ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1904 แผดเผาสวรรค์
ตอนที่ 1904 แผดเผาสวรรค์
………………..
ลั่วเหยี่ยนและคนอื่นๆ วางแผนจะหลบหนีจากความวุ่นวายนี้ แต่ก็ถูกพลังที่บ้าคลั่งพุ่งกลับมาจนเสียหาย!
เห็นท้องฟ้าที่กำลังพังทลายลงเรื่อยๆ จนได้ยินเสียงถล่มดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ลั่วเหยี่ยนรู้สึกเพียงร่างกายตนเองเหมือนถูกฉีกและรัดคอจากพลังนับไม่ถ้วน
เขาโคจรพลังอย่างรวดเร็วเพื่อสร้างค่ายกลคลุมรอบตัวเขา!
แต่พลังที่โจมตีอย่างน่ากลัวนั่น ยังคงสร้างความหวาดผวาต่อผู้คน!
แม้แต่พวกเขายังต้องรวบรวมพลังทั้งหมดภายในร่างกายถึงสามารถฝืนยึดมั่นให้อยู่ทีเดิมได้โดยไม่ถูกพลังจากทุกทางพัดออกไป!
ลั่วเหยี่ยนกำมือทั้งคู่ไว้แน่น หัวใจเต้นแรงจนแทบจะออกมาจากอก!
ค่ายกลท่าเรือดอกท้อได้พังทลายลง พวกเขาไม่มีทางออกไปได้แล้ว!
สำนักกระบี่ทมิฬและฉู่หลิวเยว่ต้องการฝังทุกคนไปพร้อมกับพวกเขา!
…
ในขณะเดียวกันทุกคนในเมืองต่างรับรู้สึกความผิดปกติ จึงค่อยๆ แหงนหน้าขึ้นไปมอง
“แย่แล้ว! ค่ายกลของท่าเรือดอกท้อถูกทำลายแล้ว!”
เมื่อคำนั่นเอ่ยออกมาคนนับไม่ถ้วนเริ่มตื่นตระหนกและรีบหลบหนีออกจากท่าเรือดอกท้อ
อีกทั้งพลังระหว่างสวรรค์และโลกไร้การควบคุมโดยสิ้นเชิง!
ผู้ที่พลังแข็งแกร่งอยู่บ้างเล็กน้อยยังสามารถยึดให้มั่นเอาไว้ได้ แต่หากพลังไม่แข็งแกร่งพอก็จะเริ่มเกิดปฏิกิริยาต่างๆ ขึ้น
ใบหน้าขาวซีด หายใจติดขัด และไม่อาจทนต่อแรงบีบคั้นของพลังมิติที่พลังทลายลงอย่างรวดเร็วนี้ได้
จนกระอักเลือดออกมาไม่หยุด
ในที่สุดสถานการณ์ก็เลวร้ายอย่างมาก
ในสำนักกระบี่ทมิฬมีแต่คนตายมากมายนับไม่ถ้วน
ความตั้งใจของทุกคนในเมืองก่อนหน้านี้ ทั้งหมดต่างเร่งรีบมาและล้อมสำนักกระบี่ทมิฬเอาไว้ ทั้งสองฝ่ายเกิดการต่อสู้กันอย่างรุนแรงดุเดือดขึ้น!
คนบาดเจ็บล้มตายนับไม่ถ้วน
ภายในอากาศเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดที่หนาแน่นจนแทบหายใจไม่ออก
สำนักกระบี่ทมิฬต้องการฆ่าพวกเราทั้งหมด!”
ต้วนชิงเฉวียนเป็นคนแรกที่ตอบโต้และตะโกนด้วยเสียงทุ้ม!
ทุกคนค่อยๆ มีปฏิกิริยาตอบโต้กลับมา
ใช่!
ถ้าหากสำนักกระบี่ทมิฬไม่ยืนกรานที่จะไล่ฆ่าหรงซิวกับฉู่หลิวเยว่ ถ้าหากพวกเขาไม่สร้างค่ายกลที่แปลกประหลาดและน่ากลัวนั่น ถ้าหากไม่สนใจและไม่ทำให้เกิดทัณฑ์สวรรค์ที่พลังแปลกประหลาดนั่น
ค่ายกลของท่าเรือดอกท้อจะพังทลายลงได้อย่างใด!
ทุกคนคงไม่ต้องตกอยู่ในสถานการณ์ย่ำแย่ทั้งความเป็นและความตายเช่นนี้!
ความโกรธและความแค้นที่รุนแรงได้เติมเต็มหัวใจของทุกคน!
ที่แท้คนของสำนักกระบี่ทมิฬกำลังตกอยู่สภาวะไร้กำลังและหมดหนทางจนรู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่เหน็บหนาวและตึงเครียด จนพวกเขารู้สึกขี้ขลาดขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว
เมื่อเวลาเช่นนี้มาถึงพวกเขาจึงเข้าใจว่ามั่วอวิ๋นและคนอื่นๆ ไม่คิดที่จะกลับมาช่วยพวกเขา
แม้กระทั่งความเป็นความตายของพวกเขาก็ไม่ได้สนใจ!
