ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1919 เคยเห็นสัญลักษณ์ของนางหรือไม่
ตอนที่ 1919 เคยเห็นสัญลักษณ์ของนางหรือไม่
………………..
หนานอีฝานพูดออกมาอย่างเชื่องช้า
คำพูดเหล่านั้นแฝงด้วยความขุ่นเคืองและกลิ่นคาวเลือดที่ไม่สามารถอธิบายได้
อี้เหวินเทาชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็หัวเราะขึ้นมา
“หรือว่าพี่หนานไปกำลังล้อเล่นอันใดอยู่”
ต้องบอกก่อนว่า ตระกูลหนานกับตระกูลอี้ไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกันขนาดนั้น
แต่ในครั้งนี้หนานอีฝานกลับเดินทางมาที่นี่เพียงลำพัง แล้วพูดเรื่องพันธมิตร…
อี้เหวินเทาจะไม่ประหลาดใจได้อย่างไร
แต่สีหน้าของหนานอีฝานกลับไม่เปลี่ยนแปลง
“ขอเพียงพี่อี้ตอบตกลง พวกเราสามารถพูดคุยเงื่อนไขกันได้”
รอยยิ้มของอี้เหวินเทาค่อยๆ จางหายไป
เขาสำรวจสีหน้าของหนานอีฝานอย่างละเอียด แล้วครุ่นคิดภายในใจ
หาได้ยากยิ่งที่หนานอีฝานจะพูดเช่นนี้ออกมา
ในขณะเดียวกันเขาก็สามารถเห็นความแน่วแน่ของหนานอีฝานได้
เขามาที่นี่เพื่อสร้างความสัมพันธ์กับตระกูลอี้จริงหรือ
แต่ตระกูลหนานและตระกูลอีกอยู่ในระดับเดียวกัน ถ้าเขาทำเช่นนี้จะมีประโยชน์อะไร
เมื่อคิดไปคิดมาแล้ว อี้เหวินเทาก็ตัดสินใจว่าควรจะถามให้ชัดเจนดีกว่า
“พี่หนานอย่าเพิ่งรีบร้อน หากพวกเจ้าต้องการพบเจอเรื่องลำบากจริงๆ พวกเราตระกูลอี้ไม่มีทางยืนมองโดยไม่ช่วยเหลือแน่นอน เพียงแต่ไม่รู้ว่า…มันเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่ถึงทำให้พี่หนานร้อนใจเช่นนี้ได้”
หนานอีฝานชะงักไป
“ตระกูลหนานของข้าจะสู้กับพระราชวังเมฆาสวรรค์!”
ในที่สุดสีหน้าของอี้เหวินเทาก็เปลี่ยนแปลงไป
“พระราชวังเมฆาสวรรค์? เจ้าจะเป็นปรปักษ์กับโอรสสวรรค์อย่างนั้นหรือ”
หนานอีฝานพยักหน้า
“ถูกต้อง!”
อี้เหวินเทาขมวดคิ้วขึ้นมา
“พี่หนาน เรื่องนี้…เกรงว่าข้าจะไม่สามารถตอบตกลงได้”
หนานอีฝานบ้าไปแล้วหรือ!
เขาคิดอะไรจึงต้องการจะเปิดศึกกับหรงซิว?
คำตอบของอี้เหวินเทา ไม่ได้ทำให้หนานอีฝานรู้สึกประหลาดใจนัก
ความจริงแล้ว หนึ่งวันก่อนหน้านี้ เขาไม่มีทางคิดเช่นนี้แน่ แต่ว่าโลกมนุษย์นี้ไม่แน่นอน เขาจึงเปลี่ยนใจขึ้นมา
เขามาถึงจุดที่ไม่มีหนทางให้เดินแล้ว
ในตอนที่ป้าหยกของอวี่สิงแตก เขาก็รู้แล้วว่า เขาไม่สามารถอดทนต่อไปได้อีกแล้ว!
การตายของอีอี อาจจะไม่ใช่ฝีมือของพวกเขา แต่การตายของงอวี่สิง…
แรงกายแรงใจที่เขาทุ่มเทมาหลายปีล้วนสูญเปล่าหมดแล้ว!
“ข้าบอกแล้วว่า พี่อี้สามารถเสนอเงื่อนไขมาได้ ข้ายินดีตอบตกลงทั้งหมด”
หนานอีฝานพูดซ้ำอีกครั้ง น้ำเสียงจริงจังกว่าเดิม
อี้เหวินเทาขมวดคิ้วมุ่นกว่าเดิม
หนานอีฝานไม่มีทางไม่รู้ว่า การเป็นปรปักษ์กับหรงซิวนั้นเป็นเรื่องที่อันตรายขนาดไหน
แล้วเหตุใดเขาถึงทำเช่นนี้
อีกทั้ง…เขายังยอมจ่ายค่าตอบแทนมหาศาลเพื่อเรื่องนี้ด้วย!
“พี่หนาน เจ้าก็รู้ดีว่าเรื่องนี้ไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น”
ความจริงแล้วไม่ว่าจะพูดอย่างไร เขาก็ไม่ยินดีล่วงเกินหรงซิวเพื่อตระกูลหนาน
“คนผู้นั้นต่อกรยากเพียงใด ไม่ใช่ว่าพี่หนานไม่รู้ หากยังเลือกจะเป็นปรปักษ์กับพระราชวังเมฆาสวรรค์อยู่ มันจะต้องไม่มีผลดีอย่างแน่นอน พี่หนาน เหตุใดพี่ต้องทำเช่นนี้ด้วย หากเจ้ามีเรื่องเข้าใจผิดอันใดกับพระราชวังเมฆาสวรรค์ ก็ไปพูดกันต่อหน้าสิ หรือบางที…”
หรงซิวจะต้องรู้เรื่องที่หนานอีฝานมาหาเขาด้วยตนเองแน่นอน
ไม่ว่าเขาจะพูดอย่างไรก็ไม่มีทางหลุดออกจากโคลนหลุมนี้ได้อย่างขาวสะอาดแน่นอน
แทนที่จะปกปิดแล้วเพิ่มความน่าสงสัย ไม่สู้เปิดเผยอย่างตรงไปตรงมาดีกว่า
เมื่อถึงตอนนั้นเขาก็ยังสามารถถือโอกาสแสดงน้ำใจให้แก่ตระกูลหนานได้
สำหรับอี้เหวินเทา นี่เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดแล้ว
หนานอีฝานกลับพูดแทรกคำพูดของเขา
“ข้ากับพระราชวังเมฆาสวรรค์ไม่มีทางญาติดีกันได้อีกแล้ว”
อี้เหวินเทามองหน้าเขายังสงสัย
“พี่หนานหมายความว่า…”
หนานอีฝานสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วมองหน้าอี้เหวินเทา
“อีอีกับอวี่สิงตายด้วยน้ำมือของพวกเขา”
อี้เหวินเทารู้สึกตกใจเป็นอย่างแรก และเข้าใจขึ้นมาได้ในทันที
มิน่าล่ะ!
ลูกสาวและลูกชายเป็นชีวิตจิตใจของหนานอีฝาน!
โดยเฉพาะหนานอวี่สิง เขาคือทายาทที่จะสืบทอดตระกูลหนานคนต่อไป
เพราะว่าลูกทั้งสองคนของเขานั้นโดดเด่นเป็นอย่างมาก ดังนั้นหนานอีฝานที่มีตำแหน่งประมุข จึงรู้สึกภาคภูมิใจมาโดยตลอด
ตอนนี้พวกเขาทั้งสองคนล้วนเสียชีวิตหมดแล้ว ไม่ต้องพูดถึงหนานอีฝาน เกรงว่าต่อไปตำแหน่งประมุขนี้อาจจะไม่มั่นคงแล้ว!
แม้กระทั่งอี้เหวินเทาก็รู้ดีว่า มีคนตระกูลหนานจำนวนมากพี่ต้องการอยากแย่งชิงตำแหน่งประมุขนี้
หนานอีฝานต้องการล้างแค้นให้กับลูกชายลูกสาว และเพื่อรักษาตำแหน่งประมุขของตนเองเอาไว้ให้มั่น!
นี่เป็นสองเรื่องที่เขาให้ความสำคัญมากที่สุด มิน่าล่ะเขาถึงมาที่นี่ในวันนี้…
ความจริงแล้ว อี้เหวินเทาไม่รู้ว่า ที่หนานอีฝานเลือกทำเช่นนี้ยังมีอีกหนึ่งเหตุผลที่สำคัญ
…ต่อให้เขาไม่ทำเช่นนี้ หรงซิวก็ไม่มีทางปล่อยเขาไป!
ด้วยสติปัญญาอย่างหรงซิว ในเมื่อเขาสังหารหนานอวี่สิงไปแล้ว หมายความว่าเขาได้สืบค้นเรียบร้อยแล้วว่าเขาเป็นคนบงการอยู่เบื้องหลัง
แล้วเขาจะปล่อยให้ลอยนวลได้อย่างไร
หลังจากเรื่องท่าเรือดอกท้อเสร็จสิ้น เขาจะต้องลงมืออย่างแน่นอน!
เมื่อถึงตอนนั้น หนานอีฝานก็เป็นแค่ฝ่ายถูกกระทำ!
ได้แต่นั่งรอความตาย ถ้าอย่างนั้นเขาลงมือก่อนไม่ดีกว่าหรือ!
ไม่แน่ว่าเขาอาจจะยังมีโอกาสรอดอยู่!
หนานอีฝานไม่มีหนทางอื่นแล้วจริงๆ
เขาจะไม่รู้สึกหวาดกลัวหรงซิวได้อย่างไรกัน
แต่หากเขาไม่มีทางเดินแล้ว เขาไม่มีทางทุบหม้อข้าวหม้อแกงแล้วจมเรือแบบนี้แน่นอน!
หลังจากเขารู้ว่าหนานอวี่สิงเสียชีวิตแล้ว เขาก็ยืนอยู่ในห้องหนังสือเป็นเวลาหนึ่งวัน เขาดูเหมือนว่าจะไม่ได้ทำอะไร แต่ความจริงแล้วเขาครุ่นคิดอะไรมากมาย
เขารู้สึกเสียใจ
แม้กระทั่งตัวเขาเองยังไม่รู้ว่า ทำไมในตอนนั้นเขาถึงอนุญาตให้หนานอวี่สิงและคนอื่นๆ ไปที่ท่าเรือดอกท้ออย่างไน้ซุ่มไร้เสียง?
เหมือนกับถูกผีเข้า เขาถึงได้ตัดสินใจอะไรแบบนั้นลงไป!
บางที…อาจจะเป็นเพราะเขารู้สึกผิดต่อหนานอีอี และเคียดแค้นหรงซิวกับฉู่หลิวเยว่
และเขาคิดว่า พวกเขาไม่ได้พากำลังพลคนอื่นไป อีกทั้งยังเป็นสถานที่แบบท่าเรือดอกท้อ ดังนั้นจึงเห็นว่าเป็นโอกาสอันดีที่จะลงมือ!
หากราบรื่นขึ้นมา?
แต่คำว่า “หาก” นี่แหละ ทำให้ความคิดของเขาไม่รอบคอบ และทำให้หนานอีฝานรู้สึกเสียใจกับการตัดสินใจนี้ไปตลอดชีวิต!
แต่เรื่องมันถึงขนาดนี้แล้ว จะเสียใจไปก็ไม่มีประโยชน์
เขาทำได้เพียงต้องโจมตีกับ!
อี้เหวินเทาไม่รู้เรื่องเหล่านี้
ในความคิดของเขาแล้ว เมื่อหนานอีฝานบอกความเห็นเหล่านี้ เขาแค่สนับสนุนในการตัดสินใจก็เพียงพอแล้ว
เขาเงียบไปครู่หนึ่ง แต่ยังไม่ตอบตกลง
“พี่หนาน คนอื่นไม่รู้ แต่เจ้ารู้ดีที่สุด คนผู้นั้นไม่ใช่คนที่จะสามารถต่อกรได้ง่ายๆ เลย…”
บางทีหนานอีฝานอาจจะมีทางเลือกเพียงทางนี้ทางเดียวเท่านั้น
แต่มันเกี่ยวอะไรกับตระกูลอี้ของเขาด้วย
หากเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาไม่เพียงจะไม่ได้รับประโยชน์ แต่ยังจะทำให้ตัวเองต้องเดือดร้อนอีก
อี้เหวินเทาไม่เคยทำธุรกิจที่ไม่คุ้มทุน
สีหน้าของเขาเผยความลำบากใจ หนานอีฝานหัวเราะในใจเสียงเย็น แต่ใบหน้าราบเรียบเช่นเดิม
ทันใดนั้นเขาก็พูดขึ้นว่า
“พี่อี้ เจ้ารู้หรือไม่ ตอนแรกที่หรงซิวกับซั่งกวนเยว่ไปที่สุสานสังหารเทพ พวกเขาได้หยิบของออกมาจากกำแพงสีดำ”
อี้เหวินเทาเงยหน้าขึ้นมามองเขา!
“หา?”
เขาควบคุมสีหน้าของตัวเอง แต่หนานอีฝานสายตาเฉียบแหลมอย่างมาก แต่คลื่นอารมณ์เหล่านี้จะเล็ดลอดไปจากสายตาของเขาได้อย่างไร
“ส่วนของที่ว่าคือสิ่งใดนั้น…ข้าคิดว่า ข้าไม่ต้องพูด พี่อี้ก็น่าจะรู้ใช่หรือไม่”
หนานอีฝานหัวเราะขึ้นมาอย่างกะทันหัน
“พระชายาของโอรสสวรรค์ผู้นั้น ก็ไม่ใช่คนธรรมดา นางมีหม้อน้ำเทวศักดิ์สิทธิ์และเมล็ดพันธุ์ศักดิ์สิทธิ์…ในครอบครอง นอกจากนี้แล้ว นางยังมีโล่ดำที่ไม่ทราบที่มา แม้ว่ามันจะดูธรรมดา แต่มันก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าอาวุธศักดิ์สิทธิ์แห่งจุนเจ๋อเลย!”
ตอนที่หนานอีฝานพูดเรื่องเหล่านี้ เขาไม่ได้สังเกตเลยว่า ตอนที่อี้เหวินเทาได้ยินเขาพูดถึงโล่ดำ คิ้วของอีกฝ่ายก็ขมวดขึ้นมาในทันที
“…จะว่าไปแล้วก็แปลก ได้ยินมาว่าซั่งกวนเยว่ผู้นี้เป็นคนที่มาจากนอกพรมแดนอาณาจักรเสิ่นซวี่ไม่ใช่หรือ เหมือนว่าจะมีพลังแห่งสายเลือดที่ไม่อ่อนแอ…พี่หนานเคยเห็นสัญลักษณ์ของนางบ้างหรือไม่”