ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1891 มาทันเวลาพอดี
ตอนที่ 1891 มาทันเวลาพอดี
………………..
เปลวไฟสีน้ำเงินนั่นหมุนวนรอบตัวของฉู่หลิวเยว่ ไม่เพียงแต่ไม่ได้ทำร้ายนาง แต่กลับสกัดกั้นพลังส่วนใหญ่ของทัณฑ์สวรรค์ไว้อีกด้วย!
นางพุ่งออกมาจากตรงเปลวไฟที่ผสานกันและแทบไม่เป็นอะไรเลยแม้แต่น้อย!
หลังจากนั้นนางกับถวนจื่อบินขึ้นไปในทันที!
ด้วยความเร็วที่สุด!
พลังร้ายกาจที่เคลื่อนไหวอย่างบ้าคลั่งตรงบริเวณรอบๆ นั่น แต่ไม่ได้ทำให้ระดับความเร็วของนางลดลงแม้แต่น้อย
มั่วอวิ๋นมีสีหน้าหมองลงราวกับถูกคนตบเข้าที่หน้าอยู่หลายครั้ง!
บนใบหน้าร้อนผ่าวด้วยความเจ็บปวด!
แสงไฟบนยอดเขาพุ่งขึ้นไปบนฟ้า มันแทบจะแยงตาจนไม่อาจะมองมันได้ตรงๆ
อีกทั้งมั่วอวิ๋นในขณะนี้ยังอยู่ในอาการตกตะลึงอย่างขีดสุด จึงทำให้มองไม่เห็นแสงวาบผ่านโล่สีดำในมือของฉู่หลิวเยว่
ขณะนี้ภายในจิตใจของเขาเหมือนว่างเปล่า
ตั้งแต่แรกที่ทัณฑ์สวรรค์ไม่ได้โจมตีที่ร่างของนางก็เท่านั้น
ทว่าเมื่อครู่ทัณฑ์สวรรค์นั่นก็ฟาดลงมาบนหัวของนางอย่างชัดเจน!
เหตุใดฉู่หลิวเยว่ถึงไม่เป็นอันใดเลย
คือเปลวไฟนั่น…
คือเปลวไฟนั่น!
จู่ๆ แสงสีขาวก็เขามาในใจของมั่วอวิ๋น!
เขาหยั่งรู้ขึ้นมากระทันหัน!
ฉู่หลิ่วเยว่สามารถควบคุมเปลวไฟสีน้ำเงินที่แปลกประหลาดจากใต้ภูเขานั่นได้แล้วจริงๆ!
ของที่ซ่อนอยู่ข้างใต้นั่น…ได้ในอยู่ในมือของนางแล้วเป็นแน่!
ที่สำคัญกว่านั้นคือการลงมือของนางทำให้พวกเขาเพิ่งรู้ว่าไม่เพียงแต่ยอดเขาหลานชิงเท่านั้น ภูเขารอบๆ ก็ล้วนเชื่อมโยงเกี่ยวพันกันกับของสิ่งนั้น!
ความทรมานที่แสนเจ็บปวดมานานเช่นนี้ ทั้งเมื่อก่อนและตอนนี้ไม่รู้ว่ามีคนบาดเจ็บล้มตายเสียหายไปมากมายเพียงใด สุดท้ายนึกไม่ถึงเลยว่าจะถูกฉู่หลิวเยว่ที่เพิ่งมาถึงท่าเรือดอกท้อนำหน้าไปก่อนแล้ว!
มั่วอวิ๋นกลืนความโล่งอกนี้ลงไปได้เช่นไร!
เขากัดที่ปลายลิ้นในทันทีจนเลือดไหลออกมาเต็มปาก!
การสังเวยเลือดบนท้องฟ้าจู่ๆ ก็ปั่นป่วนขึ้นมาอย่างรุนแรงอีกครั้ง!
