ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1917 ตระกูลอี้ / ตอนที่ 1918 ร่วมมือ
ตอนที่ 1917 ตระกูลอี้
“ให้ตายเถอะ! เด็กน้อยของเรา!”
ซานซานเห็นดังนั้นก็รู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวในทันที
น้องแปดกลอกตามองบน
“จะกรีดร้องเพื่อเหตุใด? มันก็แค่พลังส่วนหนึ่งของพื้นที่มิติขนาดเล็กพวยพุ่งไม่ใช่หรือ? สำหรับท่าเรือดอกท้อแล้วถือว่าเป็นเรื่องดี สำหรับนายท่านแล้วก็เป็นเรื่องดี เจ้าอย่าทำให้เสียเวลา!”
กล้ามเนื้อบนใบหน้าของซานซานกระตุกขึ้น ทำท่าทางน้อยใจ
แม้ว่าน้องแปดจะเป็นรุ่นน้อง แต่คนในสิบสามผู้พิทักษ์เยว่กล้าเถียงกับนางนั้น นอกจากพี่ใหญ่แล้วก็ไม่มีคนอื่นอีก
ต่อให้เขามีฐานะเป็นพี่สาม แต่ก็ไม่มีข้อยกเว้น
“…ข้ารู้…ข้าก็แค่ปวดใจเท่านั้น!”
ไม่ต้องคิดก็รู้ว่า หากมีพลังหลอมเลี้ยงภายในพื้นที่มิติขนาดเล็ก ท่าเรือดอกท้อที่เกือบจะถูกทำลายทั้งหมด ก็สามารถฟื้นฟูกลับมาได้อย่างรวดเร็ว
อีกทั้งตลอดสองฟากฝั่งของลำธาร หากไม่มีสิ่งใดผิดพลาดแล้วล่ะก็ จากนี้น่าจะมีวัตถุวิเศษจำนวนมากปรากฏขึ้น
ซึ่งนั่นสามารถทำเงินได้อย่างมหาศาล!
ขอเพียงแค่พลังปราณตั้งต้นของท่าเรือดอกท้อสามารถฟื้นคืนได้ในเร็ววัน ก็จะเป็นเรื่องดีสำหรับนายท่านอย่างมาก
“หลังจากวันนี้ไป ท่าเรือดอกท้อทั้งหมดก็จะกลายเป็นของนายท่านแล้ว…”
สิบสามพูดเสียงต่ำ
ใบหน้าอ่อนเยาว์และไร้เดียงสาของเขายังปรากฏความตกตะลึงไม่จางหาย
เขารู้ว่านายท่านแข็งแกร่ง
แต่หลายปีที่ผ่านมานี้ ส่วนใหญ่แล้วเขาติดตามพี่ใหญ่อยู่ตลอด
ช่วงเวลาที่ติดตามอยู่ข้างกายนายท่านนั้นน้อยมากจนน่าสงสาร
กอปรกับเขาอายุยังน้อยจึงแทบจะไม่เคยเห็นฉู่หลิวเยว่ลงมือด้วยตนเอง
ครั้งนี้เขาจึงรู้สึกตกตะลึงมากโดยไม่ต้องสงสัย!
คิ้วของเฉินอีผ่อนคลายความตึงเครียดลง ในแววตาที่เคยราบเรียบปรากฏรอยยิ้มขึ้น
เดิมทีที่นายท่านมาในครั้งนี้ก็เพื่อของสิ่งนี้
เพียงแต่คิดไม่ถึงเลยว่า หลังจากผ่านเหตุการณ์พลิกผัน ภารกิจของพวกเขาจะลุล่วงอย่างราบรื่นก่อนเวลา
อีกทั้งยังสามารถยึดครองท่าเรือดอกท้อได้ทั้งหมด!
