ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1899 นางจะทำลายท่าเรือดอกท้อ
………………..
มั่วหลินส่งเสียงกรีดร้องอย่างร้อนรนด้วยเสียงสั้นๆ เท่านั้น จากนั้นเสียงหายไปอย่างรวดเร็ว
ไม่นานเมื่อเลือดลมปราณจางหายไป ตำแหน่งกลางพิธีสังเวยเลือดหลงเหลือเพียงโครงกระดูร่างหนึ่ง!
บนกระดูกที่น่าสยดสยองมีเพียงเศษเนื้อเลือดสีแดงสดติดอยู่เล็กน้อย และมีเลือดไหลนองเต็มไปหมด
สีหน้าทุกคนเปลี่ยนไปมาก
คนส่วนหนึ่งในนั้นอดไม่ได้จนต้องหันไปอาเจียนออกมา
อันที่จริงสำหรับคนของสำนักกระบี่ทมิฬเท่านั้น ที่เคยเห็นเหตุการณ์นองเลือดอันโหดเหี้ยมเช่นนี้มาไม่น้อย
แต่เหตุการณ์ตรงหน้านี้กลับส่งผลกระทบอย่างมากต่อพวกเขา
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง…คนที่ตายคนนั้นคือมั่วหลิน!
เขาอาจเป็นคนสนิทของมั่วอวิ๋น!
เมื่อก่อนที่ยอดเขาหลานชิงเกิดเรื่องขึ้น มั่วหลินป้องกันได้ไม่ดีจนเกิดเรื่อราวร้ายแรงขึ้น มั่วอวิ๋นก็ไม่ถึงขั้นเอาชีวิตเขา แต่ยังให้โอกาสเขาทำคุณไถ่โทษ
แต่บัดนี้…
มั่วอวิ๋นลงมือด้วยวิธีที่อำมหิตและน่ากลัวเช่นนี้ด้วยการจบชีวิตมั่วหลิน!
คนสนิทอย่างใดกัน
ให้ความสำคัญอันใดกัน
ผู้ใดก็ตามที่ขัดคำสั่งของมั่วอวิ๋น ล้วนมีจุดจบเช่นนี้!
เดิมที่มั่วอวิ๋นก็เป็นคนเช่นนี้!
“ยังมีใครคัดค้านอีกหรือไม่”
มั่วอวิ๋นมองไปรอบๆ และถามขึ้นด้วยเสียงเรียบเย็น
ไม่มีใครพูดอันใด แม้ผู้ที่มีปฏิกิริยารุนแรงเหล่านั้นที่กำลังคลื่นไส้ต่างตกใจจนใบหน้าขาวซีดจึงรีบฝืนหยุดลงในทันที
แต่ว่าวันนี้ที่มั่วอวิ๋นลงมือในครั้งนี้ เป็นการปรับเปลี่ยนความเข้าใจของพวกเขาเสียใหม่!
ซากกระดูกของมั่วหลิน กำลังถูกบดขยี้ทีละน้อยๆ ด้วยพลังของการสังเวยเลือด
เสียงนั้นที่ได้ยินเหมือนผิดหวังอย่างมาก!
ในเวลานี้ใครจะกล้ายืนขึ้นและพูดคำว่า “ไม่” บ้างหรือ!
มั่วอวิ๋นพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ
สิ่งนี้คือผลที่เขาต้องการ
การเลี้ยงดูลูกน้องให้เชื่อสักฟังคนหนึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ว่า…หายไปก็ไม่มีอันใดต้องเสียดาย
ไม่เช่นนั้นต่อไปค่อยเลือกอีกครั้งก็พอ
อย่างใดในสำนักกระบี่ทมิฬ ที่ขาดแคลนที่สุดก็คือคน
มั่วอวิ๋นพันมือทั้งสองด้านหน้าตัวและเอ่ยขึ้น
“การสังเวยเลือดครั้งที่สอง…เริ่ม!”
…
เมฆดำที่อยู่บนฟ้ามารวมตัวกันมากขึ้นเรื่อยๆ
กลิ่นคาวเลือดหนาแน่นแทบจะทำให้คนรู้สึกสะอิดสะเอียดลอยคละคลุ้งอยู่ในอากาศ
ฉู่หลิวเยว่หันกลับมามองพลางขมวดคิ้วเล็กน้อย
การสังเวยเลือดนั่น… ราวกับมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย
มั่วอวิ๋นตัดสินใจอย่างแน่วแน่ ศึกตายในครั้งนี้จะต้องสังหารนาง!