และมีหมอกดำหนาทึบค่อยๆ ปรากฏขึ้นอยู่ภายใน
ทว่าปรากฏขึ้นเพียงชั่วครู่เท่านั่น ก็หายไปทันทีในพริบตาเดียว
เมื่อหรงซิวเหมือนคิดขึ้นมาได้จึงเงยหน้าขึ้นไปมองครู่หนึ่ง
หมอกดำนั่นหายไปอย่างเงียบๆ จนไม่สามารถงมองเห็นได้
ทว่าลมปราณที่เยือกเย็นและแน่นหนานั่น กลับทำให้นัยน์ตาของหรงซิวหรี่ลงเล็กน้อย
ลมปราณนี้ช่างคุ้นเคยยิ่งนัก…
เขาถอนสายตาหันกลับไปมองมั่วอวิ๋นอีกครั้งที่ทำท่าเหมือนคิดอะไรอยู่
จนกระทั้งบัดนี้มั่วอวิ๋นไม่เคยนำพลังแห่งสายเลือดของตัวเองออกมาใช้จริงๆ
เขายอมให้ตนเองสร้างความเสียหายอย่างยิ่งใหญ่ด้วยการบูชาเลือดหัวใจ แต่สัญลักษณ์โบราณเลือดกลับไม่ปรากฏขึ้นมาตรงระหว่างคิ้ว
น่าสนใจ…
“เจ้าสำนักกระบี่ทมิฬ ก็คือสกุลมั่วหรอกหรือ”
หรงซิวเอ่ยด้วยเสียงเรียบในทันที
น้ำเสียงของเขาที่เรียบเย็นและทุ้มต่ำ พร้อมด้วยสูงศักดิ์ที่มิอาจล่วงเกินได้ง่าย
เมื่อได้ยินเข้าหู ผู้คนให้คำตอบกลับในทันทีอย่างตั้งรับไม่ทัน
หรงซิวกำลังล่อลวงเขา!
เขาเงียบเสียงและกลืนคำพูดที่เหลือกลับไปในทันที
แต่ดูท่าทางของหนงซิว มันคือการยอมรับอย่างเงียบๆ
สุดท้ายแล้ว…
ริมฝีปากบางของหรงซิวยกขึ้นเล็กน้อย หางตาและปลายคิ้วกลับรู้สึกได้ถึงความหนาวเย็นเล็กน้อย
เมื่อก่อนเขาเคยคิดว่าสำนักกระบี่ทมิฬมีบางอย่างผิดปกติไป ดูเหมือนว่าเกี่ยวข้องกับทางด้านนั้นอยู่หลายส่วน
จึงหยั่งเชิงด้วยการก่อความวุ่นวายขึ้นจนได้คำตอบกลับในทันที
เมื่อเห็นสีหน้าของหรงซิว มั่วอวิ๋นจึงแอบกัดฟันกรอดๆ
บุรุษผู้นี้ช่างเจ้าเล่ห์และกลอุบายมากมายนัก!
หากเขาเดาอะไรออกได้จริงๆ คงอยู่ในสิ่งที่คาดเดาเอาไว้
แต่ทว่า…
มิรู้เป็นเพราะเหตุใดจนถึงตอนนี้ หรงซิวล้วนไม่ได้ทำอันใดอื่นเลยนอกจากขัดขวางพวกเขาไว้เป็นการหยั่งเชิงเหมือนก่อนหน้า
ดูเหมือนว่าเขาไม่ได้เป็นกังวลความปลอดภัยของฉู่หลิวเยว่ เพียงแต่เฝ้าสังเกตการณ์อย่างสงบนิ่งไม่แยแส
เขามั่นใจในตัวฉู่หลิวเยว่เกินไปนัก หรือว่าเตรียมการอย่างอื่นเอาไว้?
มั่วอวิ๋นรู้สึกไม่แน่ใจขึ้นมา
อันที่จริงนอกเหนือกจากชื่อเสียงของหรงซิว แน่นอนว่าไม่อาจรับมือได้ง่ายๆ
แต่บัดนี้คนที่ต้องการฆ่ามากที่สุด คือฉู่หลิวเยว่!
จึงมิอาจปล่อยให้นางอวดเก่งที่นี่ต่อไปได้อีก!
เมื่อคิดขึ้นมาได้มั่วอวิ๋บังคับฟื้นสติกลับมาและนำพลังของตนเองทั้งหมดลงไปในการสังเวยเลือด!
เสียงฟ้าร้องอันทรงพลัง!
ทัณฑ์สวรรค์ที่ทรงพลังยิ่งใหญ่และพลังแข็งแกร่งกว่าเดิมได้เคลื่อนตัวฟาดลงมา!
…
“สำนักทมิฬนี่มีความสามารถจริงๆ…”
บนยอดเขาสูงชัน ฉู่หลิวเยว่ยืนนิ่งอยู่กลางเขา นางหรี่ตาลงเล็กน้อยและมองไปยังท้องฟ้าที่อยู่ห่างไม่ไกลนัก
การต่อสู้ในครั้งนี้ยิ่งใหญ่กว่าวันที่สิบสามบุกเข้ามาที่พวกเขาเข้าไปโดยไม่รู้ตัว
แม้ว่าเป็นเทพศักดิ์สิทธิ์หลายท่าน แต่เกรงว่าก็มิอาจทำเรื่องเช่นนี้ได้ นับประสาอะไรกับบรรดาคนเหล่านั้นของสำนักกระบี่ทมิฬที่เป็นผู้แข็งแกร่งระดับเทพศักดิ์สิทธิ์ล้วนนับคนได้
หากรวมมั่วอวิ๋นในจำนวนผู้แข็งแกร่งระดับเทพศักดิ์สิทธิ์ของสำนักกระบี่ทมิฬในที่แห่งนี้ คงยังไม่มากเท่าคนตระกูลหนานด้วยซ้ำไป
แต่ฉู่หลิวเยว่มั่นใจว่าเทพศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นของตระกูลหนาน แม้จะร่วมมือกันแต่มิอาจทำให้เกิดทัณฑ์สวรรค์เช่นนี้ได้
หากสืบสาวราวเรื่องดูแล้วปัญหาคือพิธีที่เรียกว่าการสังเวยเลือด รวมทั้งกลุ่มคนของสำนักกระบี่ทมิฬนั่นอีกด้วย
อีกทั้งนอกจากทัณฑ์สวรรค์ที่ทำให้ตื่นตกใจแล้ว พวกเขายังควบคุมทัณฑ์สวรรค์ให้ฟาดลงมาที่นี่ได้
ก่อนหน้านี้นางตั้งใจหนีไปมาอยู่หลายครั้งก็เพื่อทดสอบหยั่งเชิง
สุดท้ายทัณฑ์สวรรค์เหล่านี้กลับติดตามนางลงมาได้!
ความสามารถเช่นนี้ ไม่ใช่ทุกคนสามารถมีได้
ดังนั้นฉู่หลิวเยว่จึงพึมพำประโยคเช่นนี้ออกมาก
แต่หลังจากได้รับรู้สิ่งนี้แล้ว จริงๆ ในใจของนางไม่ได้เกรงกลัวเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งดวงตากลับเปล่งประกายสว่างสดใส เผยให้เห็นความตื่นเต้นเล็กน้อย
“หากเป็นอย่างที่พูดจริงๆ…”
เช่นนั้นก็ดีมากทีเดียว!
ถวนจื่อเอียงตามองที่นาง
เมื่อสังเกตุเห็นจิตใจที่เตรียมโจมตีของนาง ถวนจื่อรู้สึกตื่นเต้นไปด้วยพลางขยับปีกไปมา เปลวเพลิงสีแดงทองลุกโหมไปทั่วทั้งร่างอย่างร้อนแรง
เห็นได้ชัดว่ากำลังอยู่ในสถานการณ์คอขาดบาดตาย แต่นางแทบไม่สนใจ แต่กลับชอบใจและตื่นเต้นด้วยซ้ำ
นี่คงไม่ได้มีปัญหาอะไรใช่หรือไม่
ฉู่หลิวเยว่จ้องมองทัณฑ์สวรรค์ที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ในขณะที่นางค่อยๆ จับกระบี่ชื่อเซียวในมือไว้แน่น
ชั่วครู่เดียวมุมปากของนางก็ยกขึ้นเล็กน้อย
“ถวนจื่อ! ไป!”
ยังไม่ทันสินเสียงถวนจื่อก็กางปีกบินขึ้นไป!
มุ่งตรงเข้าไปในภูเขาหลินที่ลึกขึ้น!
“อยากหนีหรือ ไม่ง่ายเช่นนั้นหรอก!”
มั่วอวิ๋นกัดฟันแน่น
ทุกคำเหมือนกัดฟันพูดเอามา!
ก่อนหน้าไม่คิดจะกระโดด บัดนี้เมื่อต้องการไป…
แย่แล้ว!
ต่อมาภายใต้การจ้องมองของดวงตาหลายคู่ ทัณฑ์สวรรค์นั่นพลันตกลงมาอย่างไม่ขาดสาย ทำให้ฉู่หลิวเยว่เกือบถูกตรึงจนตายอยู่ในภูเขาสูงแห่งนี้!
พลังอันน่าสะพรึงกลัวก่อตัวเป็นเกลียวคลื่นจนมองไม่เห็นและกระจัดกระจายไปทั่วทุกทิศทาง!
ในทันทีที่ต้นไม้ล้มลงดอกท้อสีชมพูขาวกับกิ่งก้านและใบไม้สีเขียวขจีมากมายนับไม่ถ้วนพลันลอยละล่องขึ้นไป!
ร่างที่ปกคลุมด้วยเปลวเพลิงสีแดงทองที่เคลื่อนตัวไปมาอย่างรวดเร็ว! สะบัดทัณฑ์สวรรค์เหล่านั้นทั้งหมดเอาไว้ด้านหลัง!
………………..