ตัวเลือกที่ซานซานจัดเตรียมไว้ให้ก่อนหน้านี้ นายท่านไม่ชอบเลยแม้แต่แห่งเดียว
บัดนี้สามารถถ้าจัดการอันตรายภายในท่าเรือดอกท้อออกไปได้แล้ว และนายท่านก็รับช่วงต่อได้โดยตรง
ไม่มีผลลัพธ์ไหนที่ดีไปกว่านี้แล้ว
…
ตระกูลหนาน
ภายในห้องหนังสือ หนานอีฝานยืนอยู่อย่างเงียบเชียบ
ตอนนี้เป็นเวลากลางคืนแล้ว ดวงจันทร์ลอยเด่น แสงจันทร์ที่กระจ่างใสเยือกเย็นราวธารา สาดส่องผ่านบานหน้าต่างเข้ามา ทำให้เงาร่างของเขาทอดยาว
จากกลางวันจนถึงกลางคืน เขายืนอยู่ท่านี้มาตลอดหนึ่งวันเต็มแล้ว
ลมหนาวพัดพา ทั่วทั้งร่างเย็นยะเยือก
แต่หนานอีฝานกลับไม่รู้สึกตัวเลยแม้แต่น้อย
เขาก้มศีรษะลงเล็กน้อย ใบหน้าซ่อนอยู่ในความมืดจนทำให้มองเห็นไม่ชัดเจน
ก๊อกๆ
เสียงคนเคาะประตูดังขึ้น
คนที่พูดนั้นคือคนสนิทของเขา และเป็นผู้อาวุโสคนหนึ่งภายในตระกูลหนาน
ภายในน้ำเสียงมีความกังวลที่ยากจะปกปิด
จริงแล้วสำหรับผู้แข็งแกร่งระดับพวกเขา แค่ไม่กินข้าววันเดียว ก็ไม่มีทางเป็นอะไรแน่นอน
แต่ที่ผู้อาวุโสท่านนี้เป็นกังวล เพราะเขาสังเกตเห็นถึงความผิดปกติของหนานอีฝาน
ครั้งที่แล้วในงานฝังศพของหนานอีอีเขาก็เป็นเช่นนี้
แต่ในตอนนั้น เขายืนอยู่อย่างนี้เพียงครึ่งวัน
ทว่าในครั้งนี้…
เห็นได้ชัดว่ามีอะไรบางอย่างเกิดขึ้น และเรื่องนี้น่าจะร้ายแรงกว่าความตายของหนานอีอี!
หัวใจของผู้อาวุโสที่ยืนอยู่ด้านนอกประตูร้อนเหมือนไฟสุมทรวง
หนานอีอีเป็นลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของหนานอีฝาน
จะมีอะไรร้ายแรงไปกว่าการตายของนางได้อีกเล่า
ผู้อาวุโสท่านนี้รู้ว่าลั่วเหยี่ยน หนานอวี่สิง และคนอื่นๆ เดินทางไปที่ท่าเรือดอกท้อ
ดังนั้นตอนนี้เขาจึงรู้สึกอกสั่นขวัญแขวนมากเป็นพิเศษ
เขาอยากจะถามให้กระจ่าง แต่ก็มิกล้า
“เจ้ากลับไปก่อนเถอะ”
หลังจากผ่านมาสักพัก ในที่สุดหนานอีฝานก็พูดขึ้น
น้ำเสียงของเขาทุ้มต่ำ แหบพร่า
ผู้อาวุโสที่รออยู่ด้านนอกประตูขยับริมฝีปากเล็กน้อย ความไม่สบายใจรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรออกมา จึงได้แต่ตอบรับว่า
“ขอรับ”
ในตอนที่เขากำลังจะหมุนตัวจากไป เขากลับได้ยินเสียงหนานอีฝานพูดว่า
“ช้าก่อน”
ต่อมาเขาก็ได้ยินเสียงเปิดประตู
ผู้อาวุโสคนนั้นรีบหันกลับไปมอง จากนั้นก็เห็นว่าหนานอีฝานเปิดประตูแล้วเดินออกมา
“เจ้ารออยู่ที่นี่ ข้าจะเดินทางไปที่ตระกูลอี้”
ตอนที่ 1918 ร่วมมือ
ผู้อาวุโสคนนั้นได้ยินดังนั้นก็ตกใจ
“ท่านประมุขหมายถึง…ตอนนี้หรือ”
หนานอีฝานพยักหน้า
“แต่…”
ตอนนี้เป็นเวลาพลบค่ำแล้ว!