“ค่ายกลพังทลาย จนพวกเราถูกปิดล้อมอยู่ที่นี่แล้ว!”
คนกลุ่มแรกที่ตอบสนองด้วยการพยายามหลบหนีจากท่าเรือดอกท้อ ทั้งหมดถูกหยุดด้วยความวุ่นวายในมิติที่ทับซ้อนกัน
ในกลุ่มพวกเขายังมีบางคนที่ถูกกลืนกินอย่างโหดเหี้ยมจากความว่างเปล่าที่พังทลาย และไม่สามารถออกมาได้อีก
เมื่อได้ยินเสียงคนเหล่านี้ที่ต่อสู้ดื้นรนและกรีดร้องอย่างเจ็บปวดก่อนตาย คนด้านหลังจึงอดไม่ได้ที่จะแสดงความขี้ขลาดออกมาก
“แย่แล้ว…ท่าเรือดอกท้อจบสิ้นแล้ว! วันนี้พวกเราจะตายอยู่ที่นี่!”
“ต่อให้วันนี้ข้าต้องตาย ก็จะลากคนที่อยู่เบื้องหลังของสำนักกระบี่ทมิฬออกมา!”
ในกลุ่มคนที่เงียบไป มิรู้ว่าเป็นใคร จู่ๆ ก็พูดออกมาประโยคหนึ่งด้วยเสียงตะคอกอย่างรุนแรง
ประโยคนี้เหมือนประกายไฟที่ร่วงหล่นลงมาและเปลวไฟก็ลุกโชนขึ้นในทันที!
การต่อสู้กันของทั้งสองฝ่ายยิ่งรุนแรงมากขึ้น!
เมื่อคนของสำนักกระบี่ทมิฬต้องเสียเปรียบ ในเวลานี้ผู้คนโกรธเคืองและยิ่งพ่ายแพ้อย่างย่อยยับ!
…
ไม่เพียงแต่สำนักกระบี่ทมิฬเท่านั้น ในขณะนี้ท่าเรือดอกท้อทั้งหมดได้ตกอยู่ในความสับสนวุ่นวายแล้วเช่นกัน
บนทางคนมากมายนับไม่ถ้วนต่างวิ่งหนีไปมา
แต่ละคนเหยียบกัน ชนกัน ฆ่ากัน…เกิดขึ้นอย่างไม่สิ้นสุด
เมื่อรับรู้ว่าท่าเรือดอกท้อกำลังเข้าสู่วิกฤตความเป็นความตายจึงไม่มีใครที่ควบคุมสติอารมณ์ได้
ในตอนแรกยังมีคนมากมายที่พยายามหลบหนีออกจากค่ายกลที่พังทลาย แต่หลังจากที่มีคนกลุ่มแรกตายไป จากนั้นผู้คนทางด้านหลังจึงไม่กล้าเคลื่อนไหวโดยไม่ไตร่ตรองให้ดี
พวกเขาหนีไปเพื่อมีชีวิตรอด ไม่ใช่เพื่อตาย!
ผู้คนมากมายเลือกที่จะยอมแพ้อย่างสิ้นหวัง
…
ลานภายในสำนักกระบี่ทมิฬต้วนชิงเฉวียนชำนาญการใช้มีดอย่างรวดเร็ว
ใต้เท้าของเขามีศพของคนในสำนักกระบี่ทมิฬตายเกลื่อนและนอนขวางเต็มไปหมด
เสียงต่อสู้รอบๆ ยังคงดังอย่างต่อเนื่อง
แทบเหมือนกับนรกบนดิน
“พี่ต้วน ค่ายกลพังทลายลงแล้ว พวกเราต้องคิดวิธีถอยแล้วหรือไม่”
มีคนถามขึ้นอย่างตื่นตกใจ
คนจำนวนมากได้ยินเข้าจึงมองกลับมา
หลังจากเหตุการณ์ในครั้งนี้หลายคนจึงถือว่าต้วนชิงเฉวียนเป็นที่พึ่งพาของพวกเขาโดยไม่รู้ตัว
ดังนั้นเรื่องที่เกิดขึ้นในเวลานี้ พวกเขาจึงถามความคิดเห็นของต้วนชิงเฉวียนขึ้นในทันที
ต้วนชิงเฉวียนแทงคนในสำนักกระบี่ทมิฬจนตายขณะที่เขากำลังหลบหนี
เลือดอุ่นๆ กระเช็นบนใบหน้าของเขา
เขายกแขนขึ้นและเช็ดรอยเลือดออก
“ถอย? ถอยอย่างใด ถอยได้ที่ไหน”
เสียงของเขาสงบราบเรียงนัก
คนที่อยู่ท่าเรือดอกท้อมานานพอ ล้วนรู้ดีว่าสถานการณ์ในเวลานี้ช่างเลวร้ายเพียงใด
ถึงแม้ว่าพวกเขาจะอยู่ฝั่งสำนักกระบี่ทมิฬมาโดยตลอด แต่ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับสถานการณ์ภายนอก
คนที่พยายามถอนตัวเหล่านั้นล้วนจบลงด้วยความล้มเหลวทั้งสิ้น
ในหมู่พวกเขามีผู้ทรงพลังแข็งแกร่งมากมาย
เรื่องราวทั้งหมดนี้ล้วนพิสูจน์ได้ว่าพวกเขาต้องการออกจากที่นี่อย่างปลอดภัย และมันเป็นแค่ฝันเท่านั้น!
“เช่น…เช่นนั้นพวกเราก็…รอความตายอยู่ที่นี่ไปตลอดก็แล้วกัน”
“ใช่นะสิ! แม้แต่วิธีเล็กน้อยก็ล้วนไม่มีเลยหรือ คนมากมายเช่นนี้ที่ท่าเรือดอกท้อ…”
“ไม่เช่นนั้นพวกเราร่วมมือกัน? บางทีอาจจะมีโอกาสอยู่บ้าง?”
เมื่อเห็นท่าทางของต้วนชิงเฉวียนกลับไม่ได้ยินดีนัก หลายคนจึงตื่นตระหนกขึ้น
ทุกคนต่างพูดคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง
แม้ว่าบางคนตัดสินใจที่จะตาย แต่คนส่วนใหญ่ก็ยังหวังว่าจะมีชีวิตรอดปลอดภัยต่อไป
ต้วนชิงเฉวียนเงยหน้าขึ้นมาในทันทีและมองไปทางขอบฟ้า
“หากว่า…มีคนสามารถฟื้นคืนค่ายกลท่าเรือดอกท้อได้ บางทีเราอาจจะยังมีโอกาสรอด”
ทุกคนตกอยู่ในความเงียบสงัด
สถานการณ์เช่นนี้พวกเขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยหรือ
แต่จุดสำคัญคือ…
เดิมทีเรื่องนี้ช่างอธิบายได้ยากนัก!
ค่ายกลของท่าเรือดอกท้อไม่ได้ถูกสร้างขึ้นโดยมนุษย์ แต่เป็นสิ่งที่อยู่ตามธรรมชาติ!
พันปีก่อนที่ท่าเรือดอกท้อไม่เคยถูกใครครอบครองได้เลยจริงๆ เป็นเพราะค่ายกลนี้ที่ยังอยู่!
บัดนี้ค่ายกลพังทลายและความว่างเปล่าพังทลายลง ท่าเรือดอกท้อที่เหลือล้วนตกอยุ่ในความโกลาหล
ใครจะสามารถฟื้นคืนค่ายกลได้
ทุกคนในวลานี้ล้วนเป็นเพียงแมงเม่าตัวหนึ่ง แม้แต่การต่อสู้ล้วนไร้ซึ่งพลังพิเศษใดๆ
ใครจะสามารถช่วยได้
ท้องฟ้ายังคงพังทลายไม่หยุด พื้นดินสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
มิติกําลังหดตัวและบีบรัดเข้าสู่ภายในอย่างต่อเนื่อง
ทุกคนที่อยู่ข้างในรู้สึกถึงแรงกดดันที่หายใจไม่ออกนั้นไม่มากก็น้อย
คนที่ทนกับความกดดันนี้ไม่ไหวยิ่งมากขี้นเรื่อยๆ จนค่อยๆ ล้มลง
คนของสำนักกระบี่ทมิฬถูกฆ่าไปไม่น้อยแล้ว
แต่จะมีประโยชน์อันใด
ท่าเรือดอกท้องถูกทำลายลงแล้ว และพวกเขาทุกคนล้วนต้องตายที่นี่!
ต้วนชิงเฉวียนจับดาบยาวเอาไว้ในมือแน่น เม้มรีมฝีปากแน่นและมองไปยังท้องฟ้าอันห่างไกลราวกับรอบางอย่าง
…
เปรี้ยง!
จู่ ก็มีเสียงดังสนั่นขึ้นมา!
ทันใดนั้นมาเปลวไฟสีน้ำเงินบางๆ ก็พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า!
แต่ภายใต้ภูเขาสูงที่กำลังแตกออกจากกัน เปลวไฟก็พุ่งออกมาในทันที!
เหตุการณ์เช่นเนี้เมื่อก่อนมั่วอวิ๋นและคนอื่นๆ เคยเห็นมามากมายหลายครั้ง ดังนั้นในเวลานี้พวกเขาจึงไม่ได้สนใจอันใด
แต่ไม่รอให้พวกเขาได้โต้กลับ เปลวไฟจำนวนนับไม่ถ้วนก็ระเบิดออกมาราวกับลูกกระสุนบนภูเขาสูงที่มีหุบเขาทอดเป็นแนวกั้นยาว!
เปรี้ยงงง!
เปลวไฟที่บ้าคลั่งและแปลกประหลาดลุกโชนจนฟ้ามืดมัวดิน!
………………..