือกสถานที่ได้ดีจริงๆ”
หนานอวี่สิงหัวเราะขึ้นมาเสียงเย็น น้ำเสียงประชดประชัน
ลั่วเหยี่ยนติดตามมาด้านข้างอย่างเงียบเชียบเท่านั้น เขาหลุบสายตาต่ำลงเล็กน้อย ทำให้มองไม่ออกว่าเขาอยู่ในอารมณ์แบบไหน
มีเพียงรอยคล้ำใต้ตาเท่านั้นที่แสดงให้เห็นว่าชีวิตความเป็นอยู่ของเขาในช่วงนี้ไม่ค่อยดีเท่าไร
ผู้อาวุโสที่เหลืออีกแปดคนก็ติดตามมาโดยไม่พูดไม่จา
บรรยากาศตึงเครียดแฝงด้วยจิตสังหารเข้มข้น!
ทุกคนสามารถมองออกได้ว่าเขาจะต้องมาหาเรื่องใครสักคนแน่นอน!
คนจำนวนไม่น้อยที่เดินอยู่บนถนนก็รีบหลีกทางให้ในทันที แล้วพูดพึมพำเบาๆ
คนเหล่านี้มีพลังแข็งแกร่ง ไอสังหารพวยพุ่ง
เรื่องนี้ทำให้คนที่ลอบสังเกตการณ์อยู่ลับๆ ตกตะลึงไปไม่น้อย
ช่วงนี้เถ้าแก่ซานโชคร้ายเกินไปแล้วหรือไม่
ก่อนหน้านี้ก็ถูกสำนักกระบี่ทมิฬพัวพันไม่เลิกรา อีกทั้งยังถูกขังเอาไว้เป็นเวลานาน
ตอนนี้ก็ถูกศัตรูมาหาเรื่องถึงถิ่น…
หากเป็นเช่นนี้ เกรงว่าจะต้องเกิดสงครามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้แน่นอน!
หนานอวี่สิงและคนอื่นๆ หยุดยืนที่หน้าประตูใหญ่
“เรียกให้นายท่านของพวกเจ้าไสหัวออกมารับความตายซะ!”
…
ตอนที่ฉู่หลิวเยว่และคนอื่นๆ ออกมา นางก็เห็นเหตุการณ์เช่นนั้นแล้ว
หนานอวี่สิงนำคนมาดักที่หน้าประตูใหญ่
ท่าทางโหดเหี้ยม จิตสังหารพลุ่งพล่าน!
ทุกคนภายในจวนเยว่ออกมารวดตัวกันเพื่อสร้างแนวป้องกันแล้ว
แต่เมื่อเทียบกับผู้คนที่อยู่ฝั่งตรงข้าม เห็นได้ชัดว่ากำลังของพวกเขานั้นอ่อนแอกว่าหลายส่วน
ฝ่ายตรงข้ามมีสิบคน แต่ในจำนวนนั้นมีระดับเทพศักดิ์สิทธิ์ไปแล้วหกคน!
ซึ่งหนึ่งในนั้นรวมถึงหนานอวี่สิงด้วย!
ฉู่หลิวเยว่ขมวดคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนจะกวาดตามองไปทางหนานอวี่สิงด้วยความสงสัย ก่อนจะพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า
“ข้าก็นึกว่าใครกัน ที่แท้ก็เป็นคุณชายใหญ่ตระกูลหนานนี่เอง ดูเหมือนว่าสุขภาพในช่วงนี้จะดีขึ้นไม่น้อยแล้วสินะ?”
คำพูดเหล่านี้เหมือนกับเป็นการสาดเกลือลงบนบาดแผลของหนานอวี่สิง
ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวขึ้นมาในทันที เขาโกรธจนหัวเราะออกมา
“เหตุใดหรือ? เจ้าผิดหวังที่ข้ายังไม่ตายสินะ?”
ฉู่หลิวเยว่ส่ายหน้าปฏิเสธอย่างจริงใจ
“ไม่ใช่หรอก ข้าแค่สงสัยเท่านั้นเอง หากเจ้าไม่อยากพูด จะไม่พูดก็ได้”
ความจริงแล้วนางก็อยากรู้เป็นอย่างมาก หลังจากชีพจรทั่วทั้งร่างกายถูกทำลาย ภายในช่วงเวลาสั้นๆ หนานอวี่สิงสามารถฟื้นฟูและทะลวงด่านได้สำเร็จได้อย่างไร
ต่อให้เป็นนาง นางก็ไม่มีความสามารถที่จะทำอย่างนั้น
หนานอวี่สิงหัวเราะเสียงเย็น
“ฉู่หลิวเยว่ หรงซิว! พวกเจ้าสังหารน้องสาวของข้า ตอนนี้ยังหัวเราะกันออกอีกหรือ?”
ฉู่หลิวเยว่หันไปสบสายตากับหรงซิว
หนานอีอี?
พวกเขาฆ่านางตั้งแต่เมื่อใดกัน?
มั่วอวิ๋นที่ตั้งใจจะสังเกตการณ์อยู่ด้านหลัง แต่เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้นเขาก็หน้าเปลี่ยนสีไป!
สองคนนี้…
………………..