แต่ผู้อาวุโสไม่ได้พูดคำพูดนี้ออกไป
เพราะหนานอีฝานเงยหน้าขึ้นแล้วหันมองเขา
เวลาผ่านไปเพียงแค่วันเดียว หนานอีฝานกลับดูแก่ขึ้นสิบปี
ภายใต้แสงจันทร์ที่กระจ่างใส ผู้อาวุโสสามารถมองเห็นผมหงอกขาวบริเวณขมับของอีกฝ่ายได้ในทันที
ใบหน้าที่เคยเปี่ยมไปด้วยพลัง ตอนนี้เหลือเพียงความซีดเซียวเท่านั้น
แม้ว่าแสงไฟจะสลัว แต่ผู้อาวุโสก็สามารถเห็นดวงตาที่แดงก่ำจากเส้นเลือดฝอยของหนานอีฝานได้อย่างชัดเจน
ทันทีที่สบสายตากับหนานอีฝานเขาก็พูดอะไรไม่ออกทันที
ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สามารถพูดคำพูดที่เหลือออกมาได้
ไม่รู้ว่าเขาควรจะบรรยายความรู้สึกเหล่านี้อย่างไร
อ้างว้าง อ่อนแอ เสียใจ โกรธแค้น…
เหมือนว่าอารมณ์ด้านลบทั้งหมดจะมารวมตัวกันอยู่ที่นี่
ลมปราณที่หนักหน่วงแผ่ออกมาจากร่างกายของหนานอีฝาน
แทบจะทำให้ผู้คนหายใจไม่ออก
“เดี๋ยวนี้!”
หนานอีฝานพูดขึ้น
หัวใจของพวกอาวุโสกระตุกวูบ จากนั้นก็รู้สึกได้ว่าจะต้องเกิดอะไรบางอย่างขึ้น
เขาไม่เคยเห็นท่านประมุขมีท่าทางเช่นนี้มาก่อน…
หรือว่ากลุ่มของคุณชายใหญ่จะ…
เขารีบก้มศีรษะลง แล้วตอบรับเสียงทุ้มต่ำว่า
“ขอรับ! มีข้าน้อยอยู่ ท่านประมุขโปรดวางใจ!”
หนานอีฝานพยักหน้า จากนั้นก็เดินผ่านกายเขาไป
จิตสังหารสายหนึ่งคล้ายมีคล้ายไม่มี
ผู้อาวุโสคนนั้นตกใจจนเนื้อเต้น รอจนกระทั่งเขาดึงสติกลับมาได้ และอยากจะหันกลับไปพูดอะไรอีกประโยคสองประโยค ก็พบว่าเงาร่างของหนานอีฝานหายไปแล้ว
“…”
ผู้อาวุโสยื่นขมวดคิ้วอยู่ที่เดิม หัวใจเต้นระรัว เหมือนกับมีใครมาบีบรัดเอาไว้
ความไม่สบายใจทับถมภายในใจมากขึ้น
ตอนที่หนานอีอีเสียชีวิต แม้ว่าท่านประมุขจะเสียใจมาก แต่ก็ไม่ได้เป็นถึงขั้นนี้
สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นไม่จำเป็นต้องพูดก็เข้าใจ!