แท้จริงแล้วทัณฑ์สวรรค์ที่พวกเขาเรียกมา นางกลับไม่รู้สึกกลัวอันใด
ทว่า…
ในใจของนางยังคงรู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้าง
เพราะระหว่างทางที่มานี้ความว่างเปล่ารอบๆ ตัวนางได้พังทลายลงเรื่อยๆ อยู่ตลอด
ดูเหมือนมันใกล้สิ้นสุดลงแล้ว…
ฉู่หลิวเยว่คิดบางอย่างอยู่ในใจ
ขอเพียงสามารถหาส่วนที่เหลือเจอโดยเร็วที่สุดและปล่อยให้สนิมบนโล่สีดํานี้ลอกออกอย่างสมบูรณ์ เรื่องนี้ก็จบลงทันที
เมื่อถึงเวลาความว่างเปล่าที่พังทลายลงของท่าเรือดอกท้อนี้ ก็น่าจะสามารถฟื้นคืนตัวเองได้…
ทันใดนั้นความผันผวนเล็กๆ มาจากขอบฟ้าที่ห่างไกล
ในใจของฉู่หลิวเยว่สั่นไหวพลางมองไปยังท้องฟ้าที่ห่างไกลนั่น
ตำแหน่งที่บรรจบกันระหว่างสวรรค์และโลก คือค่ายกลท่าเรือดอกท้อที่เชื่อมลงมาจากสวรรค์
แต่เมื่อครู่ที่มีการสั่นไหวคงมาจากทางด้านนั้นเป็นแน่
ฉู่หลิวเยว่รู้สึกใจคอไม่ดีขึ้นมาเล็กน้อย
นี่คือ…
แม้แต่ค่ายกลยังได้รับผลกระทบหรือ
เวลาไม่คอยท่าเช่นนี้จะต้องรีบสู้ให้จบโดยเร็ว!
เมื่อความคิดนี้แวบขึ้นมาในหัว ฉู่หลิวเยว่จึงโคจรพลังในร่างกายอีกครั้ง! และมุ่งตรงไปข้างหน้าด้วยความเร็วยิ่งขึ้น!
…
การเคลื่อนไหวทางด้านนี้ ช่างหนักหนาจริงๆ เพียงไม่นานกลับสร้างความตื่นตระหนกให้หลายคนในเมืองท่าเรือดอกท้อนี้ได้
“ทางนั้น…เกิดอันใดขึ้น!”
“เจ้ายังไม่รู้หรือ นั่นคือสำนักกระบี่ทมิฬคนที่ตามฆ่าฉู่หลิวเยว่”
“จวนเยว่? หัวหน้าซาน? เป็นไปได้อย่างใด! ความสัมพันธ์ของสำนักกระบี่ทมิฬและหัวหน้าซานดีเสมอมาไม่ใช่หรือ เหตุใดจู่ๆ สำนักกระบี่ทมิฬถึงได้ลงมือกับคนของจวนเยว่เช่นนี้”
“หรือนี่เป็นเรื่องโกหก? เขาเห็นกับตาว่าพวกเขาไล่พวกเขาออกมาจากเมือง! นอกจากสำนักกระบี่ทมิฬ และยังมีอีกกลุ่มหนึ่งที่ดูเหมือนจะเข้ามามีส่วนร่วมและไล่ตามฆ่าไปด้วยกัน!”
“ไม่ใช่ว่าคนพวกนั้นล้วนเป็นเพื่อนของหัวหนาซานรึ”
“ฮึ เพื่อนอย่างใดกัน ในบรรดาคนเหล่านั้นมีองค์ชายหรงซิวจากพระราชวังเมฆาสววรค์ รวมทั้งพระชายยาองค์ใหม่ผู้นั้นของเขา…ซั่งกวนเยว่! สำนักกระบี่ทมิฬและตระกูลหนานที่ร่วมกันไล่ตามฆ่าในครั้งนี้ ก็เป็นเพราะพวกคนสองคนนี้!”
เมื่อคำพูดนี้ออกมา เพียงชั่วครู่ทำให้คนไม่น้อยสูดไอเย็นเข้าไป
หรงซิว!
ซั่งกวนเยว่!
ชื่อทั้งสองนี้ ทุกคนที่อาณาจักรเสิ่นซวี่ เหมือนดังก้องในหูใกล้ๆ
แม้แต่ท่าเรือดอกท้อที่อยู่ริมขอบเขตแดน ยังได้ยินข่าวลือเช่นกัน!
ไม่สามารถทำอันใดได้เลย เรื่องที่เกิดขึ้นในพิธีแต่งงานของสองคนนั้น ช่างเป็นเรื่องน่าตกใจอย่างมากจริงๆ
ด้วยเหตุนี้ทุกคนจึงยิ่งไม่เข้าใจมากขึ้น
“นึกไม่ถึงว่าจะเป็นพวกเขาสองคนนี้! เมื่อไม่นานมานนี้พวกเขาเพิ่งจะแต่งงานกันที่พระราชวังเมฆาสวรรค์ไม่ใช่หรือ เหตุใดจู่ๆ ถึงได้มาท่าเรือดอกท้อเล่า”
“คนผู้นี้…ข้ากลับได้ยินมาว่าหัวหน้าซานเหมือนจะเป็นคนของซั่งกวนเยว่…”
“นี่ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ ประเด็นสำคัญคือ…หรงซิวกับซังกวนเยว่ ไม่ใช่ว่าเขามีความสัมพันธ์อันดีกับอสูรศักดิ์สิทธิ์ระดับบรรพกาลหรอกหรือ พวกเขาต้องการทำอันใดกันแน่ ถึงได้ทำให้สำนักกระบี่ทมิฬและคนของตระกูลหนานไม่พอใจเช่นนี้ และยอมขัดขวางการดำรงอยู่ขอสิ่งนั้น ดีกว่าฆ่าทั้งสองคนทั้งหมดเช่นนั้นหรือ”
นี่คือสิ่งที่ทุกคนล้วนคิดไม่ตก
“ดูเร็ว! เหมือนพวกเขายังคงต่อสู้กันอยู่!”
จู่ๆ มีเสียงอุทานดังขึ้นท่ามกลางกลุ่มคน!
ทุกคนมองดูกันและสีหน้าก็พลันเปลี่ยนไป
ท้องฟ้าที่ห่างไกลถูกปกคลุมด้วยเมฆดําที่ซ้อนกันเป็นชั้น ๆ มานาน
ทัณฑ์สวรรค์มากมายที่เหวี่ยงไปมา ช่างทรงพลังอย่างน่าประหลาดใจ!
การปะทะกันของพลังอันน่าสะพรึงกลัวจึงทำให้ความว่างเปล่าที่ไม่สิ้นสุดพังทลายลงอย่างต่อเนื่อง!
แต่ในขณะนี้ร่างที่สง่างามที่สวมชุดแดงกำลังพุ่งไปด้วยความเร็วกลางท้องฟ้า!
ทุกที่ที่ผ่านไปดาวกระจายที่เกี่ยวพันกันทั้งสีเงินและสีแดงของทั้งสองสี ราวกับแม่น้ำที่ไหลเชี่ยว!
“นั่นคือ…อาณาเขตเซียนเทพหรือ!”
มีคนพูดพึมพำด้วยเสียงทุ้มต่ำอย่างอดไม่ได้ที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ
“ไม่ใช่ว่าซั่งกวนเยว่เป็นเพียงเทพขั้นสูงหรอกหรือ เหตุใดถึงสร้างอาณาเขตเซียนเทพที่น่ากลัวเช่นนี้ออกมาได้!”
พวกเขาอยู่ห่างไกลจากที่นั่นและระยะทางค่อนข้างไกลนัก ทว่ากลับมีความแตกต่างของพลังปราณและการบีบคั้นของคนที่น่าสนใจผู้นั้น
“ไม่ได้การแล้ว! ค่ายกลของท่าเรือดอกท้อ ใกล้จะพังทลายแล้ว!”
มีคนตะโกนขึ้นด้วยความตกใจ
“นางต้องการทำลายท่าเรือดอกท้อให้สิ้นซากหรือ!”
………………..