ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1920 คัดเลือก
ตอนที่ 1920 คัดเลือก
………………..
หนานอีฝานส่ายหน้า
“ไม่เคย”
ภายในอาณาจักรเสิ่นซวี่ มีข่าวลือเกี่ยวกับฉู่หลิวเยว่ไม่น้อยเลย
โดยเฉพาะหลังจากที่นางแต่งงานกับหรงซิวแล้ว ข่าวลือที่เกี่ยวข้องก็แพร่สะพัดมากยิ่งขึ้น
ในตอนแรกทุกคนคิดว่านางมีภูมิหลังต่ำต้อย หลังจากผ่านเรื่องราวมากมายก็ทำให้ผู้คนรู้ว่า ความจริงแล้วเบื้องหลังของนางนั้นยิ่งใหญ่เพียงใด!
แม้ว่าหนานอีฝานจะเคยพบฉู่หลิวเยว่มาก่อน แต่กลับไม่เคยเห็นสัญลักษณ์ของนางเลย
“เหตุใดพี่อี้ถึงถามเรื่องนี้ขึ้นมาล่ะ”
หนานอีฝานรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
อี้เหวินเทายิ้มแล้วหลุบตาลงต่ำ
“ไม่มีสิ่งใด แค่นึกขึ้นมาได้เท่านั้น ทั้งยังรู้สึกสงสัยเท่านั้นเอง…ได้ยินมาว่าในการทดสอบระดับแห่งสายเลือดที่พระราชวังเมฆาสวรรค์ในตอนแรก ผลการทดสอบของนางนั้นเหมือนกับโอรสสวรรค์ทุกประการ…หากมาจากด้านนอกพรมแดนอาณาจักรเสิ่นซวี่จริง จะมีพลังแห่งสายเลือดได้อย่างไร”
ต้องบอกก่อนว่า บรรพบุรุษจำเป็นต้องทะลวงถึงระดับปลดพันธนาการสูงสุดเท่านั้น ทายาทรุ่นหลังถึงจะมีพลังแห่งสายเลือด
คนภายนอกอาณาจักรเสิ่นซวี่ไม่มีทางทำได้แน่นอน
“ซั่งกวนจิ้งเป็นบรรพบุรุษของนางไม่ใช่หรือ”
หนานอีฝานพูดขึ้น ทันใดนั้นเขาก็หยุดนิ่งไป
มีบางอย่างไม่ถูกต้อง
แม้ว่าซั่งกวนจิ้งจะเป็นผู้แข็งแกร่งระดับเทพศักดิ์สิทธิ์ อีกทั้งยังเคยเป็นอันดับหนึ่ง แต่ตอนที่เขามาถึงอาณาจักรเสิ่นซวี่ เขาก็ได้สร้างราชวงศ์เทียนลิ่งไว้แล้ว
อีกทั้งต่อมาเขาก็ได้เจอเรื่องยุ่งยากภายในอาณาจักรเสิ่นซวี่ จิตวิญญาณแตกสลาย หลับลึกไปกว่าพันปี
หนานอีฝานมองไปทางอี้เหวินเทาแล้วขมวดคิ้ว
“เหตุใดพี่อี้ถึงให้ความสนใจกับ…ซุ่งกวนเยว่ผู้นี้เล่า”
อี้เหวินเทาหัวเราะขึ้น
“แค่รู้สึกสงสัยเท่านั้น ในเมื่อพี่หนานก็ไม่รู้ ถ้าเช่นนั้น…ก็ไม่มีอันใดให้ถามอีกแล้ว”
เขาเป็นคนที่หัวแข็งอยู่แล้ว ดังนั้นจึงทำให้หนานอีฝานหมดความอดทน
“พี่อี้ พวกเราอย่าเพิ่งสนใจเรื่องเหล่านี้เลย ข้าจะขอถามเป็นครั้งสุดท้าย ข้อเสนอที่ข้าพูดไปก่อนหน้านี้ เจ้าจะตอบตกลงหรือไม่”
อี้เหวินเทาจมอยู่ในห้วงความคิด
ภายในห้องนั้นปกคลุมด้วยความเงียบ
เวลาค่อยๆ เคลื่อนผ่าน
แต่ละวินาที แต่ละนาที สำหรับหนานอีฝานแล้วมันเป็นความทุกข์ทรมานอย่างมาก
แต่เขาก็ทำได้เพียงแค่รอเท่านั้น
หลังจากผ่านไปสักพัก อี้เหวินเทาก็พยักหน้า
“ข้าตกลง แต่ว่าข้ามีเงื่อนไขข้อหนึ่ง”
…
หนานอีฝานและอี้เหวินเทาเจรจาภายในห้องเป็นเวลานาน
หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยามประตูห้องถึงพึ่งเปิดออกมา
หนานอีฝานประสานมือกล่าวคำอำลา
“พี่อี้ไม่ต้องส่งแล้ว ข้าขอตัวกลับก่อน”
อี้เหวินเทารู้ว่าเขานั้นอึดอัดใจมากที่ต้องอยู่ที่นี่ ดังนั้นจึงไม่ได้รั้งเขาไว้ ก่อนพยักหน้า
“พี่หนานระวังตัวด้วย”
สีหน้าของอี้เหวินเทายังปกติดังเดิม เขาเงยหน้าขึ้นมองด้วยสายตาราบเรียบ
คนที่มาใหม่นั้นคือน้องรองของเขา…อี้เหวินจั๋ว
“พี่ใหญ่ คนเมื่อครู่นี้คือ…หนานอีฝาน”
เมื่ออยู่ต่อหน้าอี้เหวินเทา อี้เหวินจั๋วรักษาท่าทีได้ดีมาก
ดูจากภายนอกแล้ว อี้เหวินจั๋วน่าจะมีอายุมากกว่าอี้เหวินเทา แต่ความเป็นจริงอี้เหวินเทาอายุมากกว่าเกือบสิบปีเลยทีเดียว
แต่เป็นเพราะว่าอี้เหวินเทามีพรสวรรค์ที่แข็งแกร่ง สามารถบำเพ็ญเพียรได้อย่างราบรื่น ดังนั้นจึงเห็นว่าเขาดูอ่อนวัยกว่าอีกฝ่ายมาก
เขาพยักหน้า
“เขามาทำอันใดหรือ”
อี้เหวินจั๋วขมวดคิ้ว
พวกเขากับตระกูลหนานนั้นไม่ค่อยได้ติดต่อไปมาหาสู่กันเท่าใดนัก แต่การที่หนานอีฝานประมุขของตระกูลหนานมาที่นี่ด้วยตนเอง ก็ยากที่จะทำให้คนไม่คิดมาก
อี้เหวินเทาพูดพร้อมรอยยิ้มบางๆ
“พี่เขามาเพราะเขามีเหตุผลของตนเอง”
อี้เหวินจั๋วไม่ค่อยสบายใจเล็กน้อย
พี่ใหญ่หมายความว่าเขาไม่ต้องการจะพูดแล้ว
เดิมทีมันก็ไม่มีอะไรมาก แต่ท้ายที่สุดแล้วพวกเขาก็มีฐานะไม่ธรรมดา หากมีการปรึกษาหารือกันจะต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่นอน และไม่ควรแพร่งพรายออกมาง่ายๆ
แต่…
เขาคือน้องชายแท้ๆ ของพี่ใหญ่ หรือว่าเขาก็ไม่มีคุณสมบัติที่จะรู้อย่างนั้นหรือ
อี้เหวินจั๋วใส่ใจกับเรื่องราวเหล่านี้มาก เพราะสถานการณ์แบบนี้ไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก
อี้เหวินเทาเป็นประมุขตระกูลอี้ เรื่องใหญ่ๆ ทุกเรื่องเขาเป็นคนตัดสินใจแทบจะทั้งหมด
และหลายครั้งผู้อาวุโสจำนวนมากทราบแล้ว แต่นี้เขาเพียงคนเดียวที่ไม่ทราบ
อี้เหวินจั๋วรู้สึกเหมือนว่าตัวเองเป็นชายขอบของตระกูลอี้แล้ว
เมื่อเวลาผ่านไปเขาจึงเกิดความรู้สึกไม่พอใจและขุ่นเคือง
นอกจากเรื่องนี้แล้ว ด้านอื่นๆ พี่ใหญ่ล้วนปฏิบัติต่อเขาอย่างดี
นั่นจึงทำให้ภายในใจของอี้เหวินจั๋วเกิดความขัดแย้ง
แต่ในครั้งนี้ไม่ได้เป็นอย่างนั้น
เขาอดทน ในที่สุดก็กลืนคำพูดเหล่านั้นลงไปก่อนจะเปลี่ยนเรื่องพูด
“ที่ข้ามาในวันนี้เพราะมีข่าวดีจะบอกพี่ใหญ่ว่าจิ่วชิงทะลวงด่านได้แล้วนะขอรับ!”
อี้เหวินเทาเลิกคิ้วขึ้นท่าทีประหลาดใจเล็กน้อย
“เร็วขนาดนี้เชียว?”
เขาเพิ่งกำชับไปว่าให้ตั้งใจบำเพ็ญเพียร นี่เพิ่งผ่านมาไม่กี่ชั่วยามคาดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะทะลวงด่านได้แล้ว…
“สมแล้วที่เจ้าเป็นคนสั่งสอนด้วยตนเอง”
อี้เหวินเทากล่าวชื่นชมด้วยความพอใจ
ในที่สุดคำพูดนี้ก็ทำให้อี้เหวินจั๋วอารมณ์ดีขึ้นมาไม่น้อย
“ไม่หรอกครับ หลังจากเขากลับมา เขาก็ฝึกฝนที่ข้างกายพี่ใหญ่อยู่ตลอด พี่ใหญ่คอยชี้แนะ แน่นอนว่าเด็กคนนั้นก็สามารถทะลวงด่านได้อย่างรวดเร็ว”
เมื่อพูดจบเขาก็นิ่งไปชั่วครู่
“พี่ใหญ่ ในร่างกายของจิ่วชิงมีเลือดของตระกูลอี้ไหลเวียนอยู่ครึ่งหนึ่ง ท่านว่าตำแหน่งนายน้อย…”
นี่คือสิ่งที่เขาต้องการตั้งแต่ครั้งแรก!
อี้เหวินเทาไม่มีลูกชายไม่มีลูกสาว ดังนั้นเขาจำเป็นจะต้องหาทายาทสืบทอดจากเด็กในตระกูลแน่นอน
ทว่าจวินจิ่วชิงเป็นคนที่เหมาะสมที่สุด!
อี้เหวินเทาเอามือข้างหนึ่งไพล่หลัง เขาไม่ได้ตอบส่งๆ เหมือนก่อนหน้านี้ แต่กลับครุ่นคิดอย่างจริงจังเป็นเวลานาน
“เจ้าพูดได้ไม่เลว ถึงเวลาที่ควรเลือกนายน้อยแล้ว…ประกาศลงไป พรุ่งนี้ให้ทุกคนมาประชุมโดยพร้อมกัน”
“พรุ่งนี้?”
อี้เหวินจั๋วรู้สึกตกใจเล็กน้อย แต่ความยินดีก็ท้วมท้นไปทั้งร่าง
เขาพยักหน้า แววตายากจะปกปิดความตื่นเต้น
“ได้! ข้าจะไปเดี๋ยวนี้!”
…
ท่าเรือดอกท้อ จวนเยว่
ฉู่หลิวเยว่วางถ้วยชาในมือลง ก่อนหันไปมองหรงซิวที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามด้วยความตกใจ
“สองตระกูลใหญ่?”