หลังจากผ่านไประยะเวลาหนึ่ง ในที่สุดเขาก็ถอนหายใจออกมา
“…เกรงว่าครั้งนี้อาณาจักรเสิ่นซวี่จะต้องวุ่นวายแล้ว…”
…
ความเร็วของหนานอีฝานสูงมาก
เขาใช้เวลาหนึ่งคืนในการมาถึงเขตเหมยเหอ
ที่นี่คือฐานที่มั่นของตระกูลอี้
ตระกูลหนานมีภูมิประเทศเป็นเทือกเขาสูงชัน แตกต่างจากเขตเหมยเหอที่เป็นพื้นที่ราบกว้าง
พื้นดินเขียวขจีกว้างขวางมีแม่น้ำใสสะอาดเลื้อยผ่าน
ริมแม่น้ำมีดอกท้อบานสะพรั่ง
หลังจากผ่านป่าท้อไปก็ตั้งของเมืองอันหรูหรางดงาม
ด้านบนกำแพงเมือง มีป้ายทองคำสลัดคำว่า “เขตเหมยเหอ”
เวรยามสวมเครื่องแบบยืนเฝ้าประตูอย่างแข็งขัน
ตอนที่หนานอีฝานมาถึงที่นี่ ท้องฟ้ากำลังจะสว่างพอดี
ด้านนอกประตูเมืองแทบจะไม่มีคนสัญจรไปมาเลย
เมื่อเงาร่างของเขาปรากฏขึ้น จึงดึงดูดความสนใจของเหล่าเวรยามทันที
“ผู้ที่มานั้นเป็นใคร”
เหล่าเวรยามตื่นตัว แล้วชักดาบออกมาในทันที
เขตเหมยเหอเป็นฐานที่มั่นของตระกูลอี้ ปกติแล้วก็จะมีเพียงแต่คนของตระกูลอี้ที่เข้าออก
ในเวลาเช้าขนาดนี้ แต่กลับมีคนเดินทางมาอย่างกะทันหัน จึงทำให้พวกเขาสงสัยอย่างอดไม่ได้
หนานอีฝานเปิดเผยตัวตนของตนเองในทัน
“ไปรายงานประมุขของพวกเจ้า หนานอีฝานแห่งตระกูลหนานมาขอเข้าพบ”
…
“หนานอีฝาน? ตอนนี้ดีๆ อยู่เลย เขามาที่นี่ด้วยเหตุใดกัน”
จวนอี้ อี้เหวินเทา ประมุขของตระกูลอี้ได้ยินดังนั้น ก็เงยหน้าขึ้นมาจากหนังสือด้วยความตกใจ
“เขาพาคนมากี่คน”
“ประมุขตระกูลหนานไม่มีผู้ติดตามมาด้วย เขามาที่นี่เพียงคนเดียว อีกทั้ง…สีหน้ายังร้อนรน ราวกับมีเรื่องสำคัญมาก”
เวรยามที่มารายงานถามขึ้นด้วยความเคารพ
“เช่นนั้น…ท่านประมุข ท่านจะพบเขาหรือไม่”
“แน่นอนว่าต้องพบ”
อี้เหวินเทาลุกขึ้นยืน ปิดหนังสือลงแล้ววางไว้ด้านข้าง
เขามีรูปร่างสูง ดูแล้วอายุไม่เกินสามสิบห้าสามสิบหก องคาพยพทั้งห้าหล่อเหลา ท่าทางสูงส่งเป็นสุภาพบุรุษ
เขาสวมชุดคลุมสีเขียว ท่าทางสง่าราวกับนักปราชญ์คนหนึ่ง
ไม่ว่าใครที่ได้พบเขา ก็ยังจินตนาการได้ว่าเขาเป็นประมุขของตระกูลอี้คนปัจจุบัน
ภายในอาณาจักรเสิ่นซวี่มีข่าวลือเกี่ยวกับอี้เหวินเทาน้อยมาก
ความคิดของทุกคนอี้เหวินเทาจะต้องเป็นคนที่โหดเหี้ยมร้ายกาจ
เหมือนจะมีแค่วิธีนี้เท่านั้นถึงจะสามารถทำให้เขาควบคุมตระกูลอี้ได้
แต่ในความจริงแล้ว ตัวเขานั้นแตกต่างไปจากคนส่วนมากคาดคิดไว้
“เชิญประมุขหนานไปที่ห้องโถง อีกเดี๋ยวข้าจะตามไป”
“ขอรับ”
เวรยามคนนั้นรับคำสั่ง แล้วรีบถอยลงไปอย่างรวดเร็ว
อี้เหวินเทามองแผ่นหลังที่จากไปอย่างเรียบร้อนของเขา พร้อมขมวดคิ้วขึ้นมา
ตระกูลหนานกับตระกูลอี้ไม่ค่อยได้มีความสัมพันธ์กันบ่อยนัก
อีกทั้งเขาก็รู้จักกับหนานอีฝานเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
คนผู้นี้เย่อหยิ่งยโส
แต่ตอนนี้กลับมาหาเขาถึงที่ตระกูลด้วยตนเอง มันจะต้องเกิดอะไรขึ้นอย่างแน่นอน
หัวใจของอี้เหวินเทาเต้นระส่ำเป็นจังหวะกลอง
เขาก็ไม่รู้ว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ คาดไม่ถึงว่าหนานอีฝานจะยอมละทิ้งศักดิ์ศรี แล้วมาหาเขาที่นี่ด้วยตนเอง
หลังจากครุ่นคิดอยู่สักพักแต่ก็ไม่ได้คำตอบ ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจว่าจะไปพบหนานอีฝานก่อนค่อยว่ากัน
“เจ้าสามารถบำเพ็ญเพียรอยู่ที่นี่ได้อย่างสงบ จะไม่มีใครมารบกวนเจ้าเด็ดขาด”
ทันใดนั้นเขาก็หันศีรษะกลับไปแล้วพูดหนึ่งประโยค
บนตั่งไม้พะยูงหอม ด้านหลังม่านกั้นลมแปดบานมีเงาร่างที่เลือนรางนั่งอยู่
“ขอรับ”
เสียงนั้นทุ้มต่ำและแหบพร่า อีกทั้งยังมีความเกียจคร้านแผ่กระจายออกมาอีกหลายส่วนด้วย
อี้เหวินเทาพยักหน้า จากนั้นค่อยเดินออกไป พร้อมลงกลอนประตูด้วยตนเอง
หลังจากกำชับเวรยามให้เฝ้าที่นี่ให้ดี เขาจึงหมุนตัวเดินออกไปด้วยความวางใจ
…
หลังจากถูกนำทางมายังห้องโถง หนานอีฝานก็รออยู่ที่นี่ไม่นาน อี้เหวินเทาก็มาถึง
“ฮ่าๆ พี่หนานลมอันใดหอบมาหรือวันนี้”
อี้เหวินเทาเดินเข้ามา รอยยิ้มประดับใบหน้า
หนานอีฝานเงยหน้าขึ้น
ทั้งสองคนสบสายตากันเป็นการพูดจาโดยไร้เสียง
ในแววตาของอี้เหวินเทามีประกายความประหลาดใจปรากฏขึ้น
ในความทรงจำของเขา หนานอีฝานคนที่มีชีวิตชีวา และหยิ่งยโสเป็นอย่างมาก
แต่ในครั้งนี้เขากลับดูซูบเซียวจนสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า จอนทั้งสองข้างมีผมหงอกขาวเข้าปกคลุม
นี่เขา…ประสบกับเรื่องอะไรมากันแน่
ในตอนที่อี้เหวินเทากำลังคาดเดา หนานอีฝานก็พูดออกมาว่า
“ที่ผู้น้อยแซ่หนานมาในวันนี้ เพราะมีเรื่องสำคัญอยากจะปรึกษาหารือกับพี่อี้”
เมื่อพูดจบเขาก็เงียบไปครู่หนึ่ง
อี้เหวินเทาสามารถตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว เขาจึงโบกมือขึ้น แล้วบอกให้ลูกน้องถอยลงไปก่อน
“พวกเจ้าออกไปก่อน”
“ท่านประมุข…”
คนสนิทที่ติดตามเขาลังเลไปเล็กน้อย
ท่าทางของหนานอีฝานเป็นเช่นนี้ดูไม่ค่อยสู้ดีเลย
หากเขาเกิดบ้าแล้วทำอะไรขึ้นมา…
“ออกไป”
น้ำเสียงของอี้เหวินเทาเย็นชาขึ้นสามส่วน
ที่นี่คือตระกูลอี้!
หนานอีฝานกล้ามาที่นี่เพียงลำพัง แต่เขากลับไม่กล้าพูดคุยกับอีกฝ่ายเป็นการส่วนตัวอย่างนั้นหรือ
เรื่องนี้คงต้องทำให้คนอื่นรู้สึกขันแล้ว?
ลูกน้องล้วนรู้จักนิสัยของเขาดี ดังนั้นจึงไม่พูดอะไรมาก และรีบถอยหลังลงไปทันที
ในตอนที่ออกไปนั้น พวกเขายังช่วยปิดประตูให้สนิทอีกด้วย
ที่แห่งนี้ไม่มีใครกล้าแอบฟังแน่นอน
เขาเดินไปนั่งฝั่งตรงข้ามของหนานอีฝาน สีหน้าของเขากลับปกติราบเรียบดังเดิมแล้ว
“พี่หนานมีสิ่งใดก็พูดมาได้เลย”
หนานอีฝานจ้องหน้าเขา
“ที่ข้ามาในครั้งนี้เพราะอยากเป็นพันธมิตรกับเจ